บทที่ 1374 – มุ่งหน้าสู่เมืองหลวงของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ
ชิงสุ่ยรีบอุ้มชิงอวี้และเดินไปหาเหล่าเด็กๆ
มือข้างนึงของเขาอุ้มชิงอวี้ในขณะที่มืออีกข้างก็เอื้อมออกไปอุ้มชิงเหยียน จากนั้นก็เดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่นของตระกูลชิง และนี้ก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ตระกูลชิงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือเดินทางไกลไปที่ไหนเลยเพราะทุกคนต่างเฝ้ารอการกลับมาในทุกๆเดือนของชิงสุ่ย
แม้กระทั่งการค้าของตระกูลชิงเองก็ยังถูกจัดการโดยผู้อื่น และเงินที่เข้ามาสู่ตระกูลก็มากพอที่จะใช้อย่างไม่รู้จบ ไม่มีสิ่งใดที่ตระกูลชิงไม่อาจซื้อได้ยกเว้นเสียแต่สิ่งของที่ใช้เงินแลกเปลี่ยนมาไม่ได้
อำนาจการตัดสินใจในทุกอย่างยังคงอยู่ในกำมือของชิงสุ่ย และสิ่งที่ทำให้ตระกูลชิงก้าวไปข้างหน้าก็คือเขาซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำสูงสุด ชิงสุ่ยถ้าตะกูลของเขาเดินไปตามเส้นทางที่เขาวาด และด้วยความสามารถของชิงสุ่ยมันจึงทำให้เหล่าสมาชิกของตระกูลชิงเข้าถึงความสามารถใหม่ๆ ทั้งที่ในอดีตพวกเขายังไม่กล้าจินตนาการถึงขนาดนี้
“หยินเอ๋อ ครั้งนี้พ่อมีของขวัญมาให้เจ้าด้วยและพ่อมันใจว่าเจ้าจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน”ชิงสุ่ยเรายังมีความสุข ชิงหยินเป็นเด็กที่มักจะเก็บตัวเงียบและไม่ชอบการต่อสู้กับผู้อื่น
บุคลิกภาพประจำตัวของเธอยังคงเหมือนเดิมแม้ว่าเธอจะโตขึ้นแล้วก็ตาม อาจเป็นเพราะว่าเธอมองเห็นทุกคนที่ใกล้ชิดกับเธอนั้นล้วนแล้วแต่มีการแข่งขันที่สูง
“โอ้? อะไรเหรอ? ท่านพ่อ ท่านจะลำเอียงไม่ได้นะ ข้าเองก็อยากได้เช่นกัน”ชิงอวี้ยิ้มขณะกล่าว
“ก็ได้ก็ได้ เจ้าเองก็จะได้มันเช่นกัน”ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่หยิบเอาพิณ 5 สายขนาดเล็กออกมาและมอบให้กับเด็กๆทุกคน
ชิงหยินแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขทันทีที่เห็นพิณ 5 สาย เพราะในอดีตที่ผ่านมาชิงสุ่ยสังเกตเห็นว่าชิงหยินเป็นคนที่ชอบดนตรี แต่ตัวของชิงสุ่ยนั้นรู้จักเครื่องดนตรีเพียงแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น และที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือการที่ชิงหยินหยิบมันขึ้นมาและเรียนรู้อย่างรวดเร็วก่อนที่จะเริ่มบรรเลงเพลงอันไพเราะเบาๆ ราวกับว่ามันกำลังรวมกันเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของเธอ บางท่วงทำนองเต็มไปด้วยความสง่างาม บ้างก็โศกเศร้า ราวกับคนที่กำลังจมอยู่ในความเหงา
“ท่านพ่อของข้าดีที่สุดในโลกเลย!!”ชิงหยินตอบรับอย่างมีความสุขในขณะที่เธอพยายามดึงชิงสุ่ยให้ย่อเข่าลงก่อนที่จะจูบลงบนใบหน้าของชิงสุ่ยผู้เป็นพ่อ
การกระทำเล็กๆน้อยๆนี้ยิ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกประทับใจ เพราะการกระทำเหล่านี้มักจะพบเจอได้ในตัวของชิงอวี้ซึ่งเป็นการยากมากที่จะได้รับการกระทำเช่นนี้จากตัวของชิงหยิน
ชิงสุ่ยเอื้อมมือออกไปและค่อยๆลูบหัวเธออย่างช้าๆก่อนจะเริ่มสอนทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม “ลูกพ่อเจ้าลองดูบทบรรเลงนี้สิ มันเป็นบทบรรเลงที่ไพเราะอย่างยิ่งและเป็นเอกลักษณ์มาก แม่ของเจ้าและป้าๆของเจ้าจะต้องได้ฝึกฝนมันเช่นกัน”
จากนั้นชิงสุ่ยก็หยิบเอาบันทึกสำเนาท่วงทำนองบทเพลงออกมาแล้วแบ่งจ่ายให้กับเด็กๆทุกคน ซึ่งในครั้งนี้ชิงเหยียนเป็นคนที่แสดงท่าทางมีความสุขมากที่สุด
“ท่านพ่อ ถ้าข้าไม่อยากได้มันแล้วจะได้หรือไม่?”หลังจากกล่าวจบ ชิงอวี้ก็ก้มหน้าลงพร้อมกับส่ายหน้า ดูเหมือนว่าเรื่องเหล่านี้เธอจะต้องใช้ความพยายามเป็นพิเศษ
“การเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จะทำให้เจ้าสามารถสั่งสอนพวกคนไม่ดีได้ เจ้าไม่อยากจะเรียนรู้มันหรือ?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยน เขามองดูการแสดงออกของสาวน้อยที่กำลังเขินอาย
เขาไม่ต้องการบังคับให้เหล่าเด็กๆต้องเรียนรู้ในสิ่งที่พวกเธอไม่อยากเรียนรู้ เขารู้ดีว่าความสามารถในการเรียนรู้จะเป็นเลิศได้ก็ต่อเมื่อเด็กๆสนใจที่จะเรียนรู้มันจริงๆ มันก็เหมือนกับการที่เขามองเห็นความสนใจในด้านดนตรีของชิงหยิน มันถึงทำให้ชิงสุ่ยรู้ดีว่าเธอจะเรียนรู้มันได้และทำมันได้ดีอย่างแน่นอน
และก็เป็นโชคดีที่เธอสนใจเรียนรู้ในทักษะย่างก้าว 9 เทวารวมถึงเพลงหมัดไทเก๊ก อีกทั้งเธอยังมีพี่สาวและน้องชายที่คอยช่วยเหลือ ต่อให้ในอนาคตชิงสุ่ยจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วหรือเขาต้องตายไป ก็จะไม่มีใครกล้าข่มขู่เธอ และต่อให้ชิงหยินไม่สนใจที่จะฝึกฝนพลังปราณ ชิงสุ่ยก็ย่อมไม่บังคับเธออย่างแน่นอน
พ่อแม่ทุกคนย่อมต้องอยากให้ลูกสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่วิธีการเลี้ยงลูกของแต่ละคนนั้นก็ยังต้องแตกต่างกัน การบังคับลูกอาจจะไม่ใช่หนทางที่ดี และมันอาจทำให้เด็กบางคนกลายเป็นเด็กที่นิสัยเสีย
ชางห่านหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ทั้งสองคนต่างก็ได้รับ พิณ(กู่ฉิน) 5 สาย ที่มีขนาดเท่ากับพิณ(กู่ฉิน)ที่อี่หวงกู่หวู๋และหยวนสู่ใช้อยู่ อีกทั้งพวกเธอยังได้รับการถ่ายทอดทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจมเช่นเดียวกันและชิงสุ่ยก็ยังถ่ายทอดทักษะร้อยปักษาบูชาหงส์ให้กับพวกเธอ ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเธอจะไม่ค่อยสนใจมันมากนัก คนที่สนใจมากก็คือชางห่ายหมิงเยวี่ยและติ๊ชิง แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอทั้งสองจะรู้ดีว่าโอกาสที่จะเรียนรู้ทักษะนี้จนสำเร็จได้นั้นจะมีน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
ชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้ร้องขอให้พวกเธอฝึกฝน และปล่อยให้พวกเธอตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่เขาก็ได้พบกับความน่าประหลาดใจ
หลวนหลวน!!
หลวนหลวน เด็กน้อยผู้เกิดมาพร้อมกับสัตตะดวงใจลี้ลับ ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะสามารถเข้าถึงดินแดนสวรรค์แห่งเสียงเพลงได้ หลังจากที่เธอฝึกซ้อมเพียงไม่กี่ครั้งเธอก็สามารถปลดปล่อยเสียงร่ำร้องแห่งนกหงส์เพลิงที่น่าตะลึงให้ทุกคนได้สดับฟัง
ท่วงทำนองบทเพลงอาจจะดูคล้ายกันแต่กลับรู้สึกไม่อาจต้านทานมันได้ แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็ยังรู้สึกว่าเสียงดนตรีนี้มันเกิดมาเพื่อควบคุมและสังหารผู้คนอย่างแท้จริง
หลวนหลวนยังคงฝึกซ้อมอย่างเงียบๆโดยที่ทุกคนถึงกับหยุดการฝึกฝนของตนเองและเฝ้ามองการบรรเลงเพลงของหลวนหลวน การแสดงออกของเธอนั้นราวกับว่าเธอได้ฝึกฝนมันมานับแรมปี คนทั่วไปเมื่อบรรเลงเพลงจะไม่สามารถเจาะจงเข้าสู่จุดเป้าหมายที่ต้องการได้แต่เธอนั้นสามารถส่งเสียงบรรเลงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยที่เสียงเพลงของเธอนั้นสามารถเจาะทะลุผ่านทุกสิ่งอย่างโดยไม่มีแม้แต่สิ่งที่ขวางกั้นมันได้
ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยไม่เคยคาดหวังเลยว่าหลวนหลวนจะสามารถเรียนรู้ทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจมได้ไวเช่นนี้ อาจเป็นเพราะว่าเธอนั้นคือผู้ฝึกสัตว์ที่ทรงพลัง จึงมีรากฐานที่ไม่เหมือนผู้อื่น ในอนาคตเธอจะต้องเติบโตขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่านี้เป็นแน่
ภายในตระกูลชิงยังมีผู้คนเพียงน้อยนิดที่สามารถใช้ยาเม็ดเลื่อนขั้นเมฆามรกต โอสถหวนคืนพลังและยาเม็ดสวรรค์หยาง ซึ่งทุกคนที่ใช้มันร่างกายจะพัฒนาและแสดงถึงพลังแฝงที่ซ่อนอยู่ผ่านการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้ใช้ได้ก็ยังต้องใช้ความเข้าใจที่สูงส่งเพื่อดูดซึมซับพลังงานจากตัวยาเหล่านั้น
ชิงสุ่ยเชื่อว่าในอนาคตเขาจะต้องค้นพบสูตรการปรุงยาต่างๆมากขึ้นและมันจะสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับคนที่ไม่อาจก้าวข้ามพลังเหล่านั้นไปได้
สำหรับตระกูลเล็กๆที่จะกลายเป็นตระกูลยิ่งใหญ่ได้นั้นล้วนแล้วแต่ต้องใช้เวลาหลายชั่วอายุคนและยังต้องลงแรงลงตายจำนวนมาก ส่วนตระกูลชิงนั้นกลับใช้เพียงแค่ 4 ชั่วโมงคุณเท่านั้น ต้องก้าวขึ้นสู่ตระกูลที่ทรงพลังและคงจะเป็นตระกูลที่ทรงพลังที่สุดใน 5 มหาทวีป ซึ่งไม่มีวันเสื่อมคลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภัยคุกคามสำหรับตระกูลต่างถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น
แต่ดูเหมือนว่าตระกูลชิงยังไม่ปรากฏสายเลือดที่ถ่ายทอด ไม่ว่าจะเป็นลูกของเขากับเหวินเหรินอูซวงหรือติ๊ชิง เด็กๆเหล่านั้นยังไม่มีอาการแสดงถึงสายเลือดถ่ายทอดให้ปรากฏเห็นเลย
ในปัจจุบันชิงสุ่ยได้ก้าวข้ามขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศและตัวของเขาเองก็ถือครองกายาทองคำ9หยาง มันยิ่งทำให้ชิงสุ่ยรับรู้ว่ากายาทองคำ 9 หยางคงไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถถ่ายทอดไปได้
ส่วนทักษะเลียนแบบสัตว์ 9 ชนิด ก็ยังเป็นที่น่าสงสัยว่าเขาจะสามารถถ่ายทอดความสมบูรณ์ของทักษะเหล่านี้ไปได้หรือไม่?
หลังจากได้พักผ่อนช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ชิงสุ่ยก็ได้จะไป ตระกูลชิงกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ทุกครั้งที่เขากลับมาเขาก็จะอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นและในอนาคตเขาอาจจะอยู่ได้เพียงแค่ 2 วัน เวลาพักผ่อนของเขาเหลือน้อยลงทุกทีเพราะเขายังคงมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย
เมื่อชิงสุ่ยกลับมายังมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ อี่หวงกู่หวู๋ได้เตรียมพร้อมและทุกคนก็มารอเขาอยู่ที่หอคอยจักรพรรดิ ชิงสุ่ยได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่อี่หวงกู่หวู๋และหยวนสู่ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป
หลังจากที่ได้พูดคุยกันกว่า 1 วัน ชิงสุ่ยก็ได้พาพวกเธอใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวะเพื่อมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่เขาจำเป็นต้องไปก่อน
เมืองเทียนฮี่!!
ชิงสุ่ยยังคงจำคำสัญญาที่เขาได้บอกไว้กับ เทียนฮี่ เรินโม่ เขาจึงมุ่งหน้าตรงไปยังตะกูลเทียนฮี่เป็นอันดับแรก
“เจ้าต้องการที่จะพักก่อนจะเดินทางที่บ้านของข้าสักวันหรือไม่?”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวถามอย่างสุภาพ
“พี่ชาย อย่าได้ลำบากเลย ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการที่เราจะออกเดินทาง”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว
“งั้นก็เอาตามที่เจ้าว่า!!”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวตอบ เขาเดินออกไปชั่วครู่หนึ่งเพื่อบอกลากับทุกคนในตระกูลเทียนฮี่ ว่าถึงเวลาที่เขาจำเป็นจะต้องเดินทางแล้ว
หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็ได้ใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวาติดต่อกันจนครบ และเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมาเพื่อให้เหล่าหญิงสาวนั่งบนหลังมัน ส่วนเขาและเทียนฮี่เรินโม่นั่งอยู่ด้านหน้า
“น้องชาย ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงต้องการมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของมหาทวีป?”เทียนฮี่ เรินโม่เปล่าถามด้วยความอยากรู้
“อันดับแรกถ้าต้องการไปจัดตั้งหอคอยจักรพรรดิ ณ ที่แห่งนั้น จากนั้นข้าก็คงจะออกเดินทางไปรับรอบเพื่อดูว่าใครจะทำอะไรอย่างอื่นได้บ้าง ว่าแต่พี่ใหญ่ล่ะ ท่านต้องการจะไปทำอะไร?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวถาม
“ข้า…..ข้าคงจะไปตามหาอาจารย์ของข้า เพื่อให้เขาพาข้าก้าวข้ามขีดจํากัดขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศ”น้ำเสียงของเทียนฮี่ เรินโม่เต็มไปด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่
“พี่ใหญ่ รากฐานของท่านก็ไม่ได้เลวร้ายนัก และข้าเองก็หวังว่าท่านจะก้าวหน้าก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้ แต่ท่านควรรู้เอาไว้ว่าทุกอย่างกล่าวหลังจากนี้จะเต็มไปด้วยความอันตราย”ชิงสุ่ยกล่าวตามความจริง ทุกคนที่จะบรรลุในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศล้วนแล้วแต่จะต้องเผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ
เผชิญหน้าความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ นั่นก็เท่ากับว่าทุกคนจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อแลกเปลี่ยนความเป็นและความตาย
“ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ข้าได้เลิกใส่ใจมันแล้ว และก็ไม่คิดหวังอะไรมากมาย จนกระทั่งได้เจอกับน้องชายอย่างเจ้า หลังจากนี้ข้าจะต้องพัฒนาขึ้นและคืนสนองหนี้ที่คนอื่นเคยทำกับข้า”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ว่าแต่ท่านพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเย่หลางบ้างหรือไม่?”ชิงสุ่ยเอ่ยถาม
“พวกเขาคือตระกูลที่อยู่ภายในเมืองหลวงของมาทวีปและเป็นตระกูลที่ทรงพลังยิ่ง พวกเขามีพลังมากมายเหนือตระกูลเทียนฮี่ แต่ถึงกระนั้นตระกูลเย่หลางหากต้องการทำลายตระกูลเทียนฮี่พวกเขาเองก็ต้องสูญเสียอย่างมาก ดังนั้นสงครามใหญ่คงจะไม่เกิดขึ้นแน่”
“แล้วหลังจากที่ท่านได้เจอในสิ่งที่ต้องการแล้วท่านอยากจะทำอะไรต่อ?”ชิงสุ่ยเอ่ยถามขณะจ้องมองเทียนฮี่ เรินโม่
“ข้าจะสู้ ข้าจะทำให้พวกมันต้องรับรู้ในสิ่งที่ทำกับข้าไว้”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ท่านรอมา กว่า 10 ปีแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่รอต่ออีกหน่อย?”ชิงสุ่ยกล่าวขณะมองไปทางเทียนฮี่ เรินโม่
“หลังจากที่ก้าวข้ามขึ้นสู่ระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศแล้ว ข้ารู้ดีว่าการที่ข้าจะยกระดับพลังขึ้นสู่อีกระดับหนึ่งมันคงเป็นเรื่องที่ยากมาก ไหนจะต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต แม้ว่าข้าเองก็อยากที่จะก้าวข้ามขึ้นถึงระดับที่ 3 แต่มันก็คงทำให้ชีวิตและความตายของข้าห่างกันเพียงแค่เส้นบางๆ และข้าก็กลัวว่าข้าจะไม่มีโอกาสได้ทำมัน”เทียนฮี่ เรินโม่กล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
ชิงสุ่ยเองก็รู้สกประหลาดใจเช่นกัน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าพลังของเขานั้นอยู่ในจุดใดของขั้นปราณบัณชาสวรรค์พินาจ แต่เขาควรพิจารณาว่าอยู่ในระดับเดียวกับระดับปราณบัณชาสวรรค์พินาจขั้นที่ 2 แต่น่าแปลกที่เขาเองก็ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ
หรือว่าเขาไม่จำเป็นต้องเผชิญกับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ?
หรือว่ามันมีเงื่อนไขอะไร ทำไมเขาถึงไม่ต้องเผชิญหน้ากับความทรมานแห่งสวรรค์พินาจ?