AST
บทที่1828 – ช่างมีความสุขจริงๆที่มีสาวงามข้างกาย
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ1 ชั่วโมง แม้กระบวนการรักษาเบื้องต้นจะเสร็จสิ้น แต่กระบวนการรักษาจึงยังคงกินเวลาอีก 2 สัปดาห์ วิธีการรักษาจำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป มิฉะนั้นหากเร่งรีบแล้วเกิดเหตุผิดพลาดมันจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
ชายร่างกำยำลุกขึ้นนั่งและเรียบตรวจสอบชีพจรของตนเอง แน่นอนว่าเขาจะต้องพบเจอกับความผิดหวังแต่เขาก็พยายามซ่อนเร้นความผิดหวังเอาไว้ในใจ แต่ตัวของเขายังคงเชื่อมั่นในตัวหมอเทวดาอย่างชิงสุ่ย
วันเวลาก็ผ่านมาหลายสิบปีถ้าหากเจ้าทนรอ 1-2 เดือนไม่ได้ เจ้าจงไปหาหมอคนอื่น ส่วนการรักษาที่ข้าทำไป ข้าไม่คิดแม้แต่ทองแดงเดียว ชิงสุ่ยยิ้มและมองเห็นความเศร้าสลดในดวงตาของชายร่างกายกำยำ
ไม่เลยไม่เลย ข้ายังคงเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวท่าน ชายร่างกายกำยำกล่าวอย่างจริงจัง
ถ้าเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าข้าก็จะพยายามรักษาเจ้า ดูเหมือนพี่น้องทั้งสองคนของข้าจะบอกว่าเจ้าเองก็แข็งแกร่งไม่เบา ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
ต้องขอโทษในความสะเพร่าของข้ามันเป็นเพราะว่าข้าหมดหวังที่จะขอเข้ารับการรักษา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรพวกเขาเลยจริงๆ ชายร่างกายกำยำกล่าวคำพูดจากใจ
ชิงสุ่ยส่ายหน้า ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงสงสัยในด้านพลังของข้า ทำไมเราไม่ลองมาประลองยุทธกันดูล่ะ
ชายร่างกายกำยำส่ายหน้า ท่านเป็นหมอ และข้าก็มั่นใจให้ท่านรักษาข้า ตัวของข้าไม่สนใจด้านประลองยุทธอีกแล้ว ข้าเพียงต้องการกลับมาเป็นชายชาตรีก็เท่านั้น ชิงสุ่ยอยากเปรียบเทียบพลังเอากับชายร่างกายกำยำแต่ดูเหมือนเช้าพรุ่งนี้จะไม่เต็มใจ
ถ้าเช่นนั้นเมื่อเจ้าหายดี เราค่อยกลับมาประลองยุทธกัน
เรื่องนี้ยิ่งไม่เหมาะสมยิ่งท่านคือผู้ช่วยชีวิตของข้า ไม่ต่างอะไรจากผู้ให้ชีวิต ข้ายิ่งไม่มีวันทำร้ายท่าน ชายร่างกายกำยำพูดจากใจจริง
ชิงสุ่ยจึงไม่พูดอะไรต่อก่อนจะลุกขึ้นเพื่อออกไปส่งชายร่างกำยำที่เขายังไม่ได้รู้แม้แต่ชื่อ และไม่มีการแนะนำชื่อใดๆเกิดขึ้น เขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนจะประลองฝีมือกับชายร่างกำยำคนนี้ แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้คือระดับพลังของเขาและชายร่างกำยำมันมีความแตกต่างอย่างมาก
ชิงสุ่ยถานท่ายหลิงเยียน และฉินชิงพักอาศัยอยู่ภายในหอคอยจักรพรรดิโดยใช้ชีวิตอยู่ภาษใต้คฤหาสน์เดียวกัน แต่อาศัยอยู่คนละศาลาที่พัก ตัวของชิงสุ่ยกำลังยืนมองอยู่ข้างหน้าต่างเขามองไปยังศาลาที่พักตรงกันข้ามซึ่งอยู่ห่างกันเพียงแค่ 10 เมตร โดยฝั่งศาลาที่อยู่ตรงข้ามชิงสุ่ย คือที่พักของถานท่ายหลิงเยียน
ทันใดนั้นชิงสุ่ยข้อสังเกตเห็นว่าฉินชิงที่อยู่ศาลาใกล้เคียงกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างและยิ้มให้กับเขาอยู่เขาจึงหันไปยิ้มและส่งรอยจูบ
เจ้าคนชั่วร้าย!! ฉินชิงยิ้มตอบอย่างเขินอาย
ชิงสุ่ยรู้สึกถึงบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษดวงจันทร์ตั้งตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้าแสงสว่างของมันทำให้พื้นโลกเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา แม้จะไม่สว่างนักแต่เขาทำให้คนเรารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ในขณะเดียวกันถานท่ายหลิงเยียนก็กำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่างเหมือนเรากับว่าเธอได้ยินบทสนทนาของฉินชิงและชิงสุ่ย เธอจึงหันหลังให้กับหน้าต่าง แต่ชิงสุ่ยก็ยิ้มและกล่าวว่า น้องเยียนเยียน เจ้าจะรีบไปไหนพวกเรามาร่วมกันดูแสงจันทร์ยามค่ำคืนกันเถอะ
ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองไปทางชิงสุ่ยด้วยสายตาที่ดูโกรธแต่เธอก็ไม่พูดอะไรเธอไม่อยากทะเลาะกับชายคนนี้เพราะเธอรู้ดีว่าชายคนนี้เป็นชายที่เล่ห์เหลี่ยม หากเธอยิ่งพยายามหยุดไม่ให้เขาเรียกเธอว่าเยียนเยียน ครั้งหน้าเธอมั่นใจว่าการเรียกของเขาคงไม่ได้ดีกว่าครั้งนี้แน่นอน
ฉินชิงได้แต่ยืนหัวเราะขณะที่ทั้ง 3 คนยังคงพูดคุยเรื่องราวเรื่อยเปื่อย
ข้าว่าพวกเราออกไปเดินเล่นเที่ยวชมถนนยามค่ำคืนกันดีกว่า ชิงสุ่ยกล่าวแนะนำ
แม้ตอนนี้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ก็ยังไม่ดึกมากซึ่งมันก็ไม่ใช่เวลาที่เขาจะกลับเข้าไปฝึกฝนในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเบื่อนายและอยากหาอะไรทำฆ่าเวลา
หญิงสาวทั้งสองคนไม่คัดค้านข้อเสนอชิงสุ่ยเขาจึงรีบกระโจนออกจากหน้าต่าง เพื่อลงมารอหญิงสาวทั้งสองคน เจ้ายิ้มอะไรกัน?หน้าตาเจ้าช่างดูคดโกงเล่ห์เหลี่ยมยิ่งนัก หญิงสาวทั้งสองคนค่อยๆทยอยลงจากหน้าต่างอย่างสง่างาม
ช่างมีความสุขจริงๆที่มีสาวงามข้างกาย….. ชิงสุ่ยจ้องมองหญิงสาวทั้งสองคน
ถานท่ายหลิงเยียนและฉินชิงสีหน้าแดงกล่ำขณะที่ถูกชิงสุ่ยกล่าววาจาแถะโลม
สุนัขบ้าสักวันจะตายคาเท้าช้าง ฉินชิงตอบกลับสั้นๆแต่ก็เจ็บปวดถึงจิตใจ
เธอรู้สึกละอายเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้ากล่าวกับเธอแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเกลียดใดๆทั้งสิ้น
ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองชิงสุ่ยพร้อมอารมณ์ที่ซับซ้อนเธอนึกย้อนไปถึงตอนที่เจอกันครั้งแรก มันเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน มันเป็นเหมือนตราฝังใจแม้แต่ยามที่เธอฝันมันยังทำให้เธอหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
ชิงสุ่ยรีบกระแอ่มเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากนั้นก็คว้ามือหญิงสาวทั้งสองคนและรีบเดินออกไปจากหอคอยจักรพรรดิ
หญิงสาวทั้งสองตกใจแต่ก็ยินยอมเดินตามชิงสุ่ยโดยไม่ขัดขืน หญิงสาวทั้งสองรู้ดีว่าต่อให้ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายชิงสุ่ยก็ต้องหาวิธีจูงมือทั้งสองคนเดินออกไปให้ได้