บทที่ 1464 – ถึงเวลาโผบิน
คำพูดของชิงสุ่ยเป็นไปด้วยความอบอุ่น ขณะที่ชิงสุ่ยจ้องมองใบหน้าของถานท่าย หลิงเยียน ใบหน้าของเธอก็เริ่มปรากฏรอยยิ้มจางๆให้เห็น ความงามของเธอนั้นไม่เหมือนใครในโลกใบนี้ มันไม่อาจบรรยายได้เป็นคำพูด แต่ก็เปรียบได้กับดอกไม้บนต้นกระบองเพชรที่เบ่งบานอย่างยากเย็นและไม่ค่อยมีใครมองเห็นมันได้
แป๊ะ!!
ถานท่าย หลิงเยียนยื่นมือของเธอไปเคาะศีรษะชิงสุ่ยเบาๆ
ชิงสุ่ยพยายามยิ้มอย่างอึดอัดใจ เขาไม่อาจระงับความไม่สุภาพขณะจ้องมองหญิงสาวคนนี้ได้ เพราะความสัมพันธ์ในปัจจุบันของทั้งสองคนนั้นยังคงเป็นเพียงแค่เพื่อนสนิทกัน
ทางด้านของถานท่าย หลิงเยียนเธอมองเห็นสร้อยคอที่เธอมอบให้กับชิงสุ่ย ซึ่งเขากำลังสวมใส่มันอยู่ เธอไม่รู้ว่าเธอควรจะรู้สึกอย่างไรนี่มันเป็นครั้งแรกที่เธอมอบสิ่งของให้กับผู้ชาย อีกทั้งมันจะเป็นสิ่งที่เธอรักมากและมีความหมายสำหรับเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เศษซากสิ่งของที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า
“ดูเหมือนอาการบาดเจ็บของข้าจะดีขึ้นมากแล้ว เจ้าจะปล่อยมือของข้าได้หรือยัง?”ถานท่าย หลิงเยียนยกแขนขึ้นเล็กน้อย
ชิงสุ่ยลังเลที่ปล่อยมือเธอ เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ได้เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาจึงพยายามรับเอาผลประโยชน์ให้มากที่สุดจากเธอ เพื่อหวังว่าความสัมพันธ์ของเขาจะคืบหน้าไปบ้าง
“หลิงเยียน แผนที่เจ้าจะทำต่อจากนี้คืออะไรหรือ? แล้วเรื่องของนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะล่ะ?” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับหยิบกาน้ำชาแล้วเทน้ำชาให้กับเธอ
“นิกาย 5 พยัคฆ์อมตะตั้งอยู่บนมหาทวีปอุดรเทวา และยังเป็นกลุ่มคนที่ทรงพลังอย่างมาก พวกเขาเคยกล่าวถึงนักรบที่อยู่ในระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากเรามุ่งหน้าไปหาพวกเขาในตอนนี้ พวกเราก็คงเป็นเพียงแค่มดปลวกในสายตาคนเหล่านั้น พวกเราไร้อำนาจและคงไม่มีหวังที่จะชนะได้ ในตอนนี้ข้าพึงพอใจอย่างมากแล้วที่สามารถทำให้กลุ่มมังกรอหังการล่มสลายได้ อย่างน้อยในตอนนี้ สมาชิกในครอบครัวของข้าทั้งหมด แม้พวกเขาจะอยู่บนสวรรค์ข้าเชื่อว่าพวกเขาต้องเห็นผลสำเร็จนี้และคงปล่อยวางทุกอย่างได้เสียที”ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวอย่างช้า มันเป็นความรู้สึกผ่อนคลายความทุกข์ที่อยู่ในใจของเธอมาตลอด
“เจ้าคิดเช่นนั้นก็ดีแล้ว ในอนาคตเมื่อพวกเราแข็งแกร่งขึ้น พวกเราจะมุ่งหน้าไปยังนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะ และเมื่อใดที่พวกเราก้าวขึ้นสู่ระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เมื่อนั้นพวกมันจะต้องยอมสยบให้กับเรา”ชิงสุ่ยกล่าวปลอบโยนเธอ แต่ทุกคำพูดของเขานั้นล้วนแล้วเป็นความจริง
“ไว้วันนั้นมาถึงพวกเราจะไปด้วยกัน แต่ในตอนนี้ ข้าจะให้ผู้คนจากพระราชวังจอมอสูรแก้แค้นทุกคนที่จะทำร้ายพวกเราเอาไว้”ถานท่าย หลิงเยียนกล่าวด้วยความอดทนที่เธอทนรอมายังเนินนาน
……………..
และอีก 2 เดือนถัดมา กลุ่มพระราชวังจอมอสูรได้ทำการแก้แค้นทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีต นอกเหนือจากคนที่หลบหนีไปได้ก็ไม่มีใครเหลือรอดเลยเพราะพวกเขาไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว
หลังจากถานท่าย หลิงเยียนได้กระทำการทั้งหมดไปเธอก็มุ่งหน้าเข้าสู่การปิดผนึกตัวตนเพื่อฝึกตน และด้วยเหตุนี้ชิงสุ่ยเองจึงไม่รู้ว่าเขาควรไปไหนต่อ เขาควรตามเธอกลับไปยังพระราชวังจอมอสูรหรือไม่?
แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะกลับไปยังที่ที่เป็นบ้านของเขาเพราะยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาจำเป็นต้องทำ
ชิงสุ่ยไม่ได้มีแผนจะย้ายตระกูลของตนเองไปไหนอีก เขาตัดสินใจปักหลักปักฐานตระกูลของเขาที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ เขาพยายามเพิ่มพูนพลังของตัวเองอย่างถึงที่สุดเพื่อให้เขาสามารถทำอะไรก็ได้อิสระในทุกๆที่ และมันจะทำให้เขามีชีวิตรอดปลอดภัยจากทุกที่เช่นกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันนี้วันพิเศษได้เกิดขึ้นที่ตระกูลชิง
วันนี้เป็นวันที่ชิงซุนและชิงหยินกำลังจะเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองครบรอบอายุ
ตอนนี้ทั้งสองคนอายุย่างเข้า 16 ปีแล้ว รุ่นที่ 4 ของตระกูลชิงกำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆเพื่อเข้ามาแทนที่คนรุ่นก่อนก่อนและเป็นตัวแทนของตระกูล
ทางด้านถานท่าย หลิงเยียนเธอได้เลือกปลีกตัวออกไปเพื่อฝึกฝนตนเองอย่างสันโดษ ส่วนทางด้านของอี้เย่เจี้ยนเก้อนั้นก็ยังคงไม่มีข่าวคราว ส่วนติ๊เฉิน ถานท่ายหยวน อวี้ลู่หยาน องค์หญิงใหญ่และชิงซาทุกคนกำลังฝึกฝนอย่างหนักและคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วภายในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก ความแข็งแกร่งของทุกคนกำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในความจริงแล้วทุกคนต่างยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาทวีปอู่เซียแล้ว แน่นอนว่านี่นับแค่เพียงคนทั่วไปผิวเผินไม่นับบรรดาผู้ที่หลบซ่อนตัวและหลบซ่อนความแข็งแกร่งของตนเองเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ พวกเขาเลือกที่จะซ่อนตัวและไม่พยายามสร้างศัตรู เพราะคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ละทางโลกไปแล้ว
ชิงซุนและชิงหยินกำลังจะเริ่มต้นเส้นทางชีวิตของตัวเอง หลังจากนี้มันจะเป็นเส้นทางที่ลำบากเพราะการเผชิญโลกกว้างนั้นจำเป็นจะต้องแบกรับชะตากรรมของตระกูลเอาไว้และทำให้ทั้งสองต้องอดทนพยายามมากขึ้น
ชิงหลัว เหยียนจงชิ่ว ชิงอี้ หลู่ซิง(ภรรยาอีกคนของเหยียนจงเยว่) เหยียน ชิงฉาง และเหยียน ชิงถิงก็มาร่วมงานด้วยในวันนี้ จึงทำให้ตระกูลชิงคึกคักยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีเหล่าตระกูลขุนนางรวมถึงกลุ่มวิหคอัคคีร่ายรำมาร่วมยินดีด้วย
ชิงซุนและชิงหยินต่างก็กำลังเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ทั้ง 2 ได้รับกรรมพันธ์ที่แสนโดดเด่นมาจากผู้เป็นพ่อและแม่ ชิงซุนนั้นรูปร่างสูงและแข็งแกร่ง หน้าตาของเขานั้นหล่อเหลาเอาการ ส่วนชิงหยิน เธอนั้นมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับชางห่ายหมิงเยวี่ยผู้เป็นแม่อย่างมาก มองจากภายนอกทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอนั้นช่างมีความงดงามราวกับเทพธิดา (ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน และเป็นลูกชิงสุ่ยกับชางห่ายหมิงเยวี่ย)
ชิงหยินกอดแขนชิสุ่ยยังมีความสุข โดยที่มีชางห่ายหมิงเยวี่ยยืนอยู่ข้างๆ ส่วนชิงซุนก็ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ชิงอวี้(ลูกชิงสุ่ยกับลิ่วลี่)และชิงเหยียน(ลูกชิงสุ่ยกับสือฉิงจวง) ซึ่งบุคลิกของทั้งสองคนดูเหมือนจะคล้ายคลึงกับชิงซุน
ส่วนชิงหมิน(ลูกชิงสุ่ยกับเก้อโหลว)แม้ว่าจะยุน้อยกว่า 1 ปี แต่ความสูงของเขานั้นก็เทียบเท่ากับความสูงของชิงซุน หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือทั้งสองมีความสูงเกือบเท่าชิงสุ่ย อีกทั้งยังมีรูปร่างสูงผอม หน้าตาอันดูหล่อเหลาของเขานั้นทำให้ทุกคนหลงใหล ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความน่าสนใจ ตัวเขาไม่ใช่คนที่พูดเยอะ แต่หากเป็นด้านความเจ้าชู้แล้วล่ะก็เขาแทบไม่ต่างอะไรจากชิงสุ่ยเลย
เขามักจะถูกเอาใจโดยหมิงเยวี่ยเก้อโหลวมาโดยตลอด แต่เขาก็ยังไม่ได้ยึดติดกับหญิงสาวคนใดเลย ซึ่งชิงสุ่ยเองก็ไม่ได้กล่าวว่าหรือบังคับอะไรเขา แต่ชิงสุ่ยจะสอนอยู่เสมอว่าเป็นผู้ชายควรรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ และไม่ควรเล่นกับความรู้สึกของหญิงสาว
ทั้งตัวขอชิงหมินเองก็ชื่นชมในตัวพ่อของเขาอย่างสุดหัวใจ เขาทำตามทุกคำพูดที่พ่อของเขาสั่งสอน ในตระกูลแห่งนี้ทุกคนชื่นชมชิงสุ่ยและยกให้เขาคือวีรบุรุษในใจของทุกคน
เมื่อเวลาจัดพิธีมาถึง พิธีการเป็นไปอย่างเรียบง่ายและให้ครอบครัวรวมถึงแขกที่มาเยี่ยมเยียนงานได้ร่วมรับประทานอาหารกัน
หลายๆคนที่มาร่วมงานมีเจตนาที่แท้จริงคือการจับจองคู่หมั้นกับผู้คนในตระกูลชิง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ออกมาโดยตรง ลึกๆแล้วพวกเขาต้องการอย่างน้อยที่สุดคือการได้พูดคุยเชื่อมความสัมพันธ์กับคนชนชั้นที่สูงกว่าตน และแม้ชิงสุ่ยจะไม่ได้สนใจและแยกแยะชนชั้นวรรณะ แต่เขาค่อนข้างสนใจในการตัดสินใจแต่งงานของเหล่าลูกๆทั้งหลาย แน่นอนว่าเขาคงไม่ยอมปล่อยให้เด็กๆเหล่านี้แต่งงานเร็วเกินไป เพราะลูกๆของเขาที่เติบโตขึ้นถึงวัยผู้ใหญ่นั้นมีอยู่เพียงแค่ส่วนน้อย ทุกอย่างจะต้องรอเวลาอันสมควรเสียก่อน
ทั้งด้านของอี่หวงกู่หวู่เธอได้ชุบเลี้ยงชิงจุนให้เติบโตขึ้นโดยที่ตัวของเด็กเองไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นเป็นลูกบุญธรรม ทั้งสองก็เลี้ยงเธอดุจลูกที่เกิดจากสายเลือดของทั้งสองคน แน่นอนว่าทั้งสองย่อมแสดงความรักเฉกเช่นเดียวกับที่แสดงต่อ หลวนหลวน อวี้ช่าง(ลูกหมิงเยวี่ยกับพ่อเลี้ยงใจร้ายโดนชิงตบตายไปนานแล้ว)
เคล็ดวิชาทวิไร้นามคือสิ่งที่ทุกคนในตระกูลได้รับการปลูกฝัง แม้แต่เหล่าหญิงสาวทั้งหลายก็เริ่มฝึกฝนมัน จนทำให้ความแข็งแกร่งรุดหน้าไปไกล และทำให้ร่างกายของทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
นอกจากนี้ยังมี ทักษะ9รากฐานบรรพกาลศึกที่กลายมาเป็นมรดกสืบทอดทักษะภายในตระกูลชิง และทุกคนยังได้เรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นทักษะย่างเก้า 9 เทวา กรงเล็บหงษ์เพลิงพิฆาต
ตอนนี้พวกผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองคนของตระกูลชิงกำลังนั่งมองผู้คนจากประตูของตระกูล ทั้งสองคนยอมรับและถือว่าตัวเองนั้นได้บรรลุศักยภาพสูงสุดและไม่คาดหวังว่าจะได้ผ่านยกระดับพลังสูงขึ้นกว่านี้อีกแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะอาจไม่แข็งแกร่งมากแต่ก็มากพอที่ทำให้อยู่ในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำอย่างสงบสุขได้
ส่วนหลวนหลวนคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน เธอผลักดันตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวของเธอเอง แม้ว่าตัวของเธอจะแข็งแกร่งอย่างมากแต่สัตว์อสูรของเธอและทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะนั้นทรงพลังยิ่งกว่า
ทักษะครอบครองสัตว์อสูรเทวะที่หลวนหลวนใช้ล้วนแล้วแต่ควบคุมสัตว์อสูรวิวัฒนาสายพันธุ์โบราณ และเป็นสัตว์อสูรที่หิวกะหายอย่างมาก
ชิงสุ่ยยืนอยู่ข้างๆชางห่ายหมิงเยวี่ยและมองดูลูกๆของทั้งสองคนอย่างมีความสุข ชิงสุ่ยยังคงจับมือของเธออย่างแน่นหนา
“เราไม่ทันได้สังเกตเลยนะว่าลูกๆของเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว เจ้ายังจำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้หรือไม่?”
“ในตอนนั้น เจ้าแทบไม่มีอะไรเลย เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กซนคนหนึ่ง และข้าก็ไม่คาดคิดว่ามันจะนำมาซึ่งวันนี้”ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวอย่างมีความสุข
“เจ้าเคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างหรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าว
“ข้าไม่เคยเสียใจเลย แถมข้ายังรู้สึกว่าข้านั้นมีโชคชะตาที่ดีอีกต่างหาก เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กซน แต่ในสายตาของข้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องยิ่งใหญ่และเป็นชายที่ดีในอนาคต”ชางห่ายหมิงเยวี่ยยิ้ม
“สวรรค์เมตตาข้าจริงๆที่ส่งหญิงสาวโฉมงามดั่งความฝันมาเป็นคู่ครองที่ยอดเยี่ยมของข้า”ชิงสุ่ยยิ้มขณะจ้องมองช่างห่ายหมิงเยวี่ย