AST
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งเธอพบว่าอีเย่เจี้ยนเก้อนั้นงดงามและน่าหลงใหลมาก เธอสัมผัสได้ถึงจังหวะการเคลื่อนไหวของชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้ออย่างชัดเจนเมื่อพวกเขารวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว
มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมีอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้มู่หยุนชิงเฉิงไม่แน่ใจว่าอารมณ์ของเธอถูกจุดประกายขึ้นจากฉากที่ได้เห็นหรือไม่ เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็เริ่มหยุดต่อต้านมัน
ชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อสนุกไปกับการร่วมรักกันเกือบทั้งคืนพวกเขาสองคนรื่นรมย์อยู่กับสิ่งที่ทำ ดูเหมือนพวกเขาจะลืมไปว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ มู่หยุนชิงเฉิงมองเห็นทุกการกระทำที่พวกเขามีความสุขร่วมกัน
ท้ายที่สุดทั้งสองก็สงบลงชิงสุ่ยรู้สึกถึงมู่หยุนชิงเฉิง เขาสามารถสัมผัสดินแดนพลังเทวะแห่งเต๋าได้จางๆและแสดงสีหน้าแปลกๆออกมา
“มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?” อีเย่เจี้ยนเก้อถามเบาๆ
“ไม่มีอะไรข้าเพียงแต่นึกถึงเรื่องพระราชวังมังกร” โดยทั่วไป ชิงสุ่ยไม่มีทางสารภาพกับเธอ เพราะมันจะทำให้อีเย่เจี้ยนเก้อรู้สึกละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้าใคร เธอจะรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องอยู่ต่อหน้ามู่หยุนชิงเฉิง ในอนาคตคงเป็นไปได้ยากที่เธอจะร่วมรักกับเขา ที่สำคัญกว่านั้น เขากลัวว่าอีเย่เจี้ยนเก้อจะมีปมในใจ
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องควรถูกเก็บเป็นความลับบุคคลภายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนรู้เห็น มันคงจะดีกว่านี้ หากพวกเธอเป็นผู้หญิงของชิงสุ่ย
ในวันถัดมาเมื่อทั้งสามคนได้มาอยู่พร้อมหน้ากัน สถานการณ์ก็ดูจะอึดอัดไม่น้อย อย่างไรก็ตามอีเย่เจี้ยนเก้อมั่นใจว่ามู่หยุนชิงเฉิงรู้ว่าเธอทำอะไรกับชิงสุ่ยในห้อง จากมุมมองของเธอ เธอคิดเพียงว่ามู่หยุนชิงเฉิงอาจได้ยินเสียงบางอย่างที่ทำให้รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกัน เธอไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอีกฝ่ายเห็นทุกสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่
ในทำนองเดียวกันชิงสุ่ยก็รู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน ในตอนแรก เพราะการที่เธอต้องได้รับการรักษาจากเขา เขาจึงเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากเธอ แต่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่เขาและผู้หญิงของเขาที่เห็นเธอเปลือยกาย เธอได้เห็นพวกเขาในระหว่างการมีสัมพันธ์กันแล้ว
ทุกคนก็ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหลังจากที่พวกเขากินข้าวแล้ว มู่หยุนชิงเฉิงก็อ้างว่าต้องการปรับสมดุลพลังและแยกตัวออกไป ชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อเองก็ไม่ได้สนใจที่จะโน้มน้าวให้เธอยู่
“มันเป็นความผิดของเจ้า!เจ้าคิดเพียงแต่การร่วมรัก” อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“อืมข้าคิดว่าข้าได้ยินใครบางคนบอกว่านางผสานกายเข้ากับข้าจนแทบขยับตัวไม่ไหว” ชิงสุ่ยหัวเราะเบาๆ
“ไปตายซะ!”อีเย่เจี้ยนเก้อเขินอายขณะที่เธอเขกลงไปที่ของชิงสุ่ยศีรษะ
“เจี้ยนเก้อบอกข้ามาเถอะ เจ้าอยากได้ลูกชายหรือลูกสาว?” ชิงสุ่ยถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“ข้าไม่เคยบอกว่าจะมีลูกให้เจ้า”อีเย่เจี้ยนเก้อรู้สึกอายและตอบกลับ
“แต่ข้าได้หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ในตัวเจ้าแล้ว”
ชิงสุ่ยถูกเขกไปที่ศีรษะอีกครั้ง“…เจ้าสนใจด้วยหรือว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
“ไม่ข้าแค่ต้องการรู้ว่าเจ้าชอบเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง”
“…ข้าชอบทั้งคู่เลย”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเจ้าไม่ให้กำเนิดลูกฝาแฝดหล่ะ?”
…….ไอรีนโนเวล.
เพียงพริบตาก็ผ่านไปแล้ว3 วัน ช่วงไม่วันที่ผ่านมา ชิงสุ่ยได้ไปเยือนพระราชวังสุริยา 2-3 ครั้ง หลังจากตระหนักว่าทุกอย่างปกติ เขาก็กลับมาที่พระราชวังทะเลราชันย์ มู่หยุ่นชิงเฉิงออกไปนอกพระราชวังทะเลราชันย์เป็นครั้งคราว เธอปล่อยให้ชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้ออยู่ด้วยกัน
แน่นอนว่าอีเย่เจี้ยนเก้อรู้ว่ามู่หยุนชิงเฉิงหาข้ออ้างเมื่อเธอบอกว่ามีสิ่งที่ต้องไปทำและจะกลับมาพวกเธอใกล้ชิดกันราวกับพี่น้องร่วมสายเลือด
อีเย่เจี้ยนเก้อนั้นไม่สามารถปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาได้อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยสังเกตเห็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่กว่าสายเลือดที่มู่หยุนชิงเฉิงสืบทอดมาในร่างกายของเธอ
พลังปราณอมตะ!
ในอดีตชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับภายในร่างกายของเธอเสมอ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ตั้งแต่ยังเยาว์ ตอนนี้เธอแข็งแกร่งมากขึ้น ในที่สุดชิงสุ่ยก็สามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นพลังปราณอมตะ
ทั่วทั่งทวีปมีผู้คนมากหน้าหลายตาทุกวันผู้คนต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ผิดปกตินับครั้งไม่ถ้วน มันเป็นเหตุผลว่าทำไมโลกแห่งศิลปะการต่อสู้จึงมีสีสัน บางครั้งอัจฉริยะก็จะปรากฏตัวออกมาให้เห็นเป็นครั้งคราว
ในช่วง2-3 วันที่ผ่านมา ชิงสุ่ยลังเลว่าจะปลุกพลังเธอนี้ให้หรือไม่ ความแข็งแกร่งของมันเทียบได้กับพลังสายเลือดของมู่หยุนชิงเฉิง
ชิงสุ่ยคิดถึงคทาวชิระเขาคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาใดหากเขาใช้เข็มเบญจธาตุศักดิ์สิทธิ์ เข็มทองคำฟื้นฟูร่างกาย และเข็มแห่งชีวิตและความตายพร้อมกัน แม้จะคิดเช่นนั้น เขาก็ยังคงลังเลอยู่
เขาลังเลอยู่ถึง3 วัน เขาไม่ได้บอกมันกับอีเย่เจี้ยนเก้อ แม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่อีเย่เจี้ยนเก้อสามารถบอกได้ว่าเขามีบางอย่างในใจ เธอไปถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ชิงสุ่ยไม่ได้ตั้งใจปิดบังมันกับเธอเขาสารภาพทุกอย่าง อีเย่เจี้ยนเก้อได้ทราบว่ามีโอกาส 80% ที่จะประสบความสำเร็จ เธอยิ้มและถาม “เจ้าต้องการให้ข้าลองดูไหม?”
”แน่นอน!เพียงแค่ข้าไม่ต้องการให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า ตราบใดที่ข้าไม่แน่ใจ 100% ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเสี่ยง…”
อีเย่เจี้ยนเก้อรู้สึกอบอุ่นในใจเธอยิ้ม“ ไม่มีอะไรในที่โลก 100% แม้ว่าเจ้าจะมีความมั่นใจอย่างมาก บางครั้งอุบัติเหตุก็อาจเกิดขึ้นได้ อัตราความสำเร็จ 80% ถือว่าสูงมากแล้ว ในความเป็นจริงเมื่อสิ่งหนึ่งมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า 50% ข้าเชื่อว่ามันถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลอง”
ชิงสุ่ยอาจไม่สามารถรับรองความสำเร็จกับเธอได้แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถมั่นใจในความปลอดภัยของเธอ มันเป็นเพียงแค่ว่าเมื่อเธอล้มเหลว เธออาจไม่สามารถสัมผัสถึงพลังนี้ได้อีก นี่ก็เป็นเหตุผลที่ชิสุ่ยลังเลว่าเขาควรจะทำเช่นไร
เนื่องจากมีหลายสิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ชิงสุ่ยจึงกระตือรือร้นที่จะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น ด้วยวิธีนี้ การผสานพลังระหว่างเธอกับมู่หยุนชิงเฉิงจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินได้อย่างแน่นอน
ชิงสุ่ยยังคงตั้งตารอดินแดนหยกยุพราชอมตะขั้นที่เก้าเขาไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่จะได้รับจากมัน เขาหวังว่ารูปแบบมังกรแห่งเคล็ดวิชาเลียนแบบสัตว์ 9 อสูรจะเผยออกมาให้เขาได้ฝึกฝนมัน
ในท้ายที่สุดชิงสุ่ยก็เลิกคิดและลองดู เขาวางแผนเป็นอย่างดีเพื่อให้มันสำเร็จ นอกจากนี้การทำมันทีหลังก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เนื่องจากเขาแข็งแกร่งกว่าเธอมากอยู่แล้ว การที่ระยะห่างของพลังเพิ่มขึ้นไม่ใช่ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป
หากเธอประสบความสำเร็จในครั้งนี้เธอจะเป็นผู้ฝึกตนอีกคนที่อยู่ในระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่หญิงสาวของเขา ตระกูลชิงจะยินดีกับการมีผู้ฝึกตนระดับปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นอีกคน นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี ในอนาคต พวกเขาจะปกครองบริเวณโดยรอบได้อย่างแท้จริง
คราวนี้ชิงสุ่ยลงมือทำอย่างช้าๆนั่นเพราะเขาต้องการมั่นใจ โอกาสประสบความสำเร็จ 80% ถือว่าสูงมาก ด้วยความสามารถในการควบคุมลมปราณของชิงสุ่ยที่ไม่เหมือนใคร สิ่งต่างๆดูเหมือนจะเป็นไปได้ เขาเคยทำสำเร็จแม้ว่าอัตราความสำเร็จจะมีแค่ 10-20% มาแล้ว
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นตั้งแต่เริ่มมันทำให้ชิงสุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเวลาผ่านไปร่างกายของอีเย่เจี้ยนเก้อก็เริ่มก่อรูปแก่นแท้แห่งพลังปราณอมตะ พลังที่สะสมอยู่รอบตัวมันมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ
ณจุดนี้ ชิงสุ่ยสามารถยืนยันได้ว่าอีเย่เจี้ยนเก้อต้องได้รับการสืบทอดพลังปราณอมตะมา การสืบทอดลักษณะนี้ค่อนข้างคลุมเครือ แม้แต่อีเย่เจี้ยนเก้อก็ยังไม่รู้ตัว
ชิงสุ่ยรู้สึกประหม่ามากเพราะตอนนี้เขากำลังจุดประกายพลังปราณอมตะและหลอมรวมมันเข้ากับพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายเธอ
ตึง!
นี่สิ่งที่มีเพียงชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อเท่านั้นที่จะรู้สึกพลังปราณอมตะได้ระเบิดพลังออกมา พลังงานอันน่าเกรงขามและยอดเยี่ยมของมันแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเธออย่างรวดเร็ว ชิงสุ่ยรีบฝังเข็มลงไปบนร่างกายของเธอ
ขณะนี้อีเย่เจี้ยนเก้อไม่สามารถมองเห็นและไม่ได้ยินอะไรจากโลกภายนอกมันเหมือนกับว่าเธอตัดขาดจากภายนอกโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่เธอรู้คือร่างกายของเธอรู้สึกราวกับกำลังจะระเบิด เธอกัดฟันและควบคุมพลัง นี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยบอกให้เธอทำก่อนหน้านี้
มือของชิงสุ่ยขยับไปมาอย่างว่องไวเข็มถูกฝังไปทั่วร่างของอีเย่เจี้ยนเก้อแล้ว จากนั้นเขาก็ดึงมันออกมาและเปลี่ยนตำแหน่งการฝังเข็มไปเรื่อยๆ ดวงตาของเขาจดจ้องจนดูเหมือนกับไม่ได้กระพริบเลยแม้แต่ครั้งเดียว มือของเขาหนักแน่นและมั่นคง
ทันใดนั้นร่างกายของอีเย่เจี้ยนเก้อก็เปียกชุ่มไปด้วยหยดเลือดมันดูสดและงดงาม ชิงสุ่ยไม่กล้าที่จะประมาท เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น
ผ่านไป2 ชั่วโมง อีเย่เจี้ยนเก้อกลายเป็นหญิงสาวผู้งดงามที่อาบไปด้วยเลือด ชิงสุ่ยรู้สึกเจ็บปวด โชคดีที่เธอสามารถผ่านพ้นมาได้อย่างเฉียดฉิว ลมปราณในร่างกายของเธอค่อยๆเบาลง เมื่อลมปราณในร่างกายของเธอคงที่ ชิงสุ่ยอุ้มเธอขึ้นมาและรีบนำออกไปจากห้อง
ทัณฑ์สวรรค์พินาศกำลังจะมาถึง
ขณะที่มองดูอีเย่เจี้ยนเก้อซึ่งกำลังอ่อนแรงชิงสุ่ยรู้สึกเป็นห่วงเธอมาก “ฟังข้า เจ้าเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมและมั่นคง อดทนจนกว่ามันจะผ่านไป ข้าจะคอยอยู่ข้างเจ้าในคืนนี้”
อีเย่เจี้ยนเก้อเหนื่อยมากมีร่องรอยของเลือดปรากฏอยู่ทั่วใบหน้า มันทำให้เธอมีเสน่ห์จนน่าหลงใหล มันเป็นความงามที่น่าทึ่งซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด ขณะที่เธอมองไปที่เลือดของตัวเองที่เปื้อนชิงสุ่ย เธอยิ้ม “ถ้าข้าผ่านมันไปได้จริงๆเจ้าต้องยอมโดนข้าลงโทษคืนนี้”
นี่เป็นครั้งแรกที่อีเย่เจี้ยนเก้อหยอกล้อแบบนี้กับชิงสุ่ยเหตุผลก็คือเธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะผ่านมันไป
“ถ้าเจ้าไม่สามารถผ่านมันไปได้ ข้าจะเผชิญหน้ากับมันพร้อมเจ้า” ชิงสุ่ยยิ้มและจูบเธอ
อีเย่เจี้ยนเก้อกลัวมากเธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าชิงสุ่ยเข้าร่วมด้วย ทัณฑ์สวรรค์พินาศจะทวีความรุนแรงขึ้น เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมันจะอิงจากความแข็งแกร่งของชิงสุ่ยเป็นหลัก
“ข้าจะผ่านมันไปข้าสัญญา! อย่าเข้ามากับข้า” ร่างกายของอีเย่เจี้ยนเก้อเปล่งประกาย
นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการอีเย่เจี้ยนเก้อรู้ถึงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเธอต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อผ่านมันไป เธอรู้ว่าถ้าเธอไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ชิงสุ่ยจะเข้าร่วมเพื่อช่วยเธอแน่นอน เธอจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
ประตูแห่งทัณฑ์สวรรค์พินาศเปิดออกเห็นได้ชัดว่าเธอมีพลังมากกว่ามู่หยุนชิงเฉิง มู่หยุนชิงเฉิงปรากฏตัวขึ้นข้างชิงสุ่ย พวกเขายืนอยู่ไม่ไกลจากอีเย่เจี้ยนเก้อ พวกเขาเฝ้าดูเธอต่อสู้กับทัณฑ์สวรรค์พินาศ
มู่หยุนชิงเฉิงรู้สึกกังวลมากเธอรู้ถึงสถานการณ์ที่อีเย่เจี้ยนเก้อต้องเผชิญ ในเวลาเดียวกันเธอก็รู้สึกประหลาดใจกับความสามารถของผู้ชายคนนี้ เขาสามารถช่วยกระตุ้นพลังในร่างกายของพวกเธอได้ โดยปกติแล้ว เส้นทางจากปราณบัญชาสวรรค์พินาจสู่ปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 100 ปีเพื่อให้บรรลุ และสิ่งนี้หมายถึงสำหรับผู้ที่เป็นอัจฉริยะ แน่นอนว่าบางครั้งมันก็มีข้อยกเว้น ทุกสิ่งล้วนมีข้อยกเว้น ปรากฏการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้