AST
บทที่1861 – ข้าจะไว้ใจใครได้อีก หญิงสาวผู้สูญเสีย
วันเวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างเชื่องช้าตัวของชิงสุ่ยเชื่อว่าต่อให้นิกายสวรรค์ดาราอมตะจะทรงพลัง แต่ถ้าหากต้องการจะจัดการกับชิงสุ่ย พวกของนิกายสวรรค์ดาราอมตะยังคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียก่อน
ฉะนั้นปัจจุบันชิงสุ่ยจึงยังคงสามารถรักษาท่าทีสงบเอาไว้ได้ในวันนั้นเขาเองก็ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเหนือผู้คน เขาจึงมั่นใจอีกว่าเหลียนเฉินหยางจะต้องอธิบายความแข็งแกร่งของเขาให้ผู้คนนิกายสวรรค์ดาราอมตะรับรู้
แต่อย่างไรก็ตามเฉินเจินก็เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ นิกายใหญ่ๆหรือขุมกำลังใหญ่ๆมักจะรักษาใบหน้าของตนเสมอ หากพวกเขาปล่อยให้คนภายนอกรับรู้ว่าคนรุ่นเยาว์สามารถทำลายพิธีงานแต่งงานของตระกูลเหลียนเฉินได้ พวกเขาจะต้องสูญเสียหน้าตาทางสังคมอย่างหนัก และด้วยเหตุผลนี้นิกายสวรรค์ดาราอมตะจะไม่มีทางปล่อยชิงสุ่ยไป
แม้ว่าชิงสุ่ยจะไตร่ตรองเหตุผลต่างๆเขาก็ยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้ เฉินเจินดูเหมือนจะสงบกว่าชิงสุ่ยเสียอีก เธอไม่ได้กังวลอะไรเลยจึงทำให้ชิงสุ่ยถึงจะชื่นชมความมุ่งมั่นของเธอ
”ชิงสุ่ยข้ารู้สึกว่าพวกนิกายสวรรค์ดาราอมตะจะมาในวันนี้”เฉินเจินกล่าวกับชิงสุ่ยหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมในตอนเช้า
ชิงสุ่ยถอนหมัดและกลับมายืนอยู่ในท่าตรงก่อนจะยิ้มและกล่าวถามว่า “เจ้ากลัวหรือไม่?”
”ไม่เลยแต่ช่างน่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน ถ้าหากข้าแข็งแกร่ง ข้าก็คงไม่ถูกรังแกอย่างง่ายดายเช่นนี้”เฉินเจินเผยให้เห็นรอยยิ้มหน้าขมขื่น ”อย่างไรก็ตามเจ้าเองก็แข็งแกร่ง คนเราที่คิดว่าแข็งแกร่งแล้วย่อมมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ ณ จุดๆหนึ่ง ทุกคนต้องเคยถูกรังแกมาก่อน มนุษย์เราก็เหมือนห่วงโซ่วัฏจักร ผู้ที่อยู่เหนือย่อมกลืนกินผู้ที่อ่อนแอ เพียงแค่เราไม่ยอมแพ้ สักวันหนึ่งเราจะกลายเป็นผู้ที่ยืนเหนือกว่า”ชิงสุ่ยย้ำเตือนเรื่องราวที่ผ่านมา
”อืมข้าสามารถบอกได้เลยว่าเจ้าเป็นคนที่มีความคิดที่ดี ไม่มีใครบนโลกนี้ยืนหยัดอยู่ได้ตลอดกาล อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เลือกที่จะแก้ไข โดยการอยู่ในสถานที่ที่ตัวเองเป็นใหญ่ มันคงมากพอแล้วสำหรับการใช้ชีวิตของคนคนหนึ่ง”เฉินเจินพยักหน้าเหมือนกับเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง
”ในอนาคตเจ้าจะต้องแข็งแกร่งไปถึงระดับนั้น”ชิงสุ่ยจำได้ว่าเธอก็เป็นผู้สืบทอดมรดกเทพธิดาสวรรค์ และยังมีม้าอสูรจันทราสวรรค์คอยดูแล ด้วยสิ่งต่างๆมันจะเป็นตัวพัฒนาเธอไปจนกระทั่งเธอก้าวขึ้นสู่หนึ่งในสุดยอดผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ”มันคงจะดีมากถ้าหากพวกเราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่กำลังจะเผชิญได้ทางที่ดีเราอย่าคิดเรื่องอื่นอีกเลย”
”เออจริงสิจะรู้ระดับความแข็งแกร่งพ่อของเจ้าหรือไม่?”ชิงสุ่ยยังคงกล่าวถามต่อ
”ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักพ่อของข้าก็ไม่เคยเปิดเผยความแข็งแรงที่แท้จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจ คือผู้คนภายในตระกูลของข้าบอกว่าพ่อของข้านั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่เหล่าระดับบรรพบุรุษก็ไม่อาจเทียบเคียงดาย”เฉินเจินกล่าวหลังจากคบคิดชั่วครู่นึง
ชิงสุ่ยเคยแลกเปลี่ยนเพลงหมัดกับเฉินหยวนหลงมาแล้วครั้งหนึ่งถึงแม้มันจะเป็นการแลกเปลี่ยนวรยุทธแบบง่ายๆ แต่เขาก็รู้สึกได้เลยว่าฝั่งตรงข้ามยังไม่ได้เอาจริง รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยพลังงานที่กลมกลืนกระจายไปทั่วร่างกาย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพลังติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มันไม่ได้มีความโหดร้ายป่าเถื่อนหรือปั่นป่วนไปๆ แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสายธารที่ไหลไปยังไม่มีวันหยุด ”มีอะไรผิดแปลกรึ?”เฉินเจินกล่าวถามด้วยความสงสัย
”เอ่อข้าแค่รู้สึกว่าพ่อของเจ้านั้นทรงพลังมากก็เท่านั้น”ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ หากจะบอกว่าเขาไม่คิดอะไรมันก็คงจะดูแปลกเกินไป ดังนั้นเขาจึงหาข้อแก้ตัวเพื่อทำให้เธอเชื่อมั่นในตัวเขา
”ข้าเป็นเช่นนั้นจริงๆเหรอ?แล้วทำไมตอนนั้นพ่อข้าถึงไม่เอาชนะเจ้าเลยล่ะ ไหนจะบอกว่าพ่อข้าแข็งแกร่งมาก?”เฉินเจินยิ้มขณธกล่าวถาม
”พ่อของเจ้าอาจจะยังไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมด”
เฉินเจินถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ประโยชน์ว่า”เห้อ แต่ก่อนพ่อของข้าคือคนที่ตามใจค่ามากที่สุด ถ้ามันเป็นเช่นนั้น? เขาก็คงพร้อมที่จะพาข้ากับบ้านแล้ว”
ชิงสุ่ยเข้าใจในความหมายเธอกำลังรู้สึกเหมือนสูญเสียคนที่เธอรู้จักมากที่สุดไป มันคือความรักที่พ่อของเธอเคยมีให้กับเธอ แต่ตอนนี้มันกลับเหมือนกำลังจางหาย
”ทุกคนต้องเติบโตวันหนึ่งเราจะต้องจากพ่อแม่ไปเพื่อเริ่มต้นครอบครัวของตัวเอง ในอนาคตลูกหลานก็จะจากเราไป การที่เราเคยรู้สึกเช่นนั้นมันก็ดีแล้ว มนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ผู้คนเป็นเพียงแค่เส้นทางสัญจร บางคนอยู่กับเราไปเนินนาน ในขณะที่บางคนอยู่กับเราเพียงแค่ช่วงสั้นๆ”
เฉินเจินพยายามไต่ตรองปรัชญาที่ชิงสุ่ยกล่าวเธอเองไม่เคยคิดเรื่องที่ดูกว้างไกลขนาดนี้ และการยอมรับก็เป็นเรื่องยากมาก
สุดท้ายผู้คนก็จะต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวยิ่งขวนขวายมากเท่าไหร่ จิตใจก็ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียที่หนักอึ้งมากขึ้น
”ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นคนที่น่าสงสารยิ่งนักเมื่อคิดว่าจะไม่เหลือใครแล้ว ข้าก็คงต้องไว้ใจในตนเองเท่านั้น”เฉินเจินเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนขมขื่น
ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอจะต้องผ่านอุปสรรคในครั้งนี้ไปได้หากเรื่องทุกอย่างจบลง ชีวิตและความคิดของเธอจะต้องเปลี่ยนไป คนเราจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรค ในขณะที่บางคนก็เลือกที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามวัฏจักร
”หนทางที่เจ้ากำลังเจอถือเป็นขุมทรัพย์จงกล้าหาญและเผชิญหน้ากับมัน เมื่อเจ้าผ่านมันไปได้ เจ้าจะได้เจอกับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่มหาศาล นอกจากนี้เจ้ายังได้เรียนรู้ในการศรัทธาผู้อื่น หรือว่าเจ้าจะไม่เชื่อในตัวข้า?”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยความจริงใจ
”ไม่ไม่ใช่เลย เพียงแต่พ่อของข้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าจะไว้ใจใครได้อีก?”เฉินเจินค่อยๆฟื้นคืนความสงบ
”ที่เจ้าว่ามันก็ถูกตอนนี้เจ้าอาจจะไม่ไว้ใจใครเลย แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรเว้นช่องว่างลึกๆในใจของเจ้าเอาไว้ หากมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น จิตใจของเจ้าจะได้ไม่พังทลาย”
”ทันใดนั้นข้าก็เริ่มสงสัยแล้วว่าจุดประสงค์การมีชีวิตอยู่ของข้ามันคืออะไร แม้แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้….. ในอดีตเคยหวังว่าตระกูลของข้าจะแข็งแกร่ง เพื่อที่ข้าจะได้อยู่กับพ่อกับแม่ และได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขไปตลอดกาล…..”
บทที่1861 – ข้าจะไว้ใจใครได้อีก หญิงสาวผู้สูญเสีย
วันเวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างเชื่องช้าตัวของชิงสุ่ยเชื่อว่าต่อให้นิกายสวรรค์ดาราอมตะจะทรงพลัง แต่ถ้าหากต้องการจะจัดการกับชิงสุ่ย พวกของนิกายสวรรค์ดาราอมตะยังคงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียก่อน
ฉะนั้นปัจจุบันชิงสุ่ยจึงยังคงสามารถรักษาท่าทีสงบเอาไว้ได้ในวันนั้นเขาเองก็ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งเหนือผู้คน เขาจึงมั่นใจอีกว่าเหลียนเฉินหยางจะต้องอธิบายความแข็งแกร่งของเขาให้ผู้คนนิกายสวรรค์ดาราอมตะรับรู้
แต่อย่างไรก็ตามเฉินเจินก็เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ นิกายใหญ่ๆหรือขุมกำลังใหญ่ๆมักจะรักษาใบหน้าของตนเสมอ หากพวกเขาปล่อยให้คนภายนอกรับรู้ว่าคนรุ่นเยาว์สามารถทำลายพิธีงานแต่งงานของตระกูลเหลียนเฉินได้ พวกเขาจะต้องสูญเสียหน้าตาทางสังคมอย่างหนัก และด้วยเหตุผลนี้นิกายสวรรค์ดาราอมตะจะไม่มีทางปล่อยชิงสุ่ยไป
แม้ว่าชิงสุ่ยจะไตร่ตรองเหตุผลต่างๆเขาก็ยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้ เฉินเจินดูเหมือนจะสงบกว่าชิงสุ่ยเสียอีก เธอไม่ได้กังวลอะไรเลยจึงทำให้ชิงสุ่ยถึงจะชื่นชมความมุ่งมั่นของเธอ
”ชิงสุ่ยข้ารู้สึกว่าพวกนิกายสวรรค์ดาราอมตะจะมาในวันนี้”เฉินเจินกล่าวกับชิงสุ่ยหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกซ้อมในตอนเช้า
ชิงสุ่ยถอนหมัดและกลับมายืนอยู่ในท่าตรงก่อนจะยิ้มและกล่าวถามว่า “เจ้ากลัวหรือไม่?”
”ไม่เลยแต่ช่างน่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน ถ้าหากข้าแข็งแกร่ง ข้าก็คงไม่ถูกรังแกอย่างง่ายดายเช่นนี้”เฉินเจินเผยให้เห็นรอยยิ้มหน้าขมขื่น ”อย่างไรก็ตามเจ้าเองก็แข็งแกร่ง คนเราที่คิดว่าแข็งแกร่งแล้วย่อมมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ ณ จุดๆหนึ่ง ทุกคนต้องเคยถูกรังแกมาก่อน มนุษย์เราก็เหมือนห่วงโซ่วัฏจักร ผู้ที่อยู่เหนือย่อมกลืนกินผู้ที่อ่อนแอ เพียงแค่เราไม่ยอมแพ้ สักวันหนึ่งเราจะกลายเป็นผู้ที่ยืนเหนือกว่า”ชิงสุ่ยย้ำเตือนเรื่องราวที่ผ่านมา
”อืมข้าสามารถบอกได้เลยว่าเจ้าเป็นคนที่มีความคิดที่ดี ไม่มีใครบนโลกนี้ยืนหยัดอยู่ได้ตลอดกาล อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เลือกที่จะแก้ไข โดยการอยู่ในสถานที่ที่ตัวเองเป็นใหญ่ มันคงมากพอแล้วสำหรับการใช้ชีวิตของคนคนหนึ่ง”เฉินเจินพยักหน้าเหมือนกับเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง
”ในอนาคตเจ้าจะต้องแข็งแกร่งไปถึงระดับนั้น”ชิงสุ่ยจำได้ว่าเธอก็เป็นผู้สืบทอดมรดกเทพธิดาสวรรค์ และยังมีม้าอสูรจันทราสวรรค์คอยดูแล ด้วยสิ่งต่างๆมันจะเป็นตัวพัฒนาเธอไปจนกระทั่งเธอก้าวขึ้นสู่หนึ่งในสุดยอดผู้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน ”มันคงจะดีมากถ้าหากพวกเราสามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่กำลังจะเผชิญได้ทางที่ดีเราอย่าคิดเรื่องอื่นอีกเลย”
”เออจริงสิจะรู้ระดับความแข็งแกร่งพ่อของเจ้าหรือไม่?”ชิงสุ่ยยังคงกล่าวถามต่อ
”ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักพ่อของข้าก็ไม่เคยเปิดเผยความแข็งแรงที่แท้จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจ คือผู้คนภายในตระกูลของข้าบอกว่าพ่อของข้านั้นแข็งแกร่งมาก แม้แต่เหล่าระดับบรรพบุรุษก็ไม่อาจเทียบเคียงดาย”เฉินเจินกล่าวหลังจากคบคิดชั่วครู่นึง
ชิงสุ่ยเคยแลกเปลี่ยนเพลงหมัดกับเฉินหยวนหลงมาแล้วครั้งหนึ่งถึงแม้มันจะเป็นการแลกเปลี่ยนวรยุทธแบบง่ายๆ แต่เขาก็รู้สึกได้เลยว่าฝั่งตรงข้ามยังไม่ได้เอาจริง รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยพลังงานที่กลมกลืนกระจายไปทั่วร่างกาย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นพลังติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มันไม่ได้มีความโหดร้ายป่าเถื่อนหรือปั่นป่วนไปๆ แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสายธารที่ไหลไปยังไม่มีวันหยุด ”มีอะไรผิดแปลกรึ?”เฉินเจินกล่าวถามด้วยความสงสัย
”เอ่อข้าแค่รู้สึกว่าพ่อของเจ้านั้นทรงพลังมากก็เท่านั้น”ชิงสุ่ยยิ้มพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ หากจะบอกว่าเขาไม่คิดอะไรมันก็คงจะดูแปลกเกินไป ดังนั้นเขาจึงหาข้อแก้ตัวเพื่อทำให้เธอเชื่อมั่นในตัวเขา
”ข้าเป็นเช่นนั้นจริงๆเหรอ?แล้วทำไมตอนนั้นพ่อข้าถึงไม่เอาชนะเจ้าเลยล่ะ ไหนจะบอกว่าพ่อข้าแข็งแกร่งมาก?”เฉินเจินยิ้มขณธกล่าวถาม
”พ่อของเจ้าอาจจะยังไม่ได้ใช้พละกำลังทั้งหมด”
เฉินเจินถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ประโยชน์ว่า”เห้อ แต่ก่อนพ่อของข้าคือคนที่ตามใจค่ามากที่สุด ถ้ามันเป็นเช่นนั้น? เขาก็คงพร้อมที่จะพาข้ากับบ้านแล้ว”
ชิงสุ่ยเข้าใจในความหมายเธอกำลังรู้สึกเหมือนสูญเสียคนที่เธอรู้จักมากที่สุดไป มันคือความรักที่พ่อของเธอเคยมีให้กับเธอ แต่ตอนนี้มันกลับเหมือนกำลังจางหาย
”ทุกคนต้องเติบโตวันหนึ่งเราจะต้องจากพ่อแม่ไปเพื่อเริ่มต้นครอบครัวของตัวเอง ในอนาคตลูกหลานก็จะจากเราไป การที่เราเคยรู้สึกเช่นนั้นมันก็ดีแล้ว มนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ผู้คนเป็นเพียงแค่เส้นทางสัญจร บางคนอยู่กับเราไปเนินนาน ในขณะที่บางคนอยู่กับเราเพียงแค่ช่วงสั้นๆ”
เฉินเจินพยายามไต่ตรองปรัชญาที่ชิงสุ่ยกล่าวเธอเองไม่เคยคิดเรื่องที่ดูกว้างไกลขนาดนี้ และการยอมรับก็เป็นเรื่องยากมาก
สุดท้ายผู้คนก็จะต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวยิ่งขวนขวายมากเท่าไหร่ จิตใจก็ต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียที่หนักอึ้งมากขึ้น
”ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นคนที่น่าสงสารยิ่งนักเมื่อคิดว่าจะไม่เหลือใครแล้ว ข้าก็คงต้องไว้ใจในตนเองเท่านั้น”เฉินเจินเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนขมขื่น
ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอจะต้องผ่านอุปสรรคในครั้งนี้ไปได้หากเรื่องทุกอย่างจบลง ชีวิตและความคิดของเธอจะต้องเปลี่ยนไป คนเราจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรค ในขณะที่บางคนก็เลือกที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามวัฏจักร
”หนทางที่เจ้ากำลังเจอถือเป็นขุมทรัพย์จงกล้าหาญและเผชิญหน้ากับมัน เมื่อเจ้าผ่านมันไปได้ เจ้าจะได้เจอกับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่มหาศาล นอกจากนี้เจ้ายังได้เรียนรู้ในการศรัทธาผู้อื่น หรือว่าเจ้าจะไม่เชื่อในตัวข้า?”ชิงสุ่ยกล่าวถามด้วยความจริงใจ
”ไม่ไม่ใช่เลย เพียงแต่พ่อของข้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าจะไว้ใจใครได้อีก?”เฉินเจินค่อยๆฟื้นคืนความสงบ
”ที่เจ้าว่ามันก็ถูกตอนนี้เจ้าอาจจะไม่ไว้ใจใครเลย แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรเว้นช่องว่างลึกๆในใจของเจ้าเอาไว้ หากมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น จิตใจของเจ้าจะได้ไม่พังทลาย”
”ทันใดนั้นข้าก็เริ่มสงสัยแล้วว่าจุดประสงค์การมีชีวิตอยู่ของข้ามันคืออะไร แม้แต่ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้….. ในอดีตเคยหวังว่าตระกูลของข้าจะแข็งแกร่ง เพื่อที่ข้าจะได้อยู่กับพ่อกับแม่ และได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขไปตลอดกาล…..”