AST
บทที่1842 – ยาเม็ดเอกาจักรพรรดิ ทักษะการร่ายรำกระบี่
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสู่ความมืดมิดชิงสุ่ยจึงเดินทางกลับเข้าไปในภูเขาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับเฉินเจิน ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ใต้ท้องทะเล แต่กลางวันกลางคืนก็ยังพอมีความแตกต่างให้สามารถจำแนกแยกแยะได้
”พักผ่อนให้เต็มที่!!”เฉินเจินกล่าวอำลา
ชิงสุ่ยมองดูเธอเดินจากไปน้ำเสียงที่เธอกล่าวเป็นน้ำเสียงที่เธอไม่เคยกล่าวกับเขามาก่อน แม้แต่ความรู้สึกของเขายังบ่งบอกถึงความผิดแปลก แต่เขาก็พยายามคิดว่ามันคงเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด
ชิงสุ่ยสายหน้าเขากลับมาที่นี่ก็เพราะเรื่องของจักรพรรดินีผีดูดเลือด มันคงถึงเวลาที่เขาควรละทิ้งความคิดที่จะครอบครองหญิงสาว เนื่องจากโลกใบนี้มีหญิงสาวมากมาย มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะครอบครองพวกนางไว้กับตัวเองทั้งหมด
หลังจากที่เขาสลัดความคิดทั้งหมดออกไปได้เขาก็เข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะเหมือนดั่งที่เคยทำ
ถึงแม้จะฝนจะเป็นเรื่องน่าเบื่อแต่มันก็ช่วยให้ความแข็งแรงของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันทักษะในการปรุงยาเคลือบหน้าเหมือนกับเต่าคลาน แม้ว่ายาเม็ดชีวิตหวนคืนจะถูกปลดผนึก แต่ดูเหมือนชิงสุ่ยจะยังไม่มีทางปรุงมันได้
แต่สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าคือตัวยาที่จะปลดผนึกเป็นลำดับถัดไปจากยาเม็ดชีวิตหวนคืนมันคือยาเม็ดเอกาจักรพรรดิ ตัวยาไม่มีคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นเพียงแค่ชื่อ และค่าประสบการณ์ที่แสนไร้สาระ
……………………………………………..
เมื่อชิงสุ่ยออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะแสงอาทิตย์ยามเช้าก็เริ่มทอแสงสว่าง ดูเหมือนชีวิตประจำวันของเขาจะคุ้นชินไปกับโลกใต้ท้องทะเล และไม่ได้รู้สึกอึดอัดใดๆทั้งสิ้น
บริเวณลานกว้างหน้าบ้านที่เขาพักชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงพลังที่ผันผวนของใครบางคนที่กำลังฝึกฝน ชิงสุ่ยไม่จำเป็นต้องคาดเดาเพราะรู้ว่าเธอคือเฉินเจิน
ชิงสุ่ยจึงค่อยๆเดินไปที่สนามฝึกฝนเพื่อดูเฉินเจินร่ายรำเพลงกระบี่อย่างสวยงามท่วงท่าเต็มไปด้วยท่วงทำนองและความมีชีวิตชีวา กระบี่ของเธอไม่ได้มีร่องรอยแห่งความชั่วร้าย มันมีเพียงแค่ความเป็นธรรมชาติเพียงอย่างเดียว
ทักษะเพลงกระบี่ที่เธอฝึกฝนเป็นทักษะที่ดูเรียบง่ายไม่ใช่ทักษะชั้นเลิศ แต่เป็นเพียงทักษะที่ฝึกฝนเพื่อใช้ในการดูดซึมซับพลังปราณธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย
”ต้นไม้ที่แข็งแกร่งยังถูกโค่นล้มเปลวเพลิงที่โหดเหี้ยมดับสลายได้ด้วยสายน้ำ ความแข็งจึงอ่อนแอกว่าความนุ่ม และไม่มีสิ่งใด พลิกผันไปตามสิ่งต่างๆได้เหมือนสายน้ำแม้แต่ยอดยุทธที่แข็งแกร่งยังคนพบว่าตัวของพวกเขาก็เอาชนะมันไม่ได้ ความอ่อนจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อโต้ตอบกับความแข็งกระด้าง”
เพลงกระบี่ที่เธอใช้ช่างคล้ายคลึงกับทักษะเพลงหมัดไทเก๊กของเขาอย่างมากมันคือรูปแบบการฝึกฝนที่อาศัยบนเส้นทางความอ่อนนุ่ม
”ดูการฝึกฝนของข้าสนุกหรือเปล่า?”หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่งเฉินเจินก็หยุดการฝึกฝนและหันมาถามชิงสุ่ยที่กำลังยืนมองเธออยู่
”อืมใช้ได้เลยทีเดียว”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
”ใช้ได้เลยทีเดียวหมายความว่าอย่างไรยังจะมีคนที่รำเพลงกระบี่ได้งดงามกว่าข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เฉินเจินยิ้ม
ชิงสุ่ยได้แต่ยิ้มในใจของเขาบอกได้ทันทีว่ามีน้อยคนนักที่จะรำกระบี่ได้งดงามเช่นเดียวกับเธอ แต่คนที่มีทักษะการรำกระบี่งดงามกว่าในใจของชิงสุ่ยนั้นมีอยู่เพียง 1 คน และเป็นคนที่เขาเคยคุ้นเคย หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่าเทพธิดารำกระบี่แห่งตระกูลกงซุน
แต่ช่างน่าเสียดายที่การจากลาได้มาถึงทั้งสองคนบางคนถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่ผู้เดินทางผ่าน และหายจากโดยไร้ร่องรอย
”ดูเจ้าจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองเอามากๆเลยสินะ”ชิงสุ่ยยิ้มให้กับหญิงสาวแสนสวยที่กำลังกล่าววาจาด้วยท่าทางมันใจ
”ว่าแต่โฉมงามที่มากับเจ้าครั้งสุดท้ายนางช่างงดงามจริงๆ”เฉินเจินยิ้ม
การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบฉับพลันทำให้ชิงสุ่ยถึงกับงุนงง
”เจ้าเองก็งดงามเช่นกัน”ชิงสุ่ยกล่าวชื่นชม
”หากเปรียบเทียบกับนางล่ะ?”
ชิงสุ่ยได้แต่คิดในใจเขารู้ว่าคนที่เธอกำลังกล่าวถึงคือมูหยุนชิงเก้อ “หรือว่านี่จะเป็นธรรมชาติของผู้หญิง? ใครๆก็ชอบเปรียบเทียบความงามของกันและกัน?” ”เจ้าคงไม่มีทางได้รับคำตอบจากปากของข้าแน่แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรละ?”
”คำตอบง่ายๆผู้หญิงสาวข้างกายของเจ้าคนนั้นมีรูปโฉมงดงามมากที่สุดเกินกว่าผู้ใด มิฉะนั้นเจ้าก็คงไม่เลือกนาง ผู้ชายก็ยังคงเป็นผู้ชายวันยังค่ำ ทุกคนที่ข้าเคยเจอล้วนชอบหญิงสาวโดยมีปัจจัยเป็นรูปร่างหน้าตาเป็นอันดับแรกเสมอ”
”ทุกคนย่อมรักความงามด้วยกันทั้งสิ้นแม้กระทั่งตัวของเจ้าเองก็ชอบเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตา มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเรา จะหวังว่าตัวเองนั่นไร้เสน่หา เพราะทุกคนต่างต้องการความรักจากผู้อื่น”ชิงสุ่ยกล่าวคำพูดที่มีความหมายซับซ้อน
เฉินเจินได้แต่ส่ายหน้า”ช่างมันเถอะ อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ว่าแต่ตอนที่เจ้ากำลังดูข้าแสดงท่วงท่าร่ายรำกระบี่ จากคำพูดของเจ้าดูเหมือนการร่ายรำกระบี่ของข้ายังมีข้อผิดพลาดใช่หรือไม่?”
”ก็ไม่นะเพียงแต่ถ้าหากเจ้าได้เห็นท่วงท่าการร่ายรำของผู้อื่น เจ้าอาจจะเข้าใจว่าทำไม”ชิงสุ่ยยื่นมือออกไป
เฉินเจินจึงทำการส่งมอบกระบี่เหล็กยาว3 ฟุตให้กับชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยที่ฝึกฝนทักษะเพลงกระบี่ไทเก็กค่อยๆแสดงท่าทางที่นุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง อย่างช้าๆ ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพที่รู้สึกแปลกแต่ก็ดึงดูดสายตา
เฉินเจินมองเห็นท่วงท่าการร่ายรำของชิงสุ่ยอย่างชัดเจนทักษะเพลงกระบี่ที่ชิงสุ่ยฝึกฝนไม่ได้ด้อยไปกว่าท่วงท่าของเธอเลย และที่สำคัญดูเหมือนความเข้าใจในทักษะกระบี่ของชิงสุ่ยจะอยู่เหนือกว่าเธอมากมาย เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าคนที่ใช้อาวุธหลักเป็นง้าวทองคำ ทำไมถึงมีความรู้ความสามารถในการร่ายรำกระบี่มากมายเช่นนี้ได้
หลังจากนั้นอีกไม่นานนักชิงสุ่ยก็ร่ายรำกระบี่จะเสร็จสิ้น เขาหันไปจ้องมองเฉินเจินและกล่าวว่า “มันเป็นอย่างไรบ้าง”
”ยอดเยี่ยมมาก!!”เฉินเจินตอบกลับด้วยความชื่นชม
ชิงสุ่ยจึงค่อยๆคืนกระบี่ให้กับเธอ
เฉินเจินจึงถามกลับไปว่า”เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าทำไมทุกท่วงท่าของเจ้ามันถึงได้แม่นยำมากมายขนาดนี้?”
เฉินเจินพอจะเข้าใจในสิ่งที่ชิงสุ่ยแสดงบางทีการแสดงให้เห็นอาจดีกว่าคำพูด
บทที่1842 – ยาเม็ดเอกาจักรพรรดิ ทักษะการร่ายรำกระบี่
ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสู่ความมืดมิดชิงสุ่ยจึงเดินทางกลับเข้าไปในภูเขาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับเฉินเจิน ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ใต้ท้องทะเล แต่กลางวันกลางคืนก็ยังพอมีความแตกต่างให้สามารถจำแนกแยกแยะได้
”พักผ่อนให้เต็มที่!!”เฉินเจินกล่าวอำลา
ชิงสุ่ยมองดูเธอเดินจากไปน้ำเสียงที่เธอกล่าวเป็นน้ำเสียงที่เธอไม่เคยกล่าวกับเขามาก่อน แม้แต่ความรู้สึกของเขายังบ่งบอกถึงความผิดแปลก แต่เขาก็พยายามคิดว่ามันคงเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด
ชิงสุ่ยสายหน้าเขากลับมาที่นี่ก็เพราะเรื่องของจักรพรรดินีผีดูดเลือด มันคงถึงเวลาที่เขาควรละทิ้งความคิดที่จะครอบครองหญิงสาว เนื่องจากโลกใบนี้มีหญิงสาวมากมาย มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะครอบครองพวกนางไว้กับตัวเองทั้งหมด
หลังจากที่เขาสลัดความคิดทั้งหมดออกไปได้เขาก็เข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะเหมือนดั่งที่เคยทำ
ถึงแม้จะฝนจะเป็นเรื่องน่าเบื่อแต่มันก็ช่วยให้ความแข็งแรงของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันทักษะในการปรุงยาเคลือบหน้าเหมือนกับเต่าคลาน แม้ว่ายาเม็ดชีวิตหวนคืนจะถูกปลดผนึก แต่ดูเหมือนชิงสุ่ยจะยังไม่มีทางปรุงมันได้
แต่สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าคือตัวยาที่จะปลดผนึกเป็นลำดับถัดไปจากยาเม็ดชีวิตหวนคืนมันคือยาเม็ดเอกาจักรพรรดิ ตัวยาไม่มีคำอธิบายใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นเพียงแค่ชื่อ และค่าประสบการณ์ที่แสนไร้สาระ
……………………………………………..
เมื่อชิงสุ่ยออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะแสงอาทิตย์ยามเช้าก็เริ่มทอแสงสว่าง ดูเหมือนชีวิตประจำวันของเขาจะคุ้นชินไปกับโลกใต้ท้องทะเล และไม่ได้รู้สึกอึดอัดใดๆทั้งสิ้น
บริเวณลานกว้างหน้าบ้านที่เขาพักชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงพลังที่ผันผวนของใครบางคนที่กำลังฝึกฝน ชิงสุ่ยไม่จำเป็นต้องคาดเดาเพราะรู้ว่าเธอคือเฉินเจิน
ชิงสุ่ยจึงค่อยๆเดินไปที่สนามฝึกฝนเพื่อดูเฉินเจินร่ายรำเพลงกระบี่อย่างสวยงามท่วงท่าเต็มไปด้วยท่วงทำนองและความมีชีวิตชีวา กระบี่ของเธอไม่ได้มีร่องรอยแห่งความชั่วร้าย มันมีเพียงแค่ความเป็นธรรมชาติเพียงอย่างเดียว
ทักษะเพลงกระบี่ที่เธอฝึกฝนเป็นทักษะที่ดูเรียบง่ายไม่ใช่ทักษะชั้นเลิศ แต่เป็นเพียงทักษะที่ฝึกฝนเพื่อใช้ในการดูดซึมซับพลังปราณธรรมชาติเข้าสู่ร่างกาย
”ต้นไม้ที่แข็งแกร่งยังถูกโค่นล้มเปลวเพลิงที่โหดเหี้ยมดับสลายได้ด้วยสายน้ำ ความแข็งจึงอ่อนแอกว่าความนุ่ม และไม่มีสิ่งใด พลิกผันไปตามสิ่งต่างๆได้เหมือนสายน้ำแม้แต่ยอดยุทธที่แข็งแกร่งยังคนพบว่าตัวของพวกเขาก็เอาชนะมันไม่ได้ ความอ่อนจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อโต้ตอบกับความแข็งกระด้าง”
เพลงกระบี่ที่เธอใช้ช่างคล้ายคลึงกับทักษะเพลงหมัดไทเก๊กของเขาอย่างมากมันคือรูปแบบการฝึกฝนที่อาศัยบนเส้นทางความอ่อนนุ่ม
”ดูการฝึกฝนของข้าสนุกหรือเปล่า?”หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่งเฉินเจินก็หยุดการฝึกฝนและหันมาถามชิงสุ่ยที่กำลังยืนมองเธออยู่
”อืมใช้ได้เลยทีเดียว”ชิงสุ่ยยิ้มตอบ
”ใช้ได้เลยทีเดียวหมายความว่าอย่างไรยังจะมีคนที่รำเพลงกระบี่ได้งดงามกว่าข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”เฉินเจินยิ้ม
ชิงสุ่ยได้แต่ยิ้มในใจของเขาบอกได้ทันทีว่ามีน้อยคนนักที่จะรำกระบี่ได้งดงามเช่นเดียวกับเธอ แต่คนที่มีทักษะการรำกระบี่งดงามกว่าในใจของชิงสุ่ยนั้นมีอยู่เพียง 1 คน และเป็นคนที่เขาเคยคุ้นเคย หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่าเทพธิดารำกระบี่แห่งตระกูลกงซุน
แต่ช่างน่าเสียดายที่การจากลาได้มาถึงทั้งสองคนบางคนถูกกำหนดให้เป็นเพียงแค่ผู้เดินทางผ่าน และหายจากโดยไร้ร่องรอย
”ดูเจ้าจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองเอามากๆเลยสินะ”ชิงสุ่ยยิ้มให้กับหญิงสาวแสนสวยที่กำลังกล่าววาจาด้วยท่าทางมันใจ
”ว่าแต่โฉมงามที่มากับเจ้าครั้งสุดท้ายนางช่างงดงามจริงๆ”เฉินเจินยิ้ม
การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบฉับพลันทำให้ชิงสุ่ยถึงกับงุนงง
”เจ้าเองก็งดงามเช่นกัน”ชิงสุ่ยกล่าวชื่นชม
”หากเปรียบเทียบกับนางล่ะ?”
ชิงสุ่ยได้แต่คิดในใจเขารู้ว่าคนที่เธอกำลังกล่าวถึงคือมูหยุนชิงเก้อ “หรือว่านี่จะเป็นธรรมชาติของผู้หญิง? ใครๆก็ชอบเปรียบเทียบความงามของกันและกัน?” ”เจ้าคงไม่มีทางได้รับคำตอบจากปากของข้าแน่แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรละ?”
”คำตอบง่ายๆผู้หญิงสาวข้างกายของเจ้าคนนั้นมีรูปโฉมงดงามมากที่สุดเกินกว่าผู้ใด มิฉะนั้นเจ้าก็คงไม่เลือกนาง ผู้ชายก็ยังคงเป็นผู้ชายวันยังค่ำ ทุกคนที่ข้าเคยเจอล้วนชอบหญิงสาวโดยมีปัจจัยเป็นรูปร่างหน้าตาเป็นอันดับแรกเสมอ”
”ทุกคนย่อมรักความงามด้วยกันทั้งสิ้นแม้กระทั่งตัวของเจ้าเองก็ชอบเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตา มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเรา จะหวังว่าตัวเองนั่นไร้เสน่หา เพราะทุกคนต่างต้องการความรักจากผู้อื่น”ชิงสุ่ยกล่าวคำพูดที่มีความหมายซับซ้อน
เฉินเจินได้แต่ส่ายหน้า”ช่างมันเถอะ อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ว่าแต่ตอนที่เจ้ากำลังดูข้าแสดงท่วงท่าร่ายรำกระบี่ จากคำพูดของเจ้าดูเหมือนการร่ายรำกระบี่ของข้ายังมีข้อผิดพลาดใช่หรือไม่?”
”ก็ไม่นะเพียงแต่ถ้าหากเจ้าได้เห็นท่วงท่าการร่ายรำของผู้อื่น เจ้าอาจจะเข้าใจว่าทำไม”ชิงสุ่ยยื่นมือออกไป
เฉินเจินจึงทำการส่งมอบกระบี่เหล็กยาว3 ฟุตให้กับชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยที่ฝึกฝนทักษะเพลงกระบี่ไทเก็กค่อยๆแสดงท่าทางที่นุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง อย่างช้าๆ ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพที่รู้สึกแปลกแต่ก็ดึงดูดสายตา
เฉินเจินมองเห็นท่วงท่าการร่ายรำของชิงสุ่ยอย่างชัดเจนทักษะเพลงกระบี่ที่ชิงสุ่ยฝึกฝนไม่ได้ด้อยไปกว่าท่วงท่าของเธอเลย และที่สำคัญดูเหมือนความเข้าใจในทักษะกระบี่ของชิงสุ่ยจะอยู่เหนือกว่าเธอมากมาย เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าคนที่ใช้อาวุธหลักเป็นง้าวทองคำ ทำไมถึงมีความรู้ความสามารถในการร่ายรำกระบี่มากมายเช่นนี้ได้
หลังจากนั้นอีกไม่นานนักชิงสุ่ยก็ร่ายรำกระบี่จะเสร็จสิ้น เขาหันไปจ้องมองเฉินเจินและกล่าวว่า “มันเป็นอย่างไรบ้าง”
”ยอดเยี่ยมมาก!!”เฉินเจินตอบกลับด้วยความชื่นชม
ชิงสุ่ยจึงค่อยๆคืนกระบี่ให้กับเธอ
เฉินเจินจึงถามกลับไปว่า”เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าทำไมทุกท่วงท่าของเจ้ามันถึงได้แม่นยำมากมายขนาดนี้?”
เฉินเจินพอจะเข้าใจในสิ่งที่ชิงสุ่ยแสดงบางทีการแสดงให้เห็นอาจดีกว่าคำพูด