บทที่ 1281 – ชนป่าเถื่อน, ชนเผ่าอสูรโลหิตชั้นสูง, พลังแห่งศรัทธา?
ชิงสุ่ยรู้สึกแปลกไปเมื่อได้พบกับผู้หญิงคนนี้ เขารู้สึกว่านางจะต้องรู้เกี่ยวกับอีกสามทวีปที่เหลือและต้องเดินทางไปมาระหว่างทวีปพวกนั้นเป็นประจำอย่างแน่นอน ความรู้สึกพวกนี้ช่างแปลกประหลาดทว่าชัดเจนเลยทีเดียว
หญิงสาวรู้สึกแปลกใจต่อคำพูดที่คาดไม่ถึงของชิงสุ่ย เรื่องที่ชายหนุ่มคนนี้ต้องการเดินทางไปยังอีกสามทวีปที่เหลือ นางรู้สึกประหลาดใจมากกว่าตกใจเสียอีก
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะพัฒนาได้เร็วเช่นนี้ เจ้าต้องการทราบเรื่องใดล่ะ? ข้าจะบอกทุกสิ่งที่ข้ารู้” หญิงสาวพูดพร้อมขณะส่งยิ้มให้กับชิงสุ่ย
“ข้าอยากทราบว่าท่านเป็นคนจัดการกับนิกายปฐพีซ่อนเร้นได้จริงหรือไม่?” ความคิดนี้ปรากฎขึ้นมาภายในจิตใจของชิงสุ่ยดังนั้นเขาจึงถามมันออกไปตรงๆ
หญิงสาวตกใจกับคำถามนี้แต่ยังสามารถซ่อนเร้นอาการไว้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า นางจ้องมองชิงสุ่ยพร้อมตอบกลับไปว่า “เจ้ารู้เกี่ยวกับเจตจำนงของนิกายปฐพีซ่อนเร้นแล้วสินะ แต่ข้าคิดว่าทั้งสองสิ่งที่เรียกว่า “อัจฉริยะ” จากนิกายปฐพีซ่อนเร้นยังเทียบกับเจ้าไม่ได้เลย”
หญิงสาวไม่ได้ตอบชิงสุ่ยไปตรงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักไม่ว่าใครก็มักจะเลี่ยงการตอบคำถามประเภทนี้โดยตรง
“ข้าคิดว่าข้าจะผูกมิตรกับเทือกเขาปู๋โถวเอาไว้ ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้าง” ชิงสุ่ยตัดสินใจถามความเห็นจากหญิงสาว
“ผูกมิตรย่อมเป็นเรื่องดี แต่เจ้าจะขึ้นเป็นผู้นำของพันธมิตรหรือใครอื่นล่ะ?” ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะมีความสุขเมื่อคิดถึงเรื่องพันธมิตร
“ข้าเคยคิดที่จะขึ้นเป็นผู้นำในตอนแรกจนกระทั่งได้พบว่ามีคนที่เหมาะสมกว่าข้าอยู่” ชิงสุ่ยกล่าวในขณะที่หันไปมองนาง ชิงสุ่ยกล่าวด้วยความสัตย์จริง เขาไม่เคยสนใจเรื่องการเป็นผู้นำมาก่อนเลย อย่างไรก็ตามเขายังไม่เคยพบใครที่สร้างความมั่นใจให้ตัวเขาได้ จนกระทั่งได้พบกับนาง
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้ากำลังพูดถึงข้าอยู่งั้นหรือ?” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก
“อย่าเรียกข้าว่า ‘เจ้าหนุ่มน้อย’ เชียว ตัวข้านั้นไม่ใช่เล็กๆแล้ว” ชิงสุ่ยตอบกลับด้วยท่าทีจริงจัง
เขาไม่ทันได้ตะหนักว่าคำพูดของตนค่อนข้างคุมเครือจนกระทั่งเห็นแววตานั่นของหญิงสาว เขารู้สึกราวกับถูกสายฟ้าผ่าลงมาทันที
“ใช่ ตัวเจ้าไม่ได้เล็กแล้ว!” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทีจริงจังไม่แพ้กัน
ชิงสุ่ยยังรู้สึกประหลาดใจเกี่ยวกับนิสัยของหญิงสาวคนนี้อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขารู้สึกดีใจที่ได้ยินคำพูดก่อนหน้า ชิงสุ่ยรู้สึกประสบผลสำเร็จโดยเฉพาะเมื่อตัวเขาได้รับการยอมรับเช่นนี้
คำพูดของหญิงสาวทำให้อวี้ลู่หยานมีสีหน้าแดงก่ำ นางรู้สึกเขินอายจนต้องก้มหน้าต่ำลงเพื่อไม่ให้ใครสังเกตุเห็น อวี้ลู่หยานรู้ดีถึงส่งที่พวกเขาพูดถึงอยู่เพราะนางมีประสงการณ์ได้พบเจอกับมันมาแล้ว
หญิงสาวมองหน้าชิงสุ่ยอย่างมีเลศนัยก่อนที่จะหันกลับไปมองอวี้ลู่หยาน ชิงสุ่ยมองตามไปก็พบว่านางกำลังจ้องมองอวี้ลู่หยานอยู่ ในเวลานั้นหน้าของเขาแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดแล้วชิงสุ่ยไม่อาจเบือนหน้าหนีใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวคนนั้นได้
“ข้าคิดว่าท่านเหมาะสมกว่าข้านัก”
“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าเหมาะสมกว่าล่ะ?” หญิงสาวถามอย่างเรียบง่ายในขณะจิบชาพร้อมยิ้มให้ชิงสุ่ย
“ท่านมีความสามารถในการโน้มน้าวผู้คน ถึงแม้ว่ามันอาจจะฟังดูน่าตกใจไปบ้างก็ตาม” ชิงสุ่ยพูดพลางยิ้มออกมา
“อาจารย์ของข้าไม่เคยพูดกับใคนเช่นนี้มาก่อน นางเพียงล้อเลียนท่านต่างหาก” ในเวลานั้นถานท่ายหยวนพูดขึ้นมาเพื่ออธิบายต่อชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยทราบดีว่านางเพียงแค่ล้อเล่นกับเขา แต่เขารู้สึกได้ว่านางผู้นี้จะมีความสามาถในการชี้นำผู้อื่น
“ข้าสามารถก่อตั้งพันธมิตรขึ้นมาได้แต่ข้าไม่สนที่จะเป็นผู้นำของคนเหล่านั้น ข้าจะเข้าร่วมพันธมิตรภายใต้เงื่อนไขเดียวนั่นก็คือการขึ้นเป็นผู้นำของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าก็ออกคำสั่งกับข้าไม่ได้หรอกนะ” หญิงสาวกล่าวพร้อมกะพริบตาส่งมายังชิงสุ่ย
“เอ่อ ข้าว่าท่านควรเป็นคนคอยดูแลอยู่เบื่องหลัง” ชิงสุ่ยตอบกลับอย่างหงุดหงิด
จริงๆแล้วมีผู้คนมากมายที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังของทั้งเก้ามหาทวีปแห่งนี้ คำพูดของชิงสุ่ยค่อนข้างตรงประเด็น
หญิงสาวถึงกับตกตะลึงกับคำพูดของชิงสุ่ย นางยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ช่างกล้าเสียจริงๆ เขาถึงกับต้องการใช้ประโยนชน์จากผู้หญิงอย่างข้า หรือเจ้าต้องการให้ข้าไปเป็นภรรยาน้อยของเจ้าด้วยล่ะ? ”
ชิงสุ่ยรู้สึกสั่นสะท้าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับหญิงงามที่ดุอย่างกับเสือ โดยเฉพาะนางพร้อมจ้องจะกินชายเข้าไปทั้งตัวโดยไม่แม้แต่จะคายกระดูกออกมา เขารีบหัวเราะกลบเกลื่อนและกล่าว “ข้าจะทำเช่นนั้นกับท่านได้อย่างไร สงสัยข้าจะขอมากเกินไป เช่นนั้นลืมเรื่องนี้ไปเสียเถอะ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าอยากจะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตของข้าไปกับผู้หญิงดีกว่าผู้ชายเสียอีก”
ชิงสุ่ยถึงกับรู้สึกขนลุก เขาหัวเราะออกมาโดยไม่ได้พูดอะไรอีก จรู้ชิงก็เคยชอบผู้หญิงเช่นกันแต่นั่นมันก็ได้จบลงแล้ว เพราะเมื่อนางยังไม่ได้ถลำลึกลงไปมากก็สามารถหันหลังกลับได้โดยง่าย ชิงสุ่ยไม่ทราบว่านางพูดจริงหรือเพียงหยอกล้อ แต่นั่นไม่สำคัญอรกต่อไปเพราะเขาอยากจะออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด
“ถ้าเช่นนั้นให้ข้าได้ถามอีกครั้ง ผู้อาวุโส ข้าสงสัยเกี่ยวกับอีกสามมหาทวีปที่เหลือจริงๆ ท่านพอจะบอกอะไรข้าบ้างได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามในขณะทีนางเปิดโอกาสให้
“ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องถามเรื่องนี้ จริงๆแล้วในอีกสามมหาทวีปที่เหลือก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย สิ่งที่มีก็คือขนาดและความกว้างที่มากกว่าเท่านั้น มีซากปรักหักพังของสนามรบโบราณและสิ่งประดิษฐ์ปริศนาที่ถูกซ่อนไว้ตามที่ตำนานได้กล่าว มีผู้ฝึกยุทธิ์ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจรวมถึงสัตว์อสูรในตำนาน อีกทั้งมังกรยักษ์ สามมหาทวีปแห่งนี้จัดได้ว่าเป็นสามทวีปที่สิ้นเปลืองที่สุดในเก้ามหาทวีป แน่นอนว่าจำนวนประชากรทั่วไปมีจำนวนมากกว่าผู้ฝึกยุทธิ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีผู้ฝึกยุทธิ์ระดับสูงที่ในทวีปอื่นๆไม่มี” หญิงสาวตั้งใจอธิบายถึงสามมหาทวีปอย่างดี เมื่อนางดำเนินการแนะนำสามมหาทวีปนี้ต่อ ความโดดเดี่ยวและความสิ้นหวังก็ปรากฏออกมาให้เห็นผ่านการกิริยาท่าทางของนาง
ความคิดต่างๆได้ผ่านเข้าไปในจิตใจของชิงสุ่ย พร้อมกับได้ทราบว่าหญิงสาวในชุดคลุมจีนโบราณที่กำลังนั่งอยู่บนมังกรมรกตที่อยู่ต่อหน้าเขาตรงนี้เป็นคนที่มาจากสามมหาทวีป และพระราชวังจอมอสูรก็ตั้งอยู่ในสามมหาทวีปที่เหลือเช่นกัน เต่าโบราณที่เขาได้พบในก่อนนหน้าก็เป็นสัตว์อสูรโบราณอีกด้วย
มีข่าวลืออีกด้วยว่าในซากปรักหักพังอาจะมีโอสถสวรรค์, ศาสตราวุธแห่งสวรรค์และชุดเกราะรวมถึงไข่ขอพรที่มาจากสัตว์อสูรในตำนานอีกด้วย ซึ่งไข่นี้จัดได้ว่าเป็นไข่ในระยะฟักตัว
ทั้งหมดนี้ทำให้มันเป็นสถานที่แห่งโอกาสและภัยอันตราย
ชิงสุ่ยกำลังคิดตามเรื่องสามมหาทวีปที่เหลือซึ่งเขาได้ฟังมาจากหญิงสาว ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจเดินทางเข้าไป
“ผู้อาวุโส ท่านทราบหรือไม่ว่า ระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจครอบครองพลังเช่นใดกัน?”
“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจเองนั้นก็มีอยู่หลายระดับ ซึ่งแต่ละระดับก็จะมีพลังที่แตกต่างกันออกไป ” หญิงสาวตอบพลางส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นก็หมายความว่ามีผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจอยู่มากมายในสามมหาทวีปที่เหลือเช่นนั้นหรือ?” ชิงสุ่ยยังคงถามต่อไป
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถจินตนาการถึงสามมหาทวีปที่เหลือได้ เจ้าคงจะรู้ถึงมันในอนาคตอันใกล้นี้ ก็เหมือนกับพื้นดินใต้เท้าของเจ้าและหลุมฝังศพที่มีอยู่มากมาย เจ้าจะรู้ว่ามันมีอยู่ก็ต่อเมื่อเจ้าได้เดินไปพบเจอมันเท่านั้น เจ้าพอจะเข้าใจถึงสิ่งที่ข้าพูดใช่หรือไม่ ” หญิงสาวพูดออกมาเบาๆ
“ข้าพอจะเข้าใจอยู่บ้าง มันมีความต่างอยู่เสมอเมื่อเราได้พัฒนาตนเองขึ้นไป ไม่ว่าเราจะเก่งขึ้นสักเพียงใดก็มักจะพบผู้ที่เก่งกว่าอยู่เสมอ แม้กระทั่งทวยเทพก็มิอาจอยู่ยงคงกระพัน พวกเราเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะกลายมาเป็นดั่งเกลียวคลื่น ” ชิงสุ่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบหญิงสาวคนนั้นไป
“มิใช่เช่นนั้นเสมอไป แม้ว่าจะพบคนที่เจ้าคิดว่าเก่งกาจอยู่ข้างนอกนั่น เจ้าก็สามารถเป็นเช่นเขาได้ แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถเขย่าสวรรค์เมื่อเจ้าแกร่งขึ้น แต่อย่างน้อยเจ้าก็จะพบว่าพบว่าตนเองสามารถสั่นสะเทือนมหาสมุทรได้” หญิงสาวตอบชิงสุ่ยในขณะที่นางมองไปยังเขาด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้ม
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ไม่ทราบว่านอกจากนิกายปฐพีซ่อนเร้นแล้วยังมีนิกายอื่นอยู่อีกหรือไม่” ชิงสุ่ยทราบมาว่าคนเหล่านั้นมีนิสัยป่าเถื่อนและมีพลังที่ผิดธรรมชาติราวกับมีเลือดของสัตว์ป่าไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกเขา ถ้าอ้างอิงจากตำนานแล้ว ผู้คนจากเผ่าอสูรโลหิตในห้ามหาทวีปนั้นก็จัดเป็นคนประเภทหนึ่งแต่เขาจะมีพลังมากกว่าคนทั่วๆไป
“แน่นอนว่ามี แต่จำนวนของพวกนั้นย่อมหลงเหลืออยู่เพียงไม่มาก และตรงกับความจริงที่ว่าพวกเขามีพลังที่มหาศาล และทิศใต้ที่เจ้ากำลังมุ่งลงไปนั้น เจ้าจะพบกับผู้คนที่มีพลังมากมาย มีการกล่าวไว้ว่าหากผู้ใดต้องการเดินทางไปยังสามมหาทวีปที่เหลือจะต้องเดินทางผ่านทะเลอันกว้างใหญ่ทางทิศใต้นี้ไปเสียก่อน ”
ชิงสุ่ยได้ทราบเกี่ยวกับมหาทวีปอูเซียตะวันตกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามสถานที่เขาเคยไปมาเป็นแค่สิ่งเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นพลังที่เขาได้พบเจอก็เพียงเล็กน้อยเช่นกัน ถ้าหากเขาสามารถเพิ่มพลังและก้าวต่อไปได้ เขาจะสามารถลืมสิ่งที่เคยพบเจอมาก่อนไปได้เลย อาจนับได้ว่าเขาได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว
ชนป่าเถื่อน!
ผู้คนในดินแดนเทือกเขาสันโดษมักถูกเรียกว่าชนป่าเถื่อน ซึ่งจากที่เขาได้ยินคำพูดของหญิงสาวมานั้น มีคนจำพวกเผ่าอสูรโลหิตอยู่ทว่ากลับมีพลังที่เหนือกว่านั้น ผู้คนจำพวกนี้มีความเฉลียวฉลาดกว่าพวกที่อยู่ในห้ามหาทวีป
“อ้อลืมไป พวกนิกายปฐพีซ่อนเร้น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนพวกนั้น” หญิงสาวกล่าวเสริม
“เป็นไปได้อย่างไร?” ชิงสุ่ยถามด้วยความจริงจัง
“สองอัจฉริยะจากนิกายปฐพีซ่อนเร้น มีสายเลือดของชนเผ่าอสูรโลหิต อีกทั้งยังเป็นสายเลือดบริสุทธิ์เสียด้วย”หญิงสาวกล่าวต่อชิงสุ่ย
“สายเลือดจากเผ่าอสูรโลหิต? หมายความว่าพวกเขาเป็นเลือดผสมงั้นหรือ” ชิงสุ่ยแปลกใจ เขารู้มาว่าต่อให้พวกนั้นมีสถานะที่สูงส่งกว่าแต่ภายนอกกลับดูเหมือนผู้คนทั่วไป
“เลือดผสมงั้นหรือ?” เจ้าจะเรียกเช่นนั้นก็ได้!” หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มเอาไว้
อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยรู้สึกเขินอายกับคำพูดของเขา สายเลือดจากเผ่าอสูรโลหิตย่อมหมายความว่าเป็นการผสมข้ามเผ่าพันธุ์ โดยเฉพาะในเก้ามหาทวีปแห่งนี้ ชนเผ่าอสูรโลหิตเกิดจากชนป่าเถื่อน-มนุษย์ที่ยังไม่พัฒนา พวกมันเป็นเหมือนสัตว์อสูรชั้นสูงแต่ก็ไม่เหมือนกับพวกอสูรอมตะนิรันดร์เสียทีเดียว
“ผู้คนส่วนมากล้วนดูถูกพวกชนป่าเถื่อนและเผ่าอสูรโลหิต นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องเป็นศัตรูต่อกันและกัน”
“และในตอนนี้นิกายปฐพีซ่อนเร้นและเผ่าอสูรโลหิตให้ความร่วมมือต่อกันหรืออาจกล่าวได้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นพันธมิตรกันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกอัจฉริยะอาจจะสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะพวกเขามีสายเลือดของชนเผ่าอสูรโลหิตอยู่แต่มีสมองเช่นเดียวกับมนุษย์ อีกทั้งเผ่าอสูรโลหิตพวกนั้นจะคอยบูชาและพวกเขายังครอบครองพลังแห่งศรัทธา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาฉลาดขึ้นมา และจะยิ่งพัฒนาต่อเนื่องไป ”หญิงสาวอธิบายอย่างช้าๆ
“พลังแห่งศรัทธา?” ชิงสุ่ยถึงกับหยุดชะงัก
พลังที่ลึกซึ้งเช่นนี้ ตามตำนานได้กล่าวเอาไว้ มีเพียงผู้ที่ครอบครองจิตใจที่ปราดเปรื่องถึงจะได้รับพลังเช่นนี้ ชิงสุ่ยมองไปยังหญิงสาวอย่างตกตะลึง
“ถูกต้องแล้ว พลังแห่งศรัทธาเป็นสิ่งที่ยากที่จะได้พบพานหากไม่มีใครที่ศรัทธาในตัวเจ้าและคอยบูชาดั่งทวยเทพ มันเป็นหนทางเดียวที่เจ้าจะได้ครอบครองพลังแห่งศรัทธา” หญิงสาวอธิบาย
ชิงสุ่ยผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่เข้าใจมันได้ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เขาได้มายืนอยู่ในจุดนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นพลังแห่งศรัทธาเป็นพลังที่ยากจะได้รับตามคำกล่าวของหญิงสาว
“พลังแห่งศรัทธาไม่ได้มีปาฏิหารย์แต่อย่างได้ ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะกลายมาเป็นผู้ฝึกยุทธิ์ที่ไร้เทียมทาน ผู้ที่ครอบครองพลังเช่นนี้จะสามารถเอาชนะและบรรลุเป้าหมายของพวกเขาได้ ในบางครั้งมันช่วยให้พลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นแต่ในบางครั้งกลับเป็นอุปสรรคสำหรับการต่อสู้ พลังนี้ค่อนข้างจะยุ่งยาก” หญิงสาวกล่าวต่อ
“การที่จะเป็นผู้นำนิกายหรือเป็นราชาของอาณาจักรใดๆ พวกเขาจะได้รับพลังแห่งศรัทธามาเช่นนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยถามต่อไป
“ไม่เสมอไป ถ้าพวกราชวงศ์สามารถทำให้ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีก็จะได้รับพลังแห่งศรัทธา แต่ในทางตรงกันข้ามไม่เพียงพวกเขาจะไม่ได้รับพลังแห่งศรัทธาเท่านั้น แถมจะได้รับคำสาปแช่งเพิ่มมาด้วย หลังจากนั้นความโชคร้ายก็จะอยู่กับพวกเขา”
“คำสาปแช่ง?” ชงสุ่ยรู้สึกสับสน
“ไม่ต้องตกใจไปพลังแห่งศรัทธาและคำสาปแช่ง ไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์ มันเป็นเพียงสิ่งที่จะอยู่จะติดตัวไปกับพวกเขา เมื่อถูกสาปแช่งด้วยคนจำนวนมาก แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจจนทำให้พบกับความโชคร้าย แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ามีผู้คนศรัทธาต่อตัวเรามาก สิ่งเหล่านั้นจะเปลี่ยนมาเป็นพลังเชิงบวก เจ้าจะต้องพบกับความกดดันหากต้องต่อสู้กับคนกลุ่มนี้ เจ้าเข้าใจกว่าเดิมหรือไม่หากข้าเปรียบเลยเช่นนี้ ” หญิงสาวยิ้มให้ในขณะที่กำลังอธิบาย
“ข้าเข้าใจแล้ว มันไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ใดๆเลย ถ้าหากว่า คำสาปแช่งไม่สามารถเปลี่ยนมาเป็นพลังแห่งศรัทธา ได้ ข้าจะเรียกมันว่าผลตอบแทนแห่งความดีและความชั่วก็เท่านั้น ” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาด้วยความสบายใจ
“ถูกต้องแล้ว ผู้ฝึกยุทธระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจล้วนครอบครองพลังแห่งศรัทธาทั้งสิ้น ” หญิงสาวใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบชิงสุ่ย