บทที่ 1583 – ตำแหน่งใหม่ของธงสวรรค์ปัญจธาตุ ปลาสถิตย์วิญญาณทองคำ
เวลาผ่านไปนานมาก ในที่สุดชิงสุ่ยก็ฟื้นคืนสติ สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้มอบความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโลกใต้น้ำให้กับเขา
โลกใต้น้ำไม่ต่างไปจากดินแดนบนบก มันมีเขตแดนที่กว้างใหญ่และประกอบไปด้วยมหาสมุทรตามแต่ละทิศ…
แดนทะเลน้ำเเข็งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมหาสมุทรทิศอุดร มหาสมุทรทั้งหมดในโลก 9 มหาทวีปต่างเชื่อมถึงกัน
นอกเหนือจากนี้ข้อมูลที่ชิงสุ่ยได้รับยังมีเรื่องเกี่ยวกับปลาสีทอง จริงๆแล้วมันเป็นปลาสถิตย์วิญญาณทองคำ เนื่องจากมันดูดซับพลังวิญญาณของที่นี่เข้าไป มันจึงกลายเป็นสัตว์อสูรที่มีจิตวิญญาณ
ไม่มีอะไรในมหาสมุทรสามารถโจมตีมัน แต่มันก็ไม่มีทักษะในการโจมตีใคร ความสามารถบางอย่างมักแลกมาด้วยการเสียสละบางสิ่ง มันได้สูญเสียความสามารถในการโจมตีเพื่อแลกกับการป้องกันตัว
นอกจากนี้มันยังสามารถช่วยเพิ่มพลังวิญญาณให้กับสถานที่ซึ่งมันเข้าไปอยู่
ปลาสถิตย์วิญญาณทองคำเหมือนเป็นหมูป่านักล่าสมบัติที่อยู่ใต้น้ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้ว่ามันล้ำค่า ชิงสุ่ยมองดูปลาตัวน้อยแวกว่ายไปรอบๆตัวเขา เขาจับมันเอาไว้และน้ำไปปล่อยลงในทะเลสาบของดินแดนหยกยุพราชอมตะ
ขณะที่ชิงสุ่ยกำลังวางแผนที่จะนำพืชสมุนไพรหายากไปไว้ในดินแดนหยกยุพราชอมตะด้วย ทันใดนั้นธงสวรรค์ปัญจธาตุก็โบกสะบัดอย่างรุนแรง
เขาประหลาดใจเมื่อพบว่ามีตำแหน่งใหม่ปรากฏขึ้นบนธง สถานที่ใหม่ถูกเพิ่มเข้ามาโดยความบังเอิญ ชิงสุ่ยมองเห็นมันอย่างชัดเจน เขาพบว่าตำแหน่งนั้นเป็นถ้ำจิตวิญญาณที่เขาเข้ามา
ชิงสุ่ยตกใจกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ เขายังคงต้องอยู่ที่โลกใต้น้ำต่อ และมันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับการที่เขาจะเข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็วจากพระราชวังทะเลราชันย์ อีกทั้งเขายังสามารถกลับไปที่บ้านเพื่อตรวจดูสถานการณ์ต่างๆของที่นั่นได้ ด้วยเพราะอี่หวงกู่หวู๋อยู่ที่บ้านของเขา
ชิงสุ่ยไม่ได้รีบกลับไป เขาต้องการที่จะตรวจดูสถานที่แห่งนี้ก่อนและค่อยกลับมาเก็บกวาดสิ่งต่างๆเพิ่มในภายหลัง
เมื่อออกมาจากมิติของธงสวรรค์ปัญจธาตุ ชิงสุ่ยเก็บรวบรวมสมุนไพรวิญญาณและของอื่นๆไป เขาเหลือพวกมันเอาไว้เพียงบางส่วน เขาเชื่อมั่นว่าพวกมันจะต้องเติบโตขึ้นใหม่อีกครั้งที่นี่
การได้พบความสุขจากสิ่งที่ไม่คาดคิดทำให้ชิงสุ่ยแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ เขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ มันเหมือนกับการได้ผิงไฟท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก สิ่งที่เก็บเกี่ยวมาในครั้งนี้ทำให้เขาสมกับเป็นผู้พิทักษ์แห่งพระราชวังทะเลราชันย์ยิ่งขึ้น
ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะกลับหลังจากพบว่าไม่มีอะไรอื่นแล้วที่นี่ เดิมทีเมื่อได้เห็นฉากที่คุ้นเคย เขาคิดว่ามันจะต้องมีภาพโฉมงามที่นี่ แต่มันก็ไม่มีสิ่งของเช่นนั้น
ความคาดหวังเหล่านั้นไม่เป็นผล ถึงอย่างนั้นเคล็ดวิชาเทพมังกรมรกตก็นับว่าดียิ่งกว่าภาพโฉมงาม เป็นเพราะภาพโฉมงามก็แค่ภาพเขียนภาพหนึ่ง สมบัติที่แท้จริงคือตัวของหญิงงามที่อยู่ในภาพ
เมื่อชิงสุ่ยกลับไปที่พระราชวังทะเลราชันย์ มันก็ล่วงเลยมาเป็นตอนพลบค่ำแล้ว ภายใต้ทะเลมีทั้งเวลากลางวันและกลางคืน แต่สภาพทั่วไปก็ดูไม่แตกต่างกันมากนัก มันเป็นเพราะมีปลาที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่เป็นจำนวนมาก แสงแดดไม่อาจส่องลงมาถึงที่นี่ แต่มีข่าวลือบอกกันว่ามีดวงจันทร์ที่อยู่ใต้น้ำ นั่นเป็นเพียงตำนานและไม่แน่ชัดว่ามันจะมีจริงหรือไม่
มู่หยุนชิงเฉิงและอีเย่เจี้ยนเก้อกำลังดื่มน้ำชาและพูดคุยกัน เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นครั้งคราว มันทำให้รู้สึกถึงความรื่นรมย์เมื่อได้ยินเสียงนั้น
ชิงสุ่ยกลับมาด้วยความอารมณ์ดีและเดินเข้าไปหาพวกเขา “พวกเจ้ากำลังพูดคุยอะไรกันหรือ? ดูท่าทางมีความสุขยิ่งนัก”
“ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าดูมีความสุขมากกว่าพวกเรา? อืมม? ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงระดับของเจ้าได้เลยในตอนนี้” มู่หยุนชิงเฉิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ
“ข้าบังเอิญเดินทะเล่อทะล่าเข้าไปพบกับขุมทรัพย์บางอย่าง” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสุภาพ
อีเย่เจี้ยนเก้อมองไปที่เขาและหัวเราะ คำพูดเหล่านี้ช่างดูยั่วโมโห คนที่ฉลาดและฝึกฝนอย่างหนักบางครั้งก็ยังไม่สามารถบรรลุความสำเร็จได้เช่นเขา แต่นี่เขากลับบอกว่าพบเข้าโดยบังเอิญ มันอาจทำให้ใครหลายๆคนรู้สึกอยากตบหน้าเขา
สำหรับมู่หยุนชิงเฉิงนั้นเธอรู้สึกมีความสุขมากที่ความแข็งแกร่งของชิงสุ่ยเพิ่มมากขึ้น มีบางสิ่งบางอย่างระหว่างเธอและ ชิงสุ่ยซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ เธอเป็นเหมือนพี่แท้ๆของอีเย่เจี้ยนเก้อ เธอรู้สึกว่าชิงสุ่ยไม่ใช่คนอื่นคนไกล
“ท่านมีปัญหาอะไรกับรูปแบบที่ให้ไปบ้าง?” ชิงสุ่ยถาม
“ประตูแห่งชีวิต ประตูแห่งความตาย และรูปแบบประตูทั้งแปดเป็นอย่างไร? ข้าไม่เข้าใจมันจริงๆ” มู่หยุนชิงเฉิงยิ้มอย่างหมดหนทาง
“ขั้นแรก ท่านต้องเข้าใจถึงทิศต่างๆ”
……
มู่หยุนชิงเฉิงมักรู้สึกหมดหวังกับพระราชวังทะเลราชันย์ สมาชิกของเผ่านาคาเร้นลับมีจำนวนน้อยมาก อีเย่เจี้ยนเก้อและเธอต้องช่วยกันอย่างแข็งขันเพื่อป้องกันศัตรูที่จะเข้ามาโจมตี พวกเขาจะไร้ซึ่งบ้านหากพระราชวังทะเลราชันย์ถูกทำลายลง
มู่หยุนชิงเฉิงกล่าวออกไปตรงๆถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่กับชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อ
“มันจะไม่เป็นเช่นนั้น หากท่านฝึกฝนกองกำลังที่ไว้ใจได้ด้วยตัวเอง” ชิงสุ่ยส่ายหัว
“ตอนนี้มันไม่มีเวลาแล้ว ข้ามีกองกำลังที่เชื่อใจได้เพียง 100 คน ความแข็งแกร่งของพวกเขาถือว่าใช้ได้และไม่ต้องสงสัยในความภักดี แต่จำนวนที่มีก็ยังนับว่าน้อยเกินไป” มู่หยุนชิงเฉิงกล่าวอย่างหมดหนทาง
“ไม่จำเป็นต้องมีมากมาย เพียงแค่ 100 คนก็เพียงพอ ทำไมท่านไม่ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง? ข้าสามาถช่วยพัฒนากองกำลังจำนวน 100 คนนี้ให้แข็งแกร่งขึ้นได้” ชิงสุ่ยกล่าว
“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน ลองดูกันเถอะ ข้าจะรู้สึกปลอดภัยขึ้น หากเจ้าสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของพวกเขาได้” มู่หยุนชิงเฉิงกล่าวเบาๆ
“อย่าได้กังวล ข้าและเจี้ยนเก้ออยู่กับท่าน พระราชวังทะเลราชันย์จะเป็นของท่านตลอดไป” ชิงสุ่ยลุกขึ้นยืนและวางถ้วยชาลง
มู่หยุนชิงเฉิงมองไปที่การแสดงออกอันเงียบสงบของเขาและพยักหน้า “ความไม่สบายใจของพวกเราได้รับการบรรเทาลง ตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาในพระราชวังทะเลราชันย์”
ทั้งสามคนเดินไปยังพื้นที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในพระราชวังทะเลราชันย์ นี่คือดินแดนภายในที่ซ่อนอยู่และภูมิประเทศที่นี่ค่อนข้างซับซ้อน การค้นหาพื้นที่ซ่อนเร้นนี้เป็นเรื่องยากมาก
แม้กระทั่งชิงสุ่ยก็ถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นคนนับร้อย พวกเขาทั้งหมดเป็นมนุษย์เงือกและดูสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปเพียงเล็กน้อย ลำตัวพวกเขาปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ ร่างกายของพวกเขาสมบูรณ์แข็งแรงและปลดปล่อยเจตนาฆ่าฟันที่รุนแรงออกมา
“ท่านประมุข!”
เหล่ามนุษย์เงือกพร้อมใจกันกล่าวเช่นนี้ เมื่อพวกเขาเห็นมู่หยุนชิงเฉิง
เธอโบกสะบัดมือเพื่อเป็นการบอกให้พวกเขาทำกิจกรรมใดๆต่อไปตามปกติ เหล่ามนุษย์เงือกกำลังฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ร่วมกัน ชิงสุ่ยสามารถบอกได้ว่าพวกเขามีทักษะที่ดี
“นี่เป็นเทคนิคการต่อสู้ร่วมกันที่สืบทอดกันมาของพวกเขา พวกเขาทั้ง 100 คนสามารถใช้มันได้เป็นอย่างดี มันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเมื่อมีจำนวนคนเพิ่ม แต่มันก็ยากต่อการควบคุม ดังนั้นมันจึงใช้สมาชิกเพียง 100 คน” มู่หยุนชิงเฉิงอธิบาย
พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีพรสวรรค์และบางคนก็อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจขั้นต้น แต่แน่นอนว่าความแข็งแกร่งเช่นนี้มีเพียง 2-3 คนเท่านั้นที่จะมาถึง
มันมีเส้นแบ่งที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ง่ายๆระหว่างระดับปราณจักรพรรดิและระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจปราณบัญชาสวรรค์พินาจ
ชิงสุ่ยคาดว่ามนุษย์เงือกเหล่านี้น่าจะมีอายุไม่มากนัก แม้พวกเขาจะมีพลังที่แข็งแกร่ง เฉพาะมนุษย์เงือกที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาจ 2 คนเท่านั้นที่ดูมีอายุ
คนเหล่านี้เป็นอาวุธลับของมู่หยุนชิงเฉิง แม้ว่าพวกเขายังด้อยเรื่องพลังอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็นับว่าน่ากลัว
“เจ้ามีวิธีเพิ่มพลังให้กับพวกเขาหรือไม่?” มู่หยุนชิงเฉิงถามชิงสุ่ย
“ข้าสามารถทำได้ ข้ามีรูปแบบที่ทรงพลังยิ่งกว่ารูปแบบการต่อสู้ที่พวกเขากำลังฝึกฝนอยู่ ท่านน่าจะเข้าใจมัน ข้ายังมีสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นขีดจำกัดของสายเลือด ซึ่งมันสามารถเพิ่มพลังและช่วยให้สายเลือดของพวกเขาบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น”