บทที่ 1582 – พระราชวังสุริยัน เคล็ดวิชาสรวงสวรรค์เทพมังกรมรกต
ชิงสุ่ยสังเกตเห็นการถึงของมู่หยุนชิงเฉิงและหันศีรษะไปทักทายเธอ เขารู้สึกอึดอัดใจเมื่อได้เห็นเรืองร่างของเธอ มันทำให้เขานึกย้อนไปช่วงที่ทำการรักษาเธอและได้สัมผัสร่างกายนั้น
อีเย่เจี้ยนเก้อหยุดหลังจากเห็นมู่หยุนชิงเฉิง เธอเดินเข้าไปหาอย่างมีความสุขและสวมกอด “ทำไมพี่สาวถึงมาที่นี่? ท่านมีเรื่องอะไรทุกข์ใจงั้นหรือ?”
“ทำไม เจ้าลืมพี่สาวคนนี้ไปแล้วหลังจากได้พบสามีหรือ?” มู่หยุนชิงเฉิงหยอกล้อเธอ
อีเย่เจี้ยนเก้อยิ้มให้เธอและเห็นถึงท่าทีที่ผิดธรรมชาติ เธอกล่าวตอบ “ทำไมหล่ะ? ท่านอิจฉาข้าหรอ?”
มู่หยุนชิงเฉิงส่ายหัวด้วยความรังเกียจ “ผู้ชายล้วนมีนิสัยที่ไม่ดี ข้าจะไม่มีวันพยายามมองหาพวกเขา”
คำกล่าวของเธอนั้นออกมาจากความจริงในใจ แต่เมื่อกล่าวมัน ภาพเงาของชิงสุ่ยก็ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน ซึ่งมันก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายภายในหัวใจของเธอ มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างแย่และเจ็บปวด
“ข้าว่าข้าไม่เคยล่วงเกินท่านนะ” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมา
มู่หยุนชิงเฉิงมองไปที่ชิงสุ่ย ยิ่งเธอพัวพันกับเขามากขึ้น มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้
“ผู้พิทักษ์ เจ้าบอกข้าหน่อยได้ไหมว่าเจ้ามีผู้หญิงกี่คน? ถ้าหากเจ้ามีเพียงเจี้ยนเก้อ เรื่องนี้ก็จะไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” มู่หยุนชิงเฉิงยึดติดอยู่กับความจริงที่ว่าชิงสุ่ยมีผู้หญิงหลายคน
ชิงสุ่ยแทบจะสำลักออกมา เขาหัวเราะอย่างเขินอาย “ผู้หญิงนั้นช่างใจแคบนัก ท่านไม่ควรประเมินผู้ชายต่ำไป ผู้ชายที่มีหญิงหลายคนย่อมพิสูจน์ให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของเขา”
“เจ้าไม่รู้งั้นหรือว่าคำพูดของเจ้าทำให้เจี้ยนเก้อดูไม่ดี? เจ้าเคยพูดถึงความเท่าเทียมกันของชายและหญิง เช่นนั้นเจ้ายินยอมให้ผู้หญิงของเจ้าแบบเดีย วกันได้หรือไม่ ?”
มู่หยุนชิงเฉิงกล่าวด้วยความสงบ มันทำให้ชิงสุ่ยพูดไม่ออก อีเย่เจี้ยนเก้อหัวเราะและกล่าว “พวกเรากำลังโต้เถียงกันถึงอะไร? มันจำเป็นด้วยงั้นหรือ? พวกเจ้าทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครยอมใคร”
“เอาหล่ะ เปลี่ยนเรื่องกันเถอะ พี่สาว ท่านมีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” อีเย่เจี้ยนเก้อเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
มู่หยุนชิงเฉิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หัวใจของเธอกำลังสับสน เธอรู้ว่าชิงสุ่ยเป็นคนดี และมันจะดีมากหากเขามีผู้หญิงเพียงคนเดียว
ชิงสุ่ยต้องการฟังเหตุผลของเธอ แต่เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันถือว่าดีแล้วที่เธอไม่รังเกียจเขาในส่วนนี้
ทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มู่หยุนชิงเฉิงมองไปที่ชิงสุ่ยและเขาก็มองมาที่เธอ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังมองเขา ชิงสุ่ยฉีกยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นฟันสีขาวราวไข่มุกของเขา
มู่หยุนชิงเฉิงหน้าแดงและเบือนศีรษะหลบไป เธอรำลึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ชิงสุ่ยรักษาเธอขึ้นมา ส่วนอีเย่เจี้ยนเก้อกำลังจัดเตรียมชาและรินมันลงในจอก
“ข้าได้รับข่าวบางอย่างมา ผู้ที่คอยหนุนหลังพระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูรคือพระราชวังสรุยัน ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าพวกเขาจะลงมือทำอะไรต่อไป” มู่หยุนชิงเฉิงมองไปที่ชิงสุ่ยขณะที่เธอกล่าว
ชิงสุ่ยคาดว่าพวกที่หนุนหลังพระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูรต้องแข็งแกร่งมาก แต่เขาไม่คิดว่าพวกนั้นจะลงมือเร็วๆนี้ พวกเขาต้องเตรียมการรับมือไว้ให้ดี
“ท่านมีข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังสุริยันบ้างหรือไม่?” ชิงสุ่ยถาม การอยู่ใต้น้ำแตกต่างจากบนบก มันอันตรายมากและมีสิ่งมีชีวิตมากมาย บางตัวนั้นมีขนาดมหึมา
“พวกเรารู้เพียงว่ามีมนุษย์เงือกอยู่ในพระราชวังสุริยัน” มู่หยุนชิงเฉิงมองไปที่ชิงสุ่ยอย่างแปลกๆ
จากการแสดงออกของเธอ ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเธอรู้ว่าเขาทราบถึงตัวตนของเธอ ก็ไม่ใช่ว่าตัวตนของเธอนั้นจะเป็นความลับ เพียงแต่ทุกคนรู้แค่ว่าเธอเป็นลูกหลานของเผ่านาคาเร้นลับ
“พวกเราคงทำได้เพียงต้านเอาไว้ หากพวกเขาจู่โจม พวกเราต้องเสริมความแข็งแกร่งกันก่อน” ชิงสุ่ยค่อนข้างกังวล แต่เขาก็ไม่ได้วิตกจนเกินไป เขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง หากไม่มีผู้ฝึกตนระดับระดับพระเจ้าปรากฏตัว ชิงสุ่ยคิดว่าเขาสามารถรับมือได้
“ที่นี่มีรูปแบบค่ายกลน้อยมาก เจ้าน่าจะบอกมันให้กับคนที่เจ้าเชื่อใจได้ เพื่อที่เขาจะได้ทำมันไปฝึกฝนให้กับกองกำลังที่มี บางทีมันอาจเป็นประโยชน์” ชิงสุ่ยได้มอบรูปแบบที่เตรียมเอาไว้ให้กับอีเย่เจี้ยนเก้อและมู่หยุนชิงเฉิง
อีเย่เจี้ยนเก้อไม่ได้แสดงอาการตกใจใดๆออกมา แต่มู่หยุนชิงเฉิงนั้นถึงเกิดความงุนงง เธอรับพวกมันเอาไว้และพยักหน้าตอบชิงสุ่ย “สิ่งเหล่านี้สำคัญมากสำหรับพระราชวังทะเลราชันย์ แต่พวกเราไม่รู้ว่ามันใช้งานอย่างไร”
“ง่ายมาก เจี้ยนเก้อรู้วิธีใช้ ท่านสามารถลองศึกษาดูก่อนได้ ค่อยกลับมาถามข้า หากท่านไม่เข้าใจอะไร”
……
ชิงสุ่ยเดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆพระราชวังทะเลราชันย์ ตามปกติเขาควรจะต้องจากพระราชวังทะเลราชันย์ไปแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่การปรากฏตัวของพระราชวังสุริยันทำให้เขาไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นที่จะต้องอยู่ต่อ
เป็นเวลานานแล้วนับตั้งแต่ที่เขาได้มาถึงมหาทวีปอุดรเทวา เขาอยากที่จะกลับบ้าน ทุกคนในครอบครัวของเขาอยู่ที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ อี่หวงกู่หวู๋เองก็เช่นกัน มันคงทำได้แค่คิดที่จะกลับไปในตอนนี้ การเดินทางกลับนั้นใช้เวลานานมาก
ชิงสุ่ยคิดถึงชางห่ายหมิงเยวี่ย ห่าวหยุนลิ่วลี่ จรู้ชิง หยุนต้วน ติ๊ชิง ติ๊เฉิน…
เขาคิดถึงถานท่ายหยวนและถานท่ายหลิงหยานด้วยเช่นกัน เขารู้สึกแปลกๆเมื่อนึกถึงหญิงสางที่เย็นชาอย่างถานท่ายหลิงหยาน เขาสงสัยว่าความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าขึ้นระหว่างเธอและเขาจะเลือนหายไปตามกาลเวลา
ผู้หญิงคนนี้มักเว้นระยะห่างเอาไว้ เขาส่ายหัว อย่างไรก็ตามผู้ฝึกตนมีช่วงชีวิตที่ยาวนานและเขายังมีเวลาเตรียมตัว
โล่วารีวชิระ!
ชิงสุ่ยใช้โล่วารีวชิระถึง 3 ครั้ง ในแต่ละครั้ง เขาเดินไปได้ไกลราว 100,000 ลี้ การหายไปของพระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูรได้แผ่ขยายพื้นที่การปกครองให้กับพระราชวังทะเลราชันย์ สมาชิกของพระราชวังทะเลราชันย์จำนวนมากต่างออกค้นหาขุมทรัพย์หรือสมุนไพรวิเศษภายในบริเวณพระราชวังมังกรสมุทรและพระราชวังฉลามอสูร
ทันใดนั้นชิงสุ่ยพบปลาสีทองตัวน้อย เขาไม่ได้สนใจมันเพราะลวดลายสีทองบนตัว ใต้มหาสมุทรมักมีปลาหลากหลายสีสัน สิ่งที่สะดุดตาของเขาเป็นความรวดเร็วของมันที่ดูผิดธรรมชาติ นอกจากนี้ตัวของมันยังมีกลิ่นอายของจิตวิญญาณที่รุนแรง
ชิงสุ่ยสนใจและติดตามไป ด้วยความเร็วของเขา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะจับปลาตัวนี้ แต่เขาไม่ได้ทำอะไรและยังไม่อยากจับมัน
มีเทือกเขาอยู่ภายใต้ผืนน้ำค่อนข้างมาก ชิงสุ่ยตามหลังปลาสีทองและลอดผ่านหุบเขาเข้าไปในโพรง หลังจากผ่านออกมา สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาเป็นเทือกเขาขนาดมหึมา
ครึ่งชั่วโมงหลังจากเข้าสู่เทือกเขา จู่ๆปลาตัวน้อยที่อยู่ข้างหน้าชิงสุ่ยก็หายวับไป ชิงสุ่ยรู้สึกทึ่งและรีบเร่งความเร็วขึ้น เขาค้นพบว่ามีกำแพงซึ่งกั้นเป็นสถานที่บางอย่าง มันใช้เป็นที่ซ่อนตัวได้ดี มันปกคลุมไปด้วยพืชน้ำและสิ่งอื่นๆ
ชิงสุ่ยตื่นเต้นและเดินเข้าไปทันที
จิตแห่งปราณอัดกระแทกเข้ามาตรงใบหน้าซีกขวาของเขา ขณะที่เขาเข้าไป…
ชิงสุ่ยค้นพบปลาสีทองอยู่ที่นี่ แม้ว่าภายในจะไม่มีน้ำ แต่มันก็ยังคงแวกว่ายอยู่…
มันดูเหมือนกำลังโบยบินอยู่ แม้ว่าจะเป็นเรื่องแปลก ชิงสุ่ยก็ไม่ได้ตกใจกับเรื่องนี้
ชิงสุ่ยไม่ได้ตามมันไป ภายในสถานที่นี้ดูใหญ่ขึ้น มีเสา 4 เสาอยู่ที่นี่ เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นของที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเป็นสิ่งปลูกสร้าง พวกมันดูเป็นธรรมชาติ แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผลงานชิ้นเอกของยอดฝีมือ
แรงกดดันอันหนักหน่วงถาโถมเข้าใส่เมื่อชิงสุ่ยเดินไปที่ห้องโถงด้านใน ชิงสุ่ยประหลาดใจและมองเข้าไปด้านใน มีรูปปั้นเทพสงครามอยู่ในนั้น แต่รูปปั้นนี้แตกต่างจากที่เคยเห็นมาก่อน รูปปั้นเทพสงครามมีลำตัวที่ดูเป็นมนุษย์ มีหางของมังกร และหัวเป็นสิงโต มันคล้ายกับหัวของกิเลน…
แรงกดดันนั้นมาจากที่นี่
ทันใดนั้นมีกลิ่นอายที่รุนแรงมุ่งเป้ามาที่ชิงสุ่ย เขาเพียงแค่ป้องกันตัวเองเอาไว้และไม่ได้ต่อต้านมัน เขารู้ว่ามันเป็นสัมผัสของรูปปั้นเทพสงคราม
มันเป็นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลัง “มนุษย์เอ๋ยเจ้ามาถึงที่นี่ด้วยโชคชะตานำพา เมื่อเจ้ามาถึงที่นี่ได้ นั่นยอมหมายถึงพวกเรามีชะตาต้องกัน รับของขวัญนี่ไป!”
ข้อความบางอย่างผุดขึ้นมาในจิตใจของชิงสุ่ย หลังจากที่ซึมซับมัน ชิงสุ่ยมองตรงไปยังรูปปั้นเทพสงครามด้วยความตกตะลึง เขาไม่ได้คาดคิดว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่นี้จะมาจากผู้ฝึกตนระดับพระเจ้า
นี่คือเทพมังกรมรกต!
สิ่งที่ส่งผ่านมาถึงเขาเป็นเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระ
เคล็ดวิชาเทพมังกรมรกต : เพิ่มพลังและพลังของเคล็ดวิชาขึ้น 1 เท่า เพิ่มความทนทานขึ้น 3 เท่า เพิ่มความต้านทานต่อเคล็ดวิชาที่ชั่วร้าย สิ่งที่มีผลกระทบต่อจิตใจ และภาพลวงตาเป็น 3 เท่า ไม่สามารถยกระดับขึ้นได้อีก
ชิงสุ่ยมองรูปปั้นเทพสงครามและติดอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองมีเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์น้อยมาก แต่ตอนนี้เขาได้รับเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์วชิระที่ยอดเยี่ยมมาแล้ว เทพมังกรมรกตเป็นเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจถึงแม้มันจะไม่สามารถยกระดับขึ้นได้ ทุกเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์ที่ชิงสุ่ยครอบครองแทบจะไม่สามารถเทียบได้กับเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์เทพมังกรมรกต
ชิงสุ่ยรู้สึกถึงพลังที่ปะทุขึ้น หลังจากที่เขาได้รับเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์เทพมังกรมรกต ความแข็งแกร่งและพลังป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า นี่เป็นเคล็ดวิชาสรวงสวรรค์ที่เน้นด้านการต่อสู้ ตัวอย่างเช่น มันช่วยเพิ่มความทนทานให้กับเขา เพิ่มพลังให้กับทักษะ 9 รากฐานบรรพกาลศึกขึ้น 1 เท่า และเกราะทองคำวชิระขึ้น 1 เท่า…
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตอนนี้เขาเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเส้นเขตแดนของผู้ฝึกตนระดับพระเจ้าแล้ว