เย่เจียงไห่เดินออกจากชั้นวางคัมภีร์ด้วยสีหน้าเหม่อลอย
เขาไม่เคยคิดเลยว่ากว่าที่เขาจะได้ความทรงจำกลับคืนมาเวลามันจะผ่านมาถึง 1 ล้านปีแล้ว และที่สำคัญในเวลาเดียวกับที่เขาได้ความทรงจำกลับคืนมาว่าเขาคือเจ้าตำหนักหลีเทียน ตำหนักของเขากลับถูกผู้อื่นชิงไปแล้ว ซึ่งผู้ที่ชิงไปก็ไม่ใช่ใครอื่น
คนผู้นั้นมันคือน้องเขยของเขาเอง!
เขาไม่เข้าใจว่าน้องเขยของเขาสามารถเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักได้ยังไง เพราะว่าการเข้าไปในห้องโถงใหญ่ได้มันมีเพียงวิธีการเดียวคือการใช้วิชาเพลิงหนานหมิงสัมผัสประตูเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปด้านในได้
แม้แต่ตัวเขาเองที่เป็นเจ้าของตำหนักแท้ ๆ ก็ยังคงต้องใช้วิธีการเดียวกันเช่นนี้เท่านั้น
ในระหว่างที่เย่เจียงไห่เดินออกมาจากชั้นวางคัมภีร์ด้วยอาการเหม่อลอย เย่ชางคงก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เจียงไห่ เจ้าเป็นอะไรไป?”
เย่เจียงไห่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญทันที “น่ารำคาญจริง ข้ากำลังใช้ความคิด!”
หลักจากที่ความทรงจำเขากลับคืนมา อุปลักษณะนิสัยของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปและไม่เคารพพ่อของเขาเองเหมือนแต่เก่าก่อน และโดยเฉพาะที่ตอนนี้ตำหนักของเขาถูกคนอื่นช่วงชิงไป เขาจะมีอารมณ์พูดดีกับคนอื่นได้ยังไง?
เย่ชางคงรู้สึกงุนงงเมื่อได้ยินการตอบเช่นนี้ “นี่เจ้ากินยาผิดมารึไงกัน?”
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเย่เจียงไห่ทำตัวแปลกไป แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เนื่องจากภายนอกเย่เจียงไห่ยังคงดูสบายดี ดังนั้นเขาจึงคิดว่าถึงอย่างมันคงไม่มีปัญหาอะไร
ทางด้านของเย่เจียงไห่ เมื่อเขาเดินออกมาจากห้องคัมภีร์แล้วเขาก็เดินไปที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักทันที ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าจะทวงคืนตำหนักของเขาจากหลิงตู้ฉิง ยังไงก็ตาม
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่ เย่เจียงไห่ก็ตะโกนขึ้นทันที “น้องเขย ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า เจ้าจงออกมาตกลงกับข้าเดี๋ยวนี้!”
ในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเจรจาเท่านั้น
แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าเขาจะตะโกนออกไปมันก็ไม่มีการตอบรับใด ๆ กลับมา
เย่เจียงไห่ตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห “ไม่ใช่ว่าข้าแค่ค้างพริกหยกเพลิงเจ็ดสีกับเจ้าแค่นั้นไม่ใช่เหรอไง? นี่เจ้าจำเป็นต้องเอาคืนข้าถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? เจ้าเองก็รู้ตัวสินะว่ารอบนี้เจ้าทำเกินไปเลยไม่กล้าออกมาเจอกับข้า? หากเจ้าแน่จริงเจ้าก็เปิดประตูออกมาคุยกับข้าตัวต่อตัว!”
แม้เขาจะพูดถึงขนาดนี้มันก็ยังไม่มีการตอบรับ!
“เจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่ยอมเปิดประตู ข้าจะเข้าไปไม่ได้งั้นเหรอ?” เย่เจียงไห่ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด “เจ้ารอก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะกลับมาใหม่อีกรอบ!”
เมื่อพูดจบ เย่เจียงไห่ก็หันหลังและเดินไปยังห้องบ่มเพาะทันที
ในห้องบ่มเพาะนั้นมีแผนสำรองที่เขาได้ทิ้งเอาไว้อยู่เช่นกัน
ในอดีตเขาได้ทิ้งวิธีการบ่มเพาะเพลิงหนานหมิงแบบเร่งรัดเอาไว้ในห้องบ่มเพาะ ซึ่งมันจะทำให้เขาสามารถทะลวงระดับได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เย่เจียงไห่เข้าไปในห้องบ่มเพาะ และได้เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังพยายามฝ่าผนึกป้องกันห้องฝึกของเขา เขาจึงตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ไสหัวไป ห้องนี้มันไม่ใช่ห้องที่เจ้าจะย่างกรายเข้ามาได้!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิขั้นปลายที่กำลังพยายามฝ่าผนึกเข้าไปในห้องฝึก เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เจียงไห่ดังขึ้น เขาก็หันกลับมาทันทีและพูดว่า “ไอ้หนู! เจ้านี่มันไม่มีมารยาทเลยจริง ๆ ห้องฝึกนี้เป็นห้องที่ข้าหมายตาไว้ก่อนตั้งนานแล้ว เจ้าจงยืนรอตามมารยาทและให้เข้าผู้นี้เข้าไปข้างในให้ได้ก่อน จากนั้นมันถึงจะเป็นตาของเจ้า เจ้าคงเป็นลูกชายของเย่ชางคงใช่ไหม? แม้แต่พ่อของเจ้าหากเจอข้า เขายังต้องเรียกข้าว่าพี่ด้วยซ้ำ ข้าเป็นคนของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์…”
เย่เจียงไห่พูดแทรกด้วยความโมโหทันที “เจ้านี่มันปากมากจริง ๆ ถ้าเจ้าไม่ไสหัวไปซะเดี๋ยวนี้ ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ!”
“ไอ้หนู ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่งั้นข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้าแทนพ่อแม่เจ้าเอง!”
เย่เจียงไห่ที่เห็นว่าคำเตือนของเขาไม่ได้ผล เขาจึงโคจรวิชาเพลิงหนานหมิงของตัวเองทันทีเพื่อเชื่อมโยงกับผนึกที่ประทับอยู่ตรงประตูห้องฝึกให้ปล่อยเพลิงหนานหมิงที่อยู่ภายในห้องให้ปะทุออกมาใส่ชายชราสำนักสวรรค์สัประยุทธ์!
เพลิงหนานหมิงนั้นนับได้ว่าเป็นเพลิงที่อยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิจะสามารถรับมือกับมันได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร?
เมื่อผู้เชี่ยวชาญของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์เผชิญกับเพลิงหนานหมิงที่จู่ ๆ ก็ปะทุออกมาจากประตูห้องฝึก เขาก็กระโดดถอยออกห่างจากห้องฝึกทันทีและตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าโมโหว่า “ไอ้หนูนี่เจ้า…”
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจนจบประโยค เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นว่าเย่เจียงไห่สามารถเดินเข้าไปในห้องฝึกได้โดยไม่ถูกกีดขวางด้วยผนึกใด ๆ ทั้งสิ้น
เขารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาใช้เวลามาตั้งหลายวันแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ผนึกนี้ออกได้เลย แต่ไอ้เด็กคนนี้มันกลับเดินเข้าไปเฉย ๆ ได้ซะอย่างนั้น?
เมื่อเข้าไปในห้องฝึกได้ เย่เจียงไห่ก็นั่งลงบ่มเพาะวิชาเพลิงหนานหมิงของเขาต่อทันที ซึ่งในเวลาไม่นานระดับการบ่มเพาะของเขาก็เพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว
ทางด้านของในห้องโถงใหญ่ เวลานี้หลิงตู้ฉิงยิ้มหน้าบานเนื่องจากเขาภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่สามารถชิงตำหนักหลีเทียนมาจากเย่เจียงไห่ได้
“หากพวกเจ้าคนไหนมีคำถาม พวกเจ้าสามารถถามมาได้เลยข้าจะตอบพวกเจ้าทั้งหมดเอง” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
ในตอนนี้เขารู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
“นายท่าน ท่านไม่ใช่เจ้าตำหนักหลีเทียนจริง ๆ งั้นเหรอ?” เสี่ยวเยว่เฟิงถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “แล้วถ้าท่านไม่ใช่จริง ๆ ทำไมเงามายานั่นถึงได้เข้าใจว่าท่านเป็นเจ้าตำหนักไปได้แบบนั้นกัน?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เงามายาตนนั้นมันคือวิญญาณของเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่น ซึ่งเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นคือแกนหลักของตำหนักแห่งนี้ ตราบใดที่ใครก็ตามสามารถควบคุมเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ คนผู้นั้นก็สามารถควบตำหนักหลีเทียนได้ทั้งหมด ส่วนเรื่องที่ทำไมเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ถึงเข้าใจผิดคิดว่าข้าเป็นเจ้านายของมันนั้นก็เป็นเพราะการกระทำของข้าทุกอย่างที่ผ่านมา ทำให้มันเข้าใจว่าข้าเป็นเจ้านายของมันและบวกกับการที่ข้ารู้วิชาเพลิงหนานหมิง มันจึงยิ่งทำให้มันยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่ยังไงล่ะ”
อันที่จริงหลิงตู้ฉิงรู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตำหนักศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดี
เขาคือผู้ที่เคยอยู่ในจุดสูงสุดของมวลมนุษย์มาแล้ วดังนั้นตำหนักศักดิ์สิทธิ์นี้จึงไม่ใช่ที่แรกที่เขาเคยเข้ามา
ในอดีตเขาเคยเข้าไปถล่มตำหนักศักดิ์สิทธิ์มาแล้วจนนับไม่ถ้วน!
ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะเข้าใจกลไกต่าง ๆ ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ว่ามันมีอะไรบ้างที่เขาสามารถใช้ประโยชน์ได้และมันทำให้เป้าหมายตั้งแต่ต้นของเขาในการเข้ามาที่นี่สำเร็จ คือการควบคุมมัน
และด้วยเหตุผลนี้ในระหว่างทางทั้งหมดจนมาถึงห้องโถงใหญ่เขาจึงไม่หยิบของอะไรของที่นี่มาเลยเพื่อเป็นการทำให้เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์สับสน
การกระทำเช่นนี้ในสายตาคนอื่นต่างมองว่า หลิงตู้ฉิงคงไม่ต้องการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรของที่นี่ไป
แต่ในสายตาของเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ทุก ๆ การกระทำของหลิงตู้ฉิงนั้นมันไม่ต่างอะไรกับเจ้าของตำหนักที่มองว่าทุกอย่างเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องหยิบอะไรไปสักอย่าง
ส่วนการกระทำที่หลิงตู้ฉิงบอกให้คนของเขาหยิบสิ่งของไปได้แค่จำนวนจำกัดนั้น มันก็เป็นการกระทำที่เหมือนว่าเขาคือผู้เป็นนายที่ให้รางวัลกับคนรอบตัวบ้างก็แค่เท่านั้น
และส่วนสำคัญท้ายที่สุดก็คือ การที่หลิงตู้ฉิงสามารถใช้เพลิงหนานหมิงในการยืนยันตัวตนได้ มันยิ่งทำให้เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปักใจเชื่อจริง ๆ ว่าหลิงตู้ฉิงคือนายของมัน ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลให้เย่เจียงไห่ต้องทุกข์ระทมอยู่ในตอนนี้
มู่หลงหยานถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็คงเป็นคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดเหนือกว่าใครทั้งหมด…”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ใช่และไม่ใช่! เนื่องจากในตอนนี้พวกเราต้องรีบไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของเราเองก่อนที่เจ้าของตำหนักตัวจริงจะตามมาทวงตำหนักคืน!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็รีบพากลุ่มคนของเขาเดินไปยังสวนหลังตำหนัก…