บทที่ 1549 – ตามหาอีเย่เจี้ยนเก้อ
ชิงสุ่ยตกตะลึง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเรื่องแบบนี้ มีกลิ่นอายจางๆที่ไม่เหมือนของมนุษย์รอบตัวหญิงสาว เธออาจเป็นอสูรอมตะ อสูรอมตะที่ทรงพลังจะไม่สามารถซ่อนเร้นกลิ่นอายได้อย่างสมบูรณ์
ตำนานกล่าวว่าสำหรับอสูรอมตะนั้นจะมีพลังอยู่ในระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หรือปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นสูงสุด พวกมันสามารถปิดกั้นปราณอสูรเอาไว้ได้ 50% และเริ่มเปลี่ยนไปมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์ แต่กระนั้นก็ยังคงมีนิสัยของสัตว์อสูรอยู่
มันเป็นสิ่งที่ลึกลับของสายพันธุ์สัตว์อสูร ไม่ใช่ว่าทุกสายพันธุ์จะสามารถเปลี่ยนไปเป็นอย่างมนุษย์ได้ ตัวอย่างที่มีให้เห็นคือเผ่านางเงือก พวกเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่สายพันธุ์ที่หายากซึ่งสามารถทำมันได้
ชิงสุ่ยนึกย้อนกลับไปในโลกก่อนหน้านี้ถึงเรื่องที่คล้ายกัน มีการกล่าวกันว่าสัตว์เดรัจฉานไม่ว่าจะสายพันธุ์ใด หากมีการบำเพ็ญเพียรที่สูงพอ พวกมันจะสามารถกลายเป็นมนุษย์ได้ สัตว์อสูรที่ทรงพลังในโลก 9 มหาทวีปไม่สามารถเปลี่ยนเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนใหญ่พวกมันสามารถเปลี่ยนได้แค่ขนาดและรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
ในความเป็นจริง ชิงสุ่ยคิดว่าหญิงสาวผู้นี้อาจเป็นคนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาอสูรหรือไม่ เช่นนั้นจึงทำให้กลิ่นอายของเธอมีร่องรอยของอสูร
อย่างไรก็ตามไม่มีมนุษย์คนใดที่มีปราณอสูร แม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนเคล็ดวิชาที่แปลกประหลาดเพียงใด ตราบเท่าที่พวกเขายังเป็นมนุษย์ พวกเขาจะไม่สามารถปล่อยปราณอสูรออกมาได้ เหล่าผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้แห่งอสูรมีกลิ่นอายที่แตกต่างกันออกไปมากเมื่อเทียบกับสัตว์อสูรที่แท้จริง ฝ่ายหนึ่งภายนอกเพียงแค่มีกลิ่นอายของอสูร แต่อีกฝ่ายเป็นกลิ่นอายที่มาจากกระดูกและจิตวิญญาณ
ชิงสุ่ยเดินเข้าไปหาหญิงสาวอย่างมีสติ เขาหยิบจานบนโต๊ะของตัวเองติดมือไปด้วยและนั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาว “ข้านั่งตรงนี้ได้หรือไม่?”
แม้ว่าชิงสุ่ยจะถาม แต่เขาก็ได้นั่งลงไปแล้วและจ้องมองไปที่หญิงสาว ถึงเธอจะสวมหมวกไม้ไผ่เอาไว้ แต่มันก็ยังคงเห็นความงดงามของเธอได้อย่างชัดเจน
“ไม่ใช่ว่าเจ้านั่งลงเองแล้วหรือ? เจ้าช่างหยาบกระด้างนัก” เสียงอันไพเราะดังขึ้น
ชิงสุ่ยนั้นปลอมตัวอยู่และเขาไม่ต้องกังวลว่าจะแสดงท่าทีเช่นไรต่อเธอ เขาจ้องมองและคิดว่ามีจุดไหนของเธอที่แตกต่างไปจากมนุษย์ แต่แล้วเขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรแบบนั้นได้เลย
เมื่อชิงสุ่ยเหลือบมองเธออีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร หญิงสาวผู้นี้แข็งแกร่งมาก เขายังคงจ้องมองเธอและคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่หากเธอเป็นผู้หญิงก็จะต้องไม่พอใจกับสิ่งนี้
“ข้าไม่ได้คิดล่วงเกินอะไร แม่นางโปรดอย่าได้ถือสา ข้าเพียงแค่สัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไม่ธรรมดาจากตัวเจ้าและค่อนข้างอยู่รู้เกี่ยวกับมัน” ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หญิงสาวต้องคิดว่าเขาเป็นพวกเศษสวะหรือคนพาลจากพฤติกรรมของเขา
หลังจากกล่าว เขารู้สึกถึงจิตสังหารที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่นานมันก็หายไป ถึงแม้ว่าเธอจะสวมหมวกไม้ไผ่อยู่ แต่ตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าเธอกำลังประเมินตัวเขา
จากนั้นชิงสุ่ยก็นั่งกินอาหารของเขาไป หญิงสาวจ้องมองเขาและประเมินชายแปลกหน้า เธอตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจากเขา เธอเพียงแค่ปล่อยปราณอสูรออกมาเพียงเล็กน้อยและชายแปลกหน้ายังสามารถสัมผัสถึงมันได้
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” น้ำเสียงของหญิงสาวดูเย็นชา
“ข้าจะบอกว่าข้าไม่ได้มีเจตนามุ่งร้าย ข้าแค่อยากรู้บางอย่างและอยากขอความช่วยเหลือจากเจ้า” ชิงสุ่ยยิ้ม ถ้าหากเขาเดาถูก หญิงสาวผู้นี้ต้องมีสายเลือดของเผ่าพันธุ์เงือก เช่นนั้นเธอน่าจะเป็นคนที่มาจากพระราชวังทะเลราชันย์
“โอ๊ะ ทำไมข้าถึงต้องช่วยเจ้า?” หญิงสาวไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ
ชิงสุ่ยรู้ดีและยังไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เธออยากช่วยเหลือเขา เขาหยุดคิดก่อนที่จะกล่าว “ข้าเป็นหมอ ข้าช่วยเหลือเจ้าได้ หากเจ้ามีใครที่เจ็บป่วยและต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ข้าสามารถช่วยได้ ข้าอยากรู้ว่านี่เป็นข้อตกลงที่ดีพอสำหรับเจ้าหรือไม่?”
หญิงสาวตกตะลึง เธอนิ่งไปชั่วขณะและกล่าว “ข้าจะลองเชื่อเจ้าดู”
หญิงสาวรู้สึกว่าชิงสุ่ยไม่ใช่คนที่พูดส่งเดช เธอยังไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องเชื่อเขา แต่เธอไม่มีอะไรให้เสียหาย ถ้าเธอรู้สึกว่าไม่อยากช่วยเขาขึ้นมา เธอก็สามารถหาข้อแก้ตัวและไล่เข้าออกไปได้
“ข้ามีสหายที่เดินทางไปยังพระราชวังทะเลราชันย์ในแดนทะเลน้ำเเข็ง เจ้าช่วยข้าตามหาตัวนางได้หรือไม่?” ชิงสุ่ยลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะกล่าว
เขาเพียงแค่คาดเดา เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นอย่างที่เขาคิดหรือไม่ หลังจากที่กล่าว ชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความคาดหวังกับคำตอบของเธอ
หญิงสาวยังคงเงียบสนิทขณะที่เธอกินอาหารอย่างช้าๆ เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นเลยเมื่อเธอตอบ “เป็นเพราะข้ามีร่องรอยของปราณอสูร เช่นนั้นเจ้าจึงคิดว่าข้าเป็นเผ่าพันธุ์ใต้ทะเลหรือ?”
“ความจริงคือข้าเพียงแค่คาดเดา ถ้าหากเจ้าไม่สามารถช่วยข้าได้ก็ขอให้ลืมที่ข้าพูดไปเถอะ นานแล้วที่ข้าไม่ได้พบกับหญิงที่งดงามเช่นเจ้า ข้าแทบจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เมื่อพูดคุยกับเจ้า” ชิงสุ่ยเพียงแค่ต้องรอให้ดอกไม้มังกรพิษโตเต็มที่และฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นก่อน หลังจากนั้นเขาก็จะออกตามหาได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเขามีปลาสถิตย์วิญญาณอยู่แล้ว
“เช่นนั้นเจ้าก็กำลังพูดด้วยถูกคนแล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการตามหาใคร ข้ามีเส้นสายบางส่วนและสามารถช่วยเจ้าตามหานางได้” หญิงสาวกล่าวช้าๆ
หัวใจของชิงสุ่ยสั่นระรัวด้วยความปิติยินดี แต่เขาก็ต้องระมัดระวังตัว หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาหยิบภาพโฉมงามของอีเย่ เจี้ยนเก้อออกมาและวางมันลงบนโต๊ะ
หญิงสาวมองไปที่ภาพเขียนก่อนที่เธอจะกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเป็นใครและทำไมเจ้าถึงต้องตามหาตัวนาง?”
ชิงสุ่ยไม่ได้รู้สึกโกรธเมื่อแสดงอาการเช่นนั้น หลังจากใคร่ครวญ เขาตัดสินใจที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้ากำลังตามหานางเพราะว่านางเป็นภรรยาของข้า”
“ภรรยาของเจ้า? หยุดโกหกเดี๋ยวนี้ ทำไมนางถึงต้องตกหลุมรักคนอย่างเจ้า?” หญิงสาวทำตัวเหมือนเพิ่งได้ยินเรื่องตลกที่สุดในโลกและหัวเราะ
ชิงสุ่ยรู้ว่านี่เป็นเพราะตอนนี้เขากำลังปลอมตัวอยู่ แต่เขาไม่ค่อยพอใจกับความคิดของเธอ “ทำไมนางถึงไม่สามารถรักข้าได้?”
“เจ้าไม่คิดว่าเจ้าอายุมากเกินไปหรือ? ข้าเคยเห็นภาพเขียนของสามีนางมาก่อน” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะมองตัวตนของชิงสุ่ยออกแล้ว
ชิงสุ่ยรู้ว่าหญิงสาวสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเขาเป็นของปลอม เขายิ้มและกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเริ่มไว้ใจข้าแล้ว เจ้าน่าจะรู้จักนาง เจ้าสามารถพาข้าไปพบนางได้หรือไม่?”
“ข้าทำได้ แต่ข้ายังมีสิ่งที่ต้องไปทำก่อนและมันใช้เวลาประมาณ 1 เดือน สำหรับเรื่องนี้? พวกเราค่อยมาพบกันที่นี่อีกครั้งหลังจากนี้ ข้าจะพาเจ้าไปพบกับนางเอง”
ชิงสุ่ยคิดนิดหน่อยก่อนที่จะหยักหน้า ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องการเวลาเช่นกัน เขาต้องการตรวจสอบว่ามีปัญหาใดในจักรวรรดิเดชสวรรค์หรือไม่ นี่ถือว่าเป็นไปตามแผนการของเขา
หญิงสาวจากไป ชิงสุ่ยไม่ได้ขออะไรจากเธออีก เขารู้สึกว่าหญิงสาวนั้นแข็งแกร่งมากและเขายังไม่สามารถบอกได้ว่าเธอเป็นมนุษย์หรือคนจากเผ่าพันธุ์ใต้ทะเล