บทที่ 1621 – หญิงสาวผู้โดดเด่นดังเช่นที่เคยเป็น เย็นชาและงดงามถึงขั้นที่สามารถโค่นล้มเมืองได้
ชิงสุ่ยไม่สามารถสงบใจเอาไว้ได้ เขาหลบเลี่ยงการสบตากับเธอและรู้สึกทนแทบไม่ไหว
ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองไปที่ชิงสุ่ยซึ่งลดสายตาลงต่ํา
“ข้ากลับไปอีกไม่กี่วันข้างหน้า มีหลายสิ่งเกิดขึ้นที่บ้านข้าทําให้ข้าต้องใช้เวลาเพื่อตัดสินเรื่องต่างๆ เมื่อข้ามาถึงที่นี้ ข้าแทบทนรอไม่ไหวที่จะได้พบเจ้า” ชิงสุ่ยรู้สึกเหมือนว่าเขาได้กลับไปตกหลุมรักเธออีกครั้ง
“การกลับมาในครั้งนี้ของเจ้าจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆสินะ” ถานท่ายหลิงเยียนขมวดคิ้วขึ้นและเผยฟันสีขาวสะอาดออกมา การกระทําเช่นนี้ของเธอมักทําให้ชิงสุ่ยตกตะลึง เมื่อเขาฟื้นคืนสติ เขาทําได้เพียงยิ้มตอบด้วยความอึดอัดใจ
“ข้ามันก็แค่คนโง่คนหนึ่ง เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลยหากข้าดูเหม่อลอย ไม่มีชายใดหรอกที่จะไม่เป็นแบบนี้เมื่อพวกเขาเห็นเจ้า ” ชิงสุ่ยพบข้อแก้ต่างที่เขาคิดว่ามันเป็นความจริง เขากําลังสารภาพความรู้สึกของตัวเอง
“นั่นก็แค่ข้อแก้ตัว” ถานท่ายหลิงเยียนไม่ได้โกรธ
“ข้าสาบานต่อฟ้าดินได้ว่าข้าพูดความจริง แม้ว่าเจ้าจะไม่เชื่อในลีลาท่วงท่าของข้า แต่เจ้าก็รู้ถึงเสน่ห์ของข้าดี” ชิงสุ่ยชอบคุยเรื่องแบบนี้กับเธอมาก เหตุผลก็คือมันสามารถช่วยละลายความเย็นชาในหัวใจของเธอลงได้
“แล้วข้ามีเสน่ห์แบบไหนหล่ะ? ทําไมผู้ชายทุกคนถึงหวาดกลัวข้า” ถานท่ายหลิงเยียนดูเหมือนจะไม่ติดขัดกับการพูดคุยสิ่งเหล่านี้ในความเป็นจริง เธอค่อนข้างจะอารมณ์ดี อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ชิงสุ่ยเชื่อว่าเธอมองเขาเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
“เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าไม่คิดว่าผู้ใดจะสามารถพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติกับเจ้าแบบตัวข้า ทําไมเจ้าไม่ลองยิ้มให้มากขึ้น เพื่อที่ผู้อื่นจะไม่รู้สึกห่างเหินกับเจ้าเกินไป” ชิงสุ่ยกล่าวหยอกล้อ
“เจ้ามันก็แค่ผู้ชายทั่วไป เจ้าใช้วาจาล่อลวงหญิงสาวมามากเท่าไหร่แล้วหล่ะ?” ถานท่ายหลิงเยียนไม่ได้หันมองชิงสุ่ย เธอยกกาน้ําขึ้นและเทลงในถ้วยของทั้งคู่
“ข้าเป็นผู้ชายธรรมดา จนถึงตอนนี้ข้ายังลังเลว่าจะสารภาพบางอย่างกับเจ้าดีหรือไม่ เจ้า คิดว่าข้าควรทําไหม?” ตอนนี้ชิงสุ่ยกลับมารู้สึกแปลกๆบางอย่างกับถานท่ายหลิงเยียน ดังนั้นเขาจึงต้องการกล่าวบางสิ่งที่อยากบอกก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“ไม่ ข้าไม่ต้องการฟังเรื่องอะไรเช่นนั้น เจ้าจะไปเมื่อไหร่? พวกเรามาดื่มสุรากันสักหน่อยเถอะ” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวพร้อมส่ายหัวของเธอ
เวลานี้สิ่งที่แตกต่างออกในตัวของถานท่ายหลิงเยียนเมื่อเทียบกับครั้งอดีตคือการมีรอยยิ้มจางๆอยู่บนใบหน้าของเธอ เธอดูเหมือนจะมีอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นเฉพาะสําหรับเขาหรือเธอเคยเป็นเช่นนี้เมื่อไม่นานมาแล้ว
“เจ้าไม่อยากให้ข้าจากไปหรือ? หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะอยู่”
ถานท่ายหลิงเยียนส่ายหัว “ไม่ใช่ คราวนี้ข้าก็จะออกไปด้วย ข้ารู้สึกได้ว่ามีใครบางคนที่ได้รับมรดกแห่งจอมอสูรเช่นเดียวกันกําลังเรียกหาข้า”
หัวใจของชิงสุ่ยเต้นระรัว เขาจําถึงข้อเสียของการสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรได้ เมื่อคนที่ได้รับมรดกแข็งแกร่งขึ้นในระดับหนึ่ง พลังแห่งจอมอสูรก็จะผสานรวมเข้ากับสายเลือด จากนั้นพวกเขาก็จะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้ว่ามันอาจไม่ได้ทําให้พวกเขาสูญเสียตัวตนไปทั้งหมดและรู้ว่าตัวเองกําลังทําอะไร ถึงอย่างนั้นบางสิ่งที่พวกเขาคิดว่ามันไม่ควรก็จะกลายเป็นเรื่องปกติสําหรับพวกเขาไป
นี่คือสิ่งที่ประมุขอสูรอย่างเธอเป็น ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะสูญสิ้นบุคลิกดั้งเดิมไปซะหมด พวกเขาเพียงแค่เปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะนิสัยเดิมๆ สิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยอาจไม่เป็นสิ่งที่พวกเขาเคยทําอีกต่อไป พวกเขาจะเริ่มมองดูทุกสิ่งผ่านเลยไป
“เจ้ารู้เกี่ยวกับเรื่องสายเลือดแห่งจอมอสูรใช่หรือไม่?” ชิงสุ่ยถามด้วยน้ําเสียงที่เป็นกังวล
“ข้ารู้ ผู้ที่ได้รับสืบทอดจะผสานเข้ากับสายเลือดประมุข สายเลือดนี้จะตัดสินว่าผู้ที่ได้รับสืบทอดแข็งแกร่งพอหรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการพูดอะไร แต่เจ้าอย่าพึ่งปักใจเชื่อทั้งหมดหากยังไม่มีข้อพิสูจน์ เจ้าไม่คิดอย่างนั้นหรือ?” ถานท่ายหลิงเยียนถามอย่างใจเย็น
แม้ว่าเธอจะกล่าวเช่นนั้น แต่ลึกลงไปเธอกลับไม่ได้สงบอย่างที่เห็น เหตุผลก็คือมีบางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตระกูลของเธอ มันไม่ใช่อย่างที่เป็นข่าวลือ แต่เป็นความจริงที่ลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของพวกเขาเปลี่ยนไป
ชิงสุ่ยรู้สึกว่ายังมีความหวัง นั่นเป็นเพราะอารมณ์ความรู้สึกของถานท่ายหลิงเยียนไม่เหมือนกับผู้สืบทอดคนอื่นๆ ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นการควบคุมอารมณ์ก็ทําได้ยาก
ชิงสุ่ยค่อนข้างกังวลอยู่ลึกๆ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ก่อนหน้านี้เขายังวางแผนที่จะทําให้ผู้หญิงคนนี้ตกหลุมรักเขา เหตุผลคือความรักสามารถชําระล้างเลือดจอมอสูรได้
“ก็อาจจะใช่ ข้ากลัวว่ามันจะทําให้เจ้าทําร้ายข้า” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง
“เจ้ากลัวตายหรือไม่?” ถานท่ายหลิงเยี่ยนถามด้วยน้ําเสียงจริงจัง
“ไม่ ข้าสามารถตายแทนเจ้าได้ แต่ข้าก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น” ชิงสุ่ยหัวเราะเบาๆ
ถานท่ายหลิงเยียนตัวสั่นเทา แต่เธอไม่ได้แสดงออกมาให้ชิงสุ่ยเห็น เธอเชื่อในสิ่งที่เขากล่าวว่าเป็นความจริง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ แน่นอนว่าเขาจะไม่นิ่งดูดายโดยไม่ทําอะไรเลย ณ ตอนนั้น เขาเคยบอกเธอว่าเขาจะดูแลเธอให้เหมือนคนในครอบครัว
“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” ถานท่ายหลิงเยียนยิ้มแล้วกล่าว
ในขณะนั้นซานยูและฮัวรูเหม่ยออกมาพร้อมกับอาหาร “ทําไมพวกเจ้าถึงพูดกันถึงเรื่องตายๆในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีหล่ะ?”
ระหว่างกล่าวฮัวรูเหมียวางอาหารในมือลงบนโต๊ะ ถานท่ายหลิงเยียนไม่ได้พูดอะไรต่อ ชิงสุ่ยยืนขึ้นและยิ้ม “มาเถอะ ข้าจะช่วยจัดโต๊ะ”
“น้องชาย เจ้าจะพักอยู่ที่นี่ 2-3 วันก่อนหรือเดินทางต่อหล่ะ?” ซานยูถามชิงสุ่ย หลังจากที่เขานําอาหารทั้งหมดมาจัดวาง
“ข้าคงจะต้องจากไปภายใน 1 เดือนนี้ ยังมีสิ่งที่ข้าต้องทําอยู่ พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” ชิงสุ่ยไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่เขาต้องทํา
“พวกเราสบายดี แต่ประมุขอสูรบอกเราว่านางจะต้องออกไปข้างนอกในไม่ช้า นางบอกว่านางรู้สึกถึงพลังที่คุ้นเคยและไม่ต้องการให้ใครติดตามไป พวกเราค่อนข้างเป็นห่วงนางเช่นกัน” ซานยูไม่ได้กล่าวอะไรอีกหลังจากที่เขาพูดถึงประเด็นนี้ มันไม่จําเป็นสําหรับเขาที่จะทําเช่นนั้น
ชิงสุ่ยยิ้มและพยักหน้า “หลิงเยียน ทําไมพวกเราไม่ไปด้วยกันหล่ะ? มันจะดีกว่าการที่เจ้าต้องเดินทางคนเดียว ข้ารู้ว่าเจ้ากําลังกล่าวถึงใครบางคนที่ได้รับมรดกแห่งจอมอสูร”
ถานท่ายหลิงเยียนดูเหมือนจะลังเลอยู่บ้าง แต่ในท้ายที่สุดเธอก็พยักหน้าตกลง “ข้าคิดว่าจะไปกับชิงสุ่ย ส่วนพวกท่านก็คอยอยู่ที่พระราชวังจอมอสูร”
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างรวดเร็วและกล่าว “เอาหล่ะ พี่สาวและพี่ชายอยู่ที่นี่เถอะ พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของนางแล้ว”
ชิงสุ่ยเรียกซานยูด้วยคําว่าพี่ชาย การเรียกเขาว่าพี่เขยทําให้ชิงสุ่ยรู้สึกเหมือนพวกเขาไม่สนิทกัน
ซานยูและฮัวรูเหม่ยยิ้มหลังจากมองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง “เอาเถอะ พวกเจ้าระวังตัวด้วย”
ชิงสุ่ยทราบถึงเรื่องนี้หลังจากที่เขามาที่นี่ อย่างไรก็ตามผู้คนที่สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรล้วน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถานท่ายหลิงเยียนเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเขาพบกันในครั้งนี้
ถ้าชิงสุ่ยไม่ได้มาถูกเวลา เธอคงจะต้องไปที่นั่นคนเดียว สําหรับผลลัพธ์ของมัน เขายังไม่อาจคาดเดาได้ ชิงสุ่ยจะไม่เป็นกังวลหากเขาไม่รู้เกี่ยวกับมัน แต่มันช่างโชคดีสําหรับเขาที่มาได้ตรงจังหวะ
หลังจากทานข้าวเสร็จและพูดคุยเกี่ยวกับอดีตชักพัก ถานท่ายหลิงเยียนก็ยืนขึ้นและขอตัวไปพัก หลังจากนั้นสักครู่ชิงสุ่ยก็กลับไปเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องไปกับถานท่ายหลิงเยียนเพื่อดูว่าใครเป็นคนที่เรียกหาเธอ
ฮัวรูเหมียนรู้ว่าชิงสุ่ยต้องการไปกับถานท่ายหลิงเยียน เธอไม่ได้หยุดพวกเขา ทั้งสองต่างก็สามารถพึ่งพากันและกัน
ชิงสุ่ยไม่ได้ต้องการชี้นําหรือคอยตามหลังเธอ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะอยู่เคียงข้างเธอ บางครั้งมันก็จําเป็นที่พวกเขาต้องช่วยเหลือกัน
ชิงสุ่ยทําด้วยความจริงใจ ถานท่ายหลิงเยียนเองก็รู้เช่นกัน เมื่อเธอมองเห็นดวงตาอันชัดเจนของชิงสุ่ย เธอก็ไม่อาจกล่าวปฏิเสธมันได้
สําหรับลานท่ายหลิงเยียน ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นธรรมชาติ เขาไม่สามารถพูดอะไรหลายๆอย่างได้ มุขตลกของเขาก็ไม่สามารถทําได้ดีพอ ถ้าเขาจะพูดคุยกับเธอแค่เรื่องสําคัญๆเท่านั้น มันคงต้องใช้เวลานานกว่าที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะพัฒนาขึ้น
ชิงสุ่ยมีที่พักแยกเดี่ยวในตออนที่เขาอาศัยอยู่ในพระราชวังจอมอสูร เมื่อเขาไปถึงที่นั่น เขาพบว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีคราบรอยเปื้อนฝุ่นเลยสักนิดเดียว มันยังดูเหมือนเดิมทุกประการ ลึกลงไปเขารู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขาพักอยู่ใกล้กับถานท่ายหลิงเยียน จากหน้าต่างห้องของเขา เขาสามารถมองเห็นห้องของถานท่ายหลิงเยียนได้
ก่อนหน้านี้ที่ถานท่ายหลิงเยียนจะออกไป เธอได้บอกให้เขากลับไปพักที่ห้องเดิม ชิงสุ่ยยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองไปที่ห้องของ ถานท่ายหลิงเยียน มันเป็นอย่างที่เขาคิด หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที เธอก็ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ
จนกระทั่งเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ดวงจันทร์ก็ส่องสว่างขึ้นอย่างช้าๆบนท้องฟ้า แสงเหล่านี้นั้นดูสวยงาม ถานท่ายหลิงเยียนเองก็มองเห็นชิงสุ่ย ชิงสุ่ยส่งยิ้มให้เธอและเธอก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน มันเป็นเพียงรอยยิ้มจางๆ
ผู้หญิงคนนี้ทําให้ชิงสุ่ยประทับใจอย่างมาก มันเป็นแบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว พวกเขาเคยพบกันมาก่อนในต่างทวีป จนถึงตอนนี้เขาก็ได้รับมรดกจากเทพสงครามมาแล้ว ในทางกลับกันเธอก็ได้รับมรดกแห่งจอมอสูร
ทั้งสองที่ดูไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันได้มาพบเจอกันด้วยโชคชะตา ชิงสุ่ยไม่สามารถยืนยันอะไรได้ แต่จากวันนั้นเขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทีละนิดของถานท่ายหลิงเยียน แม้มันจะเล็กน้อย สําหรับถานท่ายหญิงเยียน มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงสําคัญที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ
จากการพบกับถานท่ายหลิงเยียนในครั้งนี้ เขาพบว่าเธอไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อก่อน จากมุมมองของเขา ถานท่ายหลิงเยียนดูเป็นมิตรมากขึ้น ดังนั้นตอนนี้เขาจึงมั่นใจเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกว่าจําเป็นที่จะต้องทําให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุข
ในวันถัดไปชิงสุ่ยและคนอื่นๆก็มารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ในช่วงบ่ายชานยูและฮัวรูเหม่ยก็จากไป เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรทําเลย ชิงสุ่ยก็ตัดสินใจเดินไปนั่งพูดคุยที่ศาลากับถานท่ายหลิงเยียน
“มีอะไรที่เจ้าอยากได้จากข้าไหม?” ถานท่ายหลิงเยียนมองดูชิงสุ่ยอย่างกระอักกระอ่วน
ชิงสุ่ยยิ้มและมองเธอ “เจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้ ใช่หรือไม่? ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ด้วยกันกับเจ้าเมื่อข้ามีเวลาว่างงั้นหรือ?”
ในความเป็นจริงลึกลงไปถานท่ายหลิงเยียนยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับชิงสุ่ย เธอรู้ว่าชิงสุ่ยนั้นชอบเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นคนที่เย็นชา แต่เธอก็ยังรับรู้มัน นอกจากนี้ยังมีหลายสิ่งเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา สิ่งที่จดจําได้เป็นอย่างดีสําหรับเธอคือเหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา ไม่ว่าเธอจะบังคับให้ลืมเรื่องนั้นมากเพียงใด เธอก็ยังพบว่ามันฝังลึกอยู่ในใจ ในเวลานั้นเธอไม่แน่ใจว่าเธอ จะโกรธหรือเขินอาย ความรู้สึกของเธอเต็มไปด้วยความสับสน
แทนที่จะนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ชิงสุ่ยขยับเข้ามานั่งข้างๆเธอ การตัดสินใจครั้งนี้ที่เขาเลือก ทําให้ตัวเองรู้สึกประหม่า แม้ว่าเขาจะอยู่ใกล้กับเธอ พวกเขาก็ยังห่างกันประมาณครึ่งฟุต
กลิ่นหอมจางๆลอยเข้าไปในจมูกของชิงสุ่ย เขาไม่กล้ามองสบตาเธอ เขากลัวว่าเขาจะเห็นดวงตาที่ขุ่นเคือง มันเป็นช่วงเวลาที่เขาตระหนักว่าตัวเองดูบอบบาง
ส่วนตัวถานท่ายหลิงเยียน เธอรู้สึกสบายใจขึ้นจากท่าที่ของชิงสุ่ย บางครั้งเขาก็ไม่ทําตัวเป็นคนพาลอย่างที่เธอคิด
“เจ้ารู้ถึงการมีอยู่ของโลกใต้ทะเลหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามเบาๆ เมื่อถามเขา เขาก็หันหน้าไปทางถานท่ายหลิงเยียนเล็กน้อย