บทที่ 1475 – อี่หวง กู่หวู๋ตั้งครรภ์ เหยียน หลาง
แม้ฮัว รูเหม่ยจะไม่ชี้แนะ ชิงสุ่ยก็ตั้งใจจะกลับพร้อมกับถานท่าย หลิงเยียน แต่เมื่อฮัว รูเหม่ยพูดเช่นนั้นจึงทำให้บรรยากาศรอบ ๆ แปลกไป ซึ่งฮัว รูเหม่ยเองก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ชิงสุ่ยจึงยิ้มให้เธอก่อนจะออกไปพร้อมกับถานท่าย หลิงเยียน
ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไป ถานท่าย หลิงเยียน ไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางไม่พอใจอะไร เธอเดินไปข้าง ๆ ชิงสุ่ยตามสบาย
“เจ้ามีความสุขไหม?”ชิงสุ่ยยิ้มและถาม
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น ชิงสุ่ยคงจะไม่ถามเช่นนี้ แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร เขาจึงถามออกไป
ถานท่าย หลิงเยียน อึ้งไปชั่วครู่ นี้เป็นครั้งที่สองที่ชิงสุ่ยถามเธอด้วยคำถามนี้หรือว่าคำถามนี้จะมีบางอย่างสำคัญต่อชิงสุ่ย?
“ทำไมเจ้าถามเช่นนั้นล่ะ?”ถานท่าย หลิงเยียนจ้องชิงสุ่ยและเดินต่อไป
“ข้าอยากรู้”
“แล้วมันสำคัญมากเลยหรือ?” ถานท่าย หลิงเยียนเม้มปาก ในตอนนั้นเองเธอดูเปล่งประกายและงดงามมาก
“สำคัญมากสิ”ชิงสุ่ยตอบ
“ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้ข้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ความกดดันที่หนักอึ้งเหมือนภูผาได้หายไปเกือบครึ่งแล้ว ดังนั้นข้าคิดว่าตอนนี้ข้าน่าจะมีความสุข..”
ถานท่าย หลิงเยียนตอบอย่างลังเล
ชิงสุ่ยไม่ค่อยเข้าใจความหมายนั้นสักเท่าไร แต่ก็คงจะเหมือนที่เธอพูด ตอนนี้เธอ”น่าจะ”มีความสุข อย่างน้อยนั้นก็ไม่ใช่คำตอบที่เลวร้ายเท่าไรนัก ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
“แล้วเจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต?”ชิงสุ่ยถามหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
ถานท่าย หลิงเยียนเองก็นิ่งไปเช่นกัน ก่อนเธอจะถามชิงสุ่ยกลับ “เจ้าคิดจะออกเดินทางแล้วหรือ?”
ชิงสุ่ยไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ไม่ใช่ตอนนี้ ข้ามีบางอย่างที่สสำคัญที่ต้องจัดการ ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้ามีแผนการอย่างไร แม้ข้าจะอยู่หรือไม่อยู่ที่นี้ อย่างไรแล้วข้าก็เป็นของเจ้าแล้ว ข้าเป็นของ พระราชวังจอมอสูร”
ถานท่าย หลิงเยียนทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยขณะมองเขา เธอไม่รู้ว่าชิงสุ่ยพูดเล่นหรือพูดจริง แต่เธอรู้สึกว่าชิงสุ่ยตั้งใจพูดออกมาเช่นนั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
“ในอนาคตอันใกล้นี้ ข้าต้องการให้พระราชวังจอมอสูรแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ข้าไม่ต้องการให้ใครมารังแกพวกข้า” ถานท่าย หลิงเยียนตอบ
ชิงสุ่ยมองเธอ แม้บางครั้งเธอจะทำตัวเย็นชา แต่เธอก็มีจิตใจเมตตา ถึงพระราชวังจอมอสูรจะเป็นผู้นำของ 4 พลังมาร แต่พวกเขาก็ไม่เคยเรื่องไม่ดีเลยสักครั้ง
“ความปรารถนาของเจ้าจะเป็นจริงแน่ ถ้าเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อไร ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้อง พระราชวังจอมอสูรแน่นอน”
“หากข้าแข็งแกร่งเพียงคนเดียว ก็คงจะปกป้องนิกายไว้ได้ไม่นาน เพราะเมื่อใดที่ข้าจากไป เรื่องราวหลังจากนั้นอาจจะเลวร้ายกว่าเดิม..”
ชิงสุ่ยเข้าใจสิ่งที่เธอพูด อย่างเช่นตระกูลชิง ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่ง ตระกูลชิงเริ่มเจริญขึ้นเพราะความแข็งแกร่งของชิงสุ่ย ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับชิงสุ่ย ก็อาจจะเกิดเรื่องร้ายกับตระกูล ดังนั้นเขาต้องทำให้คนทั้งตระกูลแข็งแกร่งขึ้นด้วย
ในตระกูลใหญ่และแข็งแกร่ง มักจะมีใครบางคนที่เป็นผู้นำของตระกูลและทำให้ตระกูลนั้นเจริญ ซึ่งคน ๆ นั้นก็คงไม่กล้าโอ้อวดว่าตนแข็งแกร่งกว่าใคร เพราะหากเกิดตนแพ้ขึ้นมา ทั้งตระกูลจะตกอยู่ในอันตราย
“หลิงเยียน เจ้ายังอายุน้อย ดังนั้นพระราชวังจอมอสูรคงจะอยู่อย่างสงบสุขได้เกือบพันปี และในระหว่างนั้นจะต้องมีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งปรากฏตัวแน่นอน อย่างตอนนี้ก็มีคนเก่ง ๆ อย่างพี่ฮัว พี่ซาน ยู ผู้อาวุโสแล้วก็คนอื่น ๆ อีก”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” ถานท่าย หลิงเยียน ถอนหายใจเบา ๆ
“อย่าห่วงเลย ข้ามั่นใจว่าความฝันของเจ้าจะเป็นจริงแน่นอน”ชิงสุ่ยพูดอย่างจริงจังในขณะที่กำลังมองถานท่าย หลิงเยียน
“นั่นสินะ..ว่าแต่เจ้าอยากไปเดินเล่นกับข้าสักหน่อยไหม? ข้าอยากจะแสดงสัตว์อสูรที่ข้าฝึกให้เจ้าดู”ชิงสุ่ยถาม แต่เมื่อพูดจบเขาก็ไม่รีรอคำตอบจากเธอ ชิงสุ่ยดึงมือเธอก่อนทั้งสองจะปรากฏตัวที่หุบเขาในทันที
ถานท่าย หลิงเยียน ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับนิสัยของชิงสุ่ย แต่เธอก็ไม่ได้รู้ชอบหรือโกรธแต่อย่างใด เธอค่อยเริ่ม ๆ ชินนั้นเอง..
เธอเริ่มชินกับนิสัยของเขาแล้วจริง ๆ หรือ? หรือเป็นเพราะเธอไม่อยากปฏิเสธเขากันแน่..แต่ถ้าเธอค้าน ชิงสุ่ยจะกล้าทำตัวเช่นนี้อีกหรือไม่?และตอนนี้เขาก็ยังมาดึงมือเธอ..ครั้งนี้เขาทำมากเกินไป..ชิงสุ่ยเว้นระยะห่างออกจากเธอก่อนจะเริ่มขยับไปมา
ชิงสุ่ยเรียก อสูรนรกรัตติกาล ร่างของมันมีสีเดียวกับพื้นดิน หัวขนาดใหญ่และกรงเล็บทั้งสี่นั้นดำสนิท ทว่ากรงเล็บของมันแวววาว ทั้งยังดูหนักและคมนัก
“เจ้ามีพลังทำให้สัตว์อสูรเกิดการกลายพันธุ์อย่างนั้นเหรอ?” ถานท่าย หลิงเยียนมองชิงสุ่ยอย่างประหลาดใจ เธอขยับปากอวบอิ่มนั้น จนชิงสุ่ยรู้สึกไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น ยกเว้นการได้ลิ้มรสจูบของเธอ
ชิงสุ่ยเลียริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองทางอื่น ถานท่าย หลิงเยียนเองก็เมินหน้าไปทางอื่นเมื่อสังเกตเห็นท่าทางของชิงสุ่ย หูของเธอค่อย ๆ แดงระเรื่อเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น
“วิธีที่ข้าใช้นั้นมีโอกาสล้มเหลวสูงถึง 90% โชคดีที่ครั้งนี้ข้าทำสำเร็จ สัตว์อสูรตัวนี้มีพลังของอสูรเกราะเหล็กมหากาฬ และพลังบางอย่างของราชันย์หนูวชิระทมิฬ มันยังมีอีกความสามารถที่ผู้ครอบครองต้องการ”ชิงสุ่ยยิ้มพลางมองเธอ สายตาของเขานั้นช่างอ่อนโยน
“ความสามารถอะไรหรือ” ถานท่าย หลิงเยียนสงสัย เพราะเธอรู้สึกว่าพลังที่ชิงสุ่ยหมายถึงนั้นแข็งแกร่งมาก
“เพิ่มพลังการป้องกันของข้าเพิ่มอีกเท่าตัว”
ถ้าเป็นคนอื่นที่ได้ฟัง อาจจะรู้สึกว่าพลังนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่สำหรับชิงสุ่ยนั้นต่างออกไป เพียงแค่เคล็ดเสริมกายาบรรพกาลนั้นก็ถือว่าเป็นทักษะที่สุดยอดมากแล้ว อีกทั้ง กายาทองคำ 9 หยาง เกราะทองคำวชิระ หาก‘พลังสัตย์ถวายชีพ’ ช่วยเพิ่มพลังของทักษะเหล่านี้ก็จะไม่มีใครทำอะไรชิงสุ่ยได้อีก เขาจะกลายเป็นคนที่มีทั้งพลังของอสูรเกราะเหล็กมหากาฬและอสูรสยบมังกรภายในร่างเดียว
ถานท่าย หลิงเยียนรู้ว่าพลังการป้องกันของชิงสุ่ยนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน และพลังของชิงสุ่ยในตอนนี้ก็แข็งแกร่งมาก..หญิงสาวจ้องชิงสุ่ยและยิ้มให้ “นี้ถือว่าเป็นข่าวดีมากจริง ๆ“
นี้เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยเห็นรอยยิ้มของเธอ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ จนเขาเผลอยิ้มตาม
“เจ้างดงามมากเวลาที่เจ้ายิ้ม” เมื่อได้สติ ชิงสุ่ยก็กล่าวชมเธอ
“ข้ายิ้มงั้นเหรอ?” ถานท่าย หลิงเยียนเองก็ไม่รู้ตัวว่าเธอยิ้มให้เขา
“หืม..ใช่สิ เจ้าต้องยิ้มให้เยอะกว่านี้ล่ะ ตกลงไหม? รอยยิ้มทำให้เจ้าดูงดงามมาก”ชิงสุ่ยกุมมือเธอ
ถานท่าย หลิงเยียนไม่ได้พูดอะไร แต่ท่าทางของเธอดูอ่อนโยนมากขึ้น ทันใดนั้นเธอเริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเธอกับชิงสุ่ยนั้นสนิทสนมกันมากขึ้น เป็นความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจของทั้งสอง ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไรแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ ความรู้สึกนี้กำลังคืบคลานเข้าไปในใจเธอ ราวกับว่าได้เจอคนคุ้นเคยท่ามกลางผู้คนมากมาย..เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
นี่เป็นครั้งเดียวที่เธอรู้สึกอยากนั่งจิบชาร่วมกับชายตรงหน้า และใช้ช่วงเวลานั้นอย่างรื่นรม เธอชอบความรู้สึกเช่นนั้น และเธอก็เผลอจ้องชิงสุ่ยโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ชิงสุ่ยเป็นชายรูปงาม หรือบางทีเขาอาจจะดูดีกว่าพวกขุนนางเสียอีก แม้จะไม่มีสัตว์อสูร ชิงสุ่ยก็ยังทำให้บรรยากาศรอบตัวเขานั้นดูแข็งแกร่งมาก
“ข้าหน้าตาดีไหม ? เจ้าอยากจะทำอะไรกับข้าก็เชิญเลย ข้าไม่ขัดขืนหรอก”ชิงสุ่ยหยอกล้อ
“ไม่..เจ้าน่าเกลียดมาก” ถานท่าย หลิงเยียน มองชิงสุ่ยด้วยท่าทีนิ่ง ๆ น้ำเสียงที่เธอตอบชิงสุ่ยนั้นเป็นปกติมาก
“เจ้าโกหก”ชิงสุ่ยยิ้ม
เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ เธอไม่ค่อยแสดงสีหน้าหลากหลายเท่าใดนัก ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอยังไม่เปิดใจให้เขาทั้งหมด ถ้าเมื่อใดที่กำแพงของเธอทลายลง เธอคงจะแสดงความรักของเธอให้แก่เขาเอง
……
เวลาผ่านไป…วันแล้ววันเหล่า เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วครึ่งปี ชิงสุ่ยกลับไปที่บ้าน เพราะวันนี้อี่หวง กู่หวู๋กำลังให้กำเนิดบุตรของชิงสุ่ย
เมื่อชิงสุ่ยเข้าไปในห้อง เขาพบอี่หวง กู่หวู๋ในสภาพอ่อนเพลีย เธอกำลังอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ชิงสุ่ย ดูสิ..ลูกของเราหน้าเหมือนเจ้ามากเลย” อี่หวง กู่หวู๋ยิ้มในขณะที่หญิงสาว ๆ รอบตัวก็กำลังส่งยิ้มให้ชิงสุ่ยเช่นกัน
ชิงสุ่ยอุ้มทารกน้อย ทารกน้อยมีดวงตากลมโต ต่างจากทารกในโลกก่อนหน้านี้ของชิงสุ่ย ที่พวกเขายังไม่สามารถลืมตาได้ แต่อาจจะเป็นเพราะจิตแห่งปราณที่อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งพ่อแม่ของเด็กน้อยก็มีร่างกายที่พิเศษ นอกจากนี้ผิวกายของทารกน้อยงดงามราวกับหยก
“ตั้งชื่อให้ลูกสิ”ชิงอี้หัวเราะ
หลังจากเหยียน จงเยว่ กลับมา แม่ของชิงสุ่ยรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เธอดูสุขุมมากกว่าแต่ก่อน
“ตั้งชื่อให้ลูกของข้าว่า เหยียน หลาง!”ชิงสุ่ยหลังจากคิดอยู่สักพักหนึ่ง
ชิง อี้ยิ้มและพยักหน้ารับ
ก่อนหน้านี้ ลูกของเขาทุกคนมีชื่อน้ำหน้าด้วยคำว่าชิง และตอนนี้ เหยียน จงเยว่ก็กลับมาแล้ว ดังนั้นนามสกุลชิงสุ่ยก็ควรจะเป็นเหยียน ต่อจากนี้เด็กน้อยที่เกิดมาในอนาคตก็น่าจะใช้ชื่อว่า‘เหยียน’ ชิงสุ่ยอุ้มลูกของตนไปให้ เหยียน จงเยว่และบอกเขาว่าลูกของเขาจะตั้งด้วยชื่อว่า ‘เหยียน’ ดวงตาของ เหยียน จงเยว่ เบิกกว้างและเป็นประกาย
อันที่จริงเขาไม่ได้กังวลว่าหลานของเขานั้นจะต้องมีนามสกุลเดียวกับเขาหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกดีใจ
ปีนี้มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก คฤหาสน์ค่อยขยายๆขึ้น รูปแบบก็ถูกวางเพิ่มขึ้น หอคอยจักรพรรดิเองก็ขยายกว้างและยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เรื่องความแข็งแกร่งของตระกูลนั้นคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก พวกเขามีคนรู้จักมากมายใน มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ กลุ่มคนแข็งแกร่งมากมายเป็นพวกพ้องของตระกูลชิง และพร้อมที่จะอยู่ข้างพวกเขา และพวกเขาต่างก็ซื่อสัตย์ต่อตระกูลชิงเพราะชิงสุ่ย แต่ถึงจะไม่มีชิงสุ่ย ตระกูลชิงก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว ภรรยาของชิงสุ่ยก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน
ตระกูลชิงอาจจะเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาทวีป เพียงแต่พวกเขานั้นทำตัวให้เหมือนตระกูลธรรมดาทั่ว ๆ ไป และไม่ต้องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงสมบัติอะไรในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ ทั้งที่ความิจรงแล้วพลังและอำนาจของพวกเขาหากเทียบกับตระกูลอื่น ๆ ถือว่ายิ่งใหญ่กว่ามาก
ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของตระกูลชิงก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ บางตระกูลและบางนิกายรู้ดีว่าในอีกไม่กี่ทศวรรษ ความแข็งแกร่งของตระกูลชิงจะต้องเพิ่มมากขึ้นจนพวกเขาเทียบไม่ติด
พลังของชิง ซุน ชิง หยินและชิง หมินเองก็ก้าวข้ามถึงระดับอาณาจักรพลังปราณเทวะกษัตริย์ เริ่มต้น ชิง หมินเองก็บรรลุนิติภาวะแล้ว รุ่นที่ 4 ของตระกูลชิงต่างก็โดดเด่น และในปีนี้ชิง หุย และชิง ฮูได้แต่งงานแล้ว คู่ครองของพวกเขา
คือสมาชิกของตระกูลใหญ่ในมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ ชิงสุ่ยไม่คิดจะขัดขวางหากทั้งสองรักกันจากใจจริง ชิงสุ่ยยินดีเสมอหากพวกเขามีความสุข
พลังของชิง หุยและ ชิง ฮูเองก็ไม่ได้ด้อยแต่อย่างใด พวกเขาถือว่าเป็นผู้มีพลังแข็งแกร่งในตระกูล เพราะเมื่อพวกเขาจาก เมืองร้อยไมล์ไปใช้ชีวิตในมหาทวีปธรรมไตรพวกเขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้พยายามโอ้อวดในชื่อเสียง พวกเขาจึงยิ่งโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก