AST
บทที่1866 – ความเปลี่ยนแปลง มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์
ชิงสุ่ยหอมแก้มเธอเบาๆก่อนจะปล่อยจะออกจากอ้อมแขน
ถานท่ายหลิงเยียนได้แต่ตกตะลึงซึ่งเธอก็ไม่ได้ต่อต้านเพียงแค่แสดงอาการตื่นตระหนกพร้อมกับความสับสนในอารมณ์
ชิงสุ่ยยิ้มให้กับถานท่ายหลิงเยียนก่อนจะเดินตรงไปหาอีเย่เจี้ยนเก้อที่กำลังอุ้มชิงซิ่วผู้ซึ่งกำลังรอคอยชิงสุ่ย
หลังจากอบกอดอีเย่เจี้ยนเก้อชิงสุ่ยก็ค่อยๆออกก่อนทักทายหลัวชิงเฉิง ชิงห่านอี้ มูหยุนชิงเก้อและฉินชิงตามลำดับ
การกลับมาของชิงสุ่ยยังคงเป็นที่น่าแปลกใจเพราะชายผู้นี้มักจะไม่อยู่บ้านโดยการออกไปจากบ้านแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะกินเวลานานหลายปี
”พวกเจ้าทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง?”ชิงสุ่ยถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงขณะที่ในมือของเขายังคงอุ้มชิงซิ่วตัวน้อยด้วยความรัก
”พวกเราทุกคนสุขสบายดีอย่างไรก็ตามจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ก็เพิ่งเปลี่ยนแปลงคู่ครองจักรวรรดิองค์ใหม่”ฉินชิงกล่าวตอบ
”หืม?จักรวรรดิหิมะนิรันดร์เปลี่ยนผู้นำ? มันเกิดอะไรขึ้น?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
ชิงสุ่ยไม่ได้มีความกังวลเลยว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำจักรวรรดิหิมะนิรันดร์แต่คงเป็นเพราะเมืองหลินห่ายเป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 2 ของจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ นอกจากนี้ยังมีตระกูลเหลียนและหอคอยจักรพรรดิที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิหิมะนิรันดร์ ถ้าหากจักรวรรดิหิมะนิรันดร์เปลี่ยนผู้นำ ทั้งตระกูลเหลียนและหอคอยจักรพรรดิย่อมต้องได้รับผลกระทบ
”ตอนนี้มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ได้เข้ามาแทนที่ตระกูลราชวงศ์ของจักรวรรดิหิมะนิรันดร์”ฉินชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจนัก
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์?ดูเหมือนพวกมันคงทรงพลังไม่แพ้กัน ถึงสามารถล้มจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ได้”ชิงสุ่ยรู้ดีว่ามหาจักรวรรดิย่อมมีขนาดใหญ่กว่าจักรวรรดิทั่วไป และกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ามหาจักรวรรดิก็ยังแข็งแกร่งกว่านิยายอมตะระดับทั่วไป เพราะมหาจักรวรรดิเกิดจากจักรวรรดิที่แข็งแกร่งจำนวนมากรวมตัวกัน
”แล้วจักรวรรดิฉินล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?”ชิงสุ่ยสอบถามเพราะเห็นสีหน้าการแสดงออกที่น่าเป็นห่วงของฉินชิง
”ตระกูลฉินเองก็ถอนตัวแล้วเช่นกัน”ฉินชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างมาก
”ครอบครัวของเจ้ายังสบายดีหรือไม่?”ชิงสุ่ยเริ่มกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์แทบจะไม่ฆ่าหรือสังหารใครทั้งสิ้นพวกเขาบอกกับตัวเองว่าพวกเขาสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้คนได้โดยอาศัยคุณธรรม และใช้พลังอันท่วมท้นในการกดดันคุกคาม หรือมันก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้พลังกดดันคนอื่น เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ลงมือสังหารใครทั้งสิ้น”ภายใต้คำพูดที่ดูโศกเศร้ายังโชคดีที่ทุกคนยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่โดนสังหารเพื่อแย่งชิงซึ่งก็ถือว่าโชคดีมาก
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าผู้คนของตนเองยังคงปลอดภัย
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ฟังดูน่าสนใจเลยทีเดียว”ชิงสุ่ยนึกย้อนกลับไปในโลกใบก่อน ในตอนนั้นผู้ที่ถูกเรียกตัวเองว่าราชันย์นักปราชญ์ก็คือขงจื้อ แน่นอนว่าคนที่จะอ้างตัวเองได้จะต้องเป็นคนที่มีความรู้และภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ หากนับตัวตนบนโลกใบนี้ก็คงจะเป็นผู้ที่สามารถดึงเอาพลังธรรมชาติมาใช้เพื่อก้าวขึ้นสู่พลังแห่งสวรรค์ แน่นอนว่าในโลกไปก่อนมันเป็นเพียงแค่ตำนาน แต่สำหรับโลกใบใหม่มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์จะต้องเป็นตัวตนหรือกลุ่มคนที่ทรงอำนาจอย่างไม่ต้องโต้เถียง
”ในตอนนี้จักรวรรดิอีกมากกว่า 10 จักรวรรดิได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน”ฉินชิงกล่าวเสริมเพิ่มเติม
”ว่าแต่ตระกูลฉินและตระกูลราชวงศ์อื่นๆที่อยู่ภายใต้สังกัดจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ยังคงอยู่ในอำนาจหรือว่าถูกถอนอำนาจจะหมดแล้ว?”ชิงสุ่ยอยากรู้ว่ามหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์จัดการกับตระกูลเหล่านี้ด้วยวิธีใด
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ยังคงปล่อยให้ตระกูลต่างๆปกครองเฉกเช่นเดิมเพียงแต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าทุกคนจำเป็นจะต้องรับคำสั่งโดยตรงจากมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ หากใครไม่ปฏิบัติตาม กลุ่มคนกลุ่มนั้นจะถูกลบออกจากหน้าประวัติศาสตร์ด้วยน้ำมือของราชันย์องค์ใหม่ทันที”
”การกระทำของเขาก็ไม่ได้ดูแย่เท่าไหร่อย่างน้อยก็ยังคงได้อำนาจ ตราบเท่าที่ยังยึดตามหลักคุณธรรมแบบที่พวกมันว่า”
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์จะส่งคนมาทันทีที่ออกคำสั่งแม้จะบอกไปเช่นนั้น แต่พวกเราก็ไม่ต่างอะไรจากหุ่นกระบอกให้พวกมันเชิด ทางที่ดีพวกเราควรสละตำแหน่งให้พวกมันไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ? หากคำสั่งบางอย่างทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ ความโชคร้ายตกอยู่ที่พวกเราแค่คนเดียว”ฉินชิงกล่าวด้วยความขมขื่น
”จากที่เจ้าว่ามหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ก็คงไม่ได้ยิ่งใหญ่และใจกว้างเต็มทำอย่างที่คนอื่นคิดบรรดาลุงๆของเจ้าก็เลยตัดสินใจเช่นนี้สินะ”ชิงสุ่ยกล่าวถาม
”อืมพวกเขาทุกคนนับถือความคิดพ่อของข้าเป็นหลัก และด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พวกขุนนางอีกกลุ่มนึงในจักรวรรดิฉิน จึงได้โอกาสใฝ่ฝันที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของตระกูลฉิน”ฉินชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูโกรธเคือง
”ถ้าเช่นนั้นคงต้องดูกันว่ามหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์กับข้าเราจะหาทางออกที่ตกลงกันได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยสนใจเรื่องของมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์อย่างมาก
มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ถือว่าเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าจักรวรรดิและนิกายอมตะฉะนั้นการตอบโต้กับมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ก็เป็นการเปรียบเทียบพลัง เผื่อบางทีเขาอาจจะได้รู้ว่าระดับพลังของนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะนั้นอยู่ในระดับใด
”ชิงสุ่ยอย่าพยายามยั่วยุพวกมันเลย พวกมันแข็งแกร่งมาก กลุ่มคนของพวกมันเต็มไปด้วยผู้คนที่ทรงพลัง เราไม่ต่างอะไรจากมดให้ยักษ์เหยียบ มันไม่ใช่สิ่งที่คนนึงหรือสองคนจะยืนหยัดต่อสู้ได้”ฉินชิงเป็นกังวลในการตัดสินใจของชิงสุ่ย
”อย่าได้กังวลเกินไปเลยข้าไม่ใช่คนโง่ที่ทำอะไรโดยประมาท ข้ารู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว
อีเย่เจี้ยนเก้อยังคงนิ่งเงียบเธอรู้ว่าถ้าหากชายคนนี้ตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วก็จะไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้ แน่นอนว่าฉินชิงก็รู้เรื่องนี้ดี แต่เธอก็ไม่อาจระงับความกังวลที่อยู่ในใจได้ และรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมา
”เอ่อว่าแต่หอคอยจักรพรรดิของข้ายังอยู่ดีใช่หรือไม่?”ชิงสุ่ยหันหน้ากลับไปถามถานท่ายหลิงเยียน
”อืมหอคอยจักรพรรดิยังคงดำเนินกิจการไปอย่างราบรื่น ความจริงแล้วเมืองหลินห่ายแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคงจะเป็นเรื่องของตระกูลที่ปกครอง พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับชะตากรรมของตนเท่านั้น”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวตอบ
”นอกจากการยอมรับชะตากรรมอีกทางเลือกเดี๋ยวก็คงต้องท้าทายมัน แม้ว่าสิ่งที่เราเผชิญอาจจะเป็นสายน้ำที่ถาโถม แต่ถ้าหากเราฝ่าฟันมันไปได้เราจะยืนหยัดอยู่สูงกว่าเดิม”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างใจเย็น
ถานท่ายหลิงเยียนพยักหน้าแม้ว่ามันอาจจะเป็นวลีง่ายๆจากปากของชิงสุ่ย แต่มันก็คือความจริงที่มนุษย์ต้องเผชิญ เหมือนที่เธอได้เผชิญกับพลังสวรรค์แห่งเต๋า เธอจึงได้รับการเรียนรู้ในการควบคุมกระแสแห่งพลังและการอาศัยยืมพลังจากสวรรค์ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติของเธอไปอย่างมีนัยสำคัญ
กฎแห่งสวรรค์เป็นเหมือนความฝันของมนุษย์การที่มนุษย์จะท้าทายสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพียงแต่คนส่วนใหญ่ทำมันไม่ได้ ส่วนผู้ที่สัมผัสกับสวรรค์ได้จะได้รับพลังอันแข็งแกร่งภายในช่วงเวลาสั้นๆ และสามารถฝ่าฝืนกฎแห่งสวรรค์เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
”ข้าว่าทุกคนควรจะหยุดพูดคุยและเข้าไปข้างในก่อน”หลัวชิงเฉินกล่าวขัดจังหวะทุกคน
แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องเห็นด้วยและเดินเข้าไปในห้องโถงกลางซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนัก
บทที่1866 – ความเปลี่ยนแปลง มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์
ชิงสุ่ยหอมแก้มเธอเบาๆก่อนจะปล่อยจะออกจากอ้อมแขน
ถานท่ายหลิงเยียนได้แต่ตกตะลึงซึ่งเธอก็ไม่ได้ต่อต้านเพียงแค่แสดงอาการตื่นตระหนกพร้อมกับความสับสนในอารมณ์
ชิงสุ่ยยิ้มให้กับถานท่ายหลิงเยียนก่อนจะเดินตรงไปหาอีเย่เจี้ยนเก้อที่กำลังอุ้มชิงซิ่วผู้ซึ่งกำลังรอคอยชิงสุ่ย
หลังจากอบกอดอีเย่เจี้ยนเก้อชิงสุ่ยก็ค่อยๆออกก่อนทักทายหลัวชิงเฉิง ชิงห่านอี้ มูหยุนชิงเก้อและฉินชิงตามลำดับ
การกลับมาของชิงสุ่ยยังคงเป็นที่น่าแปลกใจเพราะชายผู้นี้มักจะไม่อยู่บ้านโดยการออกไปจากบ้านแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะกินเวลานานหลายปี
”พวกเจ้าทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง?”ชิงสุ่ยถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงขณะที่ในมือของเขายังคงอุ้มชิงซิ่วตัวน้อยด้วยความรัก
”พวกเราทุกคนสุขสบายดีอย่างไรก็ตามจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ก็เพิ่งเปลี่ยนแปลงคู่ครองจักรวรรดิองค์ใหม่”ฉินชิงกล่าวตอบ
”หืม?จักรวรรดิหิมะนิรันดร์เปลี่ยนผู้นำ? มันเกิดอะไรขึ้น?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสงสัย
ชิงสุ่ยไม่ได้มีความกังวลเลยว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำจักรวรรดิหิมะนิรันดร์แต่คงเป็นเพราะเมืองหลินห่ายเป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 2 ของจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ นอกจากนี้ยังมีตระกูลเหลียนและหอคอยจักรพรรดิที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิหิมะนิรันดร์ ถ้าหากจักรวรรดิหิมะนิรันดร์เปลี่ยนผู้นำ ทั้งตระกูลเหลียนและหอคอยจักรพรรดิย่อมต้องได้รับผลกระทบ
”ตอนนี้มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ได้เข้ามาแทนที่ตระกูลราชวงศ์ของจักรวรรดิหิมะนิรันดร์”ฉินชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่พอใจนัก
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์?ดูเหมือนพวกมันคงทรงพลังไม่แพ้กัน ถึงสามารถล้มจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ได้”ชิงสุ่ยรู้ดีว่ามหาจักรวรรดิย่อมมีขนาดใหญ่กว่าจักรวรรดิทั่วไป และกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ามหาจักรวรรดิก็ยังแข็งแกร่งกว่านิยายอมตะระดับทั่วไป เพราะมหาจักรวรรดิเกิดจากจักรวรรดิที่แข็งแกร่งจำนวนมากรวมตัวกัน
”แล้วจักรวรรดิฉินล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?”ชิงสุ่ยสอบถามเพราะเห็นสีหน้าการแสดงออกที่น่าเป็นห่วงของฉินชิง
”ตระกูลฉินเองก็ถอนตัวแล้วเช่นกัน”ฉินชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างมาก
”ครอบครัวของเจ้ายังสบายดีหรือไม่?”ชิงสุ่ยเริ่มกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์แทบจะไม่ฆ่าหรือสังหารใครทั้งสิ้นพวกเขาบอกกับตัวเองว่าพวกเขาสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้คนได้โดยอาศัยคุณธรรม และใช้พลังอันท่วมท้นในการกดดันคุกคาม หรือมันก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้พลังกดดันคนอื่น เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ลงมือสังหารใครทั้งสิ้น”ภายใต้คำพูดที่ดูโศกเศร้ายังโชคดีที่ทุกคนยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่โดนสังหารเพื่อแย่งชิงซึ่งก็ถือว่าโชคดีมาก
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าผู้คนของตนเองยังคงปลอดภัย
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ฟังดูน่าสนใจเลยทีเดียว”ชิงสุ่ยนึกย้อนกลับไปในโลกใบก่อน ในตอนนั้นผู้ที่ถูกเรียกตัวเองว่าราชันย์นักปราชญ์ก็คือขงจื้อ แน่นอนว่าคนที่จะอ้างตัวเองได้จะต้องเป็นคนที่มีความรู้และภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ หากนับตัวตนบนโลกใบนี้ก็คงจะเป็นผู้ที่สามารถดึงเอาพลังธรรมชาติมาใช้เพื่อก้าวขึ้นสู่พลังแห่งสวรรค์ แน่นอนว่าในโลกไปก่อนมันเป็นเพียงแค่ตำนาน แต่สำหรับโลกใบใหม่มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์จะต้องเป็นตัวตนหรือกลุ่มคนที่ทรงอำนาจอย่างไม่ต้องโต้เถียง
”ในตอนนี้จักรวรรดิอีกมากกว่า 10 จักรวรรดิได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน”ฉินชิงกล่าวเสริมเพิ่มเติม
”ว่าแต่ตระกูลฉินและตระกูลราชวงศ์อื่นๆที่อยู่ภายใต้สังกัดจักรวรรดิหิมะนิรันดร์ยังคงอยู่ในอำนาจหรือว่าถูกถอนอำนาจจะหมดแล้ว?”ชิงสุ่ยอยากรู้ว่ามหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์จัดการกับตระกูลเหล่านี้ด้วยวิธีใด
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ยังคงปล่อยให้ตระกูลต่างๆปกครองเฉกเช่นเดิมเพียงแต่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าทุกคนจำเป็นจะต้องรับคำสั่งโดยตรงจากมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ หากใครไม่ปฏิบัติตาม กลุ่มคนกลุ่มนั้นจะถูกลบออกจากหน้าประวัติศาสตร์ด้วยน้ำมือของราชันย์องค์ใหม่ทันที”
”การกระทำของเขาก็ไม่ได้ดูแย่เท่าไหร่อย่างน้อยก็ยังคงได้อำนาจ ตราบเท่าที่ยังยึดตามหลักคุณธรรมแบบที่พวกมันว่า”
”มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์จะส่งคนมาทันทีที่ออกคำสั่งแม้จะบอกไปเช่นนั้น แต่พวกเราก็ไม่ต่างอะไรจากหุ่นกระบอกให้พวกมันเชิด ทางที่ดีพวกเราควรสละตำแหน่งให้พวกมันไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ? หากคำสั่งบางอย่างทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ ความโชคร้ายตกอยู่ที่พวกเราแค่คนเดียว”ฉินชิงกล่าวด้วยความขมขื่น
”จากที่เจ้าว่ามหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ก็คงไม่ได้ยิ่งใหญ่และใจกว้างเต็มทำอย่างที่คนอื่นคิดบรรดาลุงๆของเจ้าก็เลยตัดสินใจเช่นนี้สินะ”ชิงสุ่ยกล่าวถาม
”อืมพวกเขาทุกคนนับถือความคิดพ่อของข้าเป็นหลัก และด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พวกขุนนางอีกกลุ่มนึงในจักรวรรดิฉิน จึงได้โอกาสใฝ่ฝันที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นไปของตระกูลฉิน”ฉินชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูโกรธเคือง
”ถ้าเช่นนั้นคงต้องดูกันว่ามหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์กับข้าเราจะหาทางออกที่ตกลงกันได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยสนใจเรื่องของมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์อย่างมาก
มหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ถือว่าเป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าจักรวรรดิและนิกายอมตะฉะนั้นการตอบโต้กับมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ก็เป็นการเปรียบเทียบพลัง เผื่อบางทีเขาอาจจะได้รู้ว่าระดับพลังของนิกาย 5 พยัคฆ์อมตะนั้นอยู่ในระดับใด
”ชิงสุ่ยอย่าพยายามยั่วยุพวกมันเลย พวกมันแข็งแกร่งมาก กลุ่มคนของพวกมันเต็มไปด้วยผู้คนที่ทรงพลัง เราไม่ต่างอะไรจากมดให้ยักษ์เหยียบ มันไม่ใช่สิ่งที่คนนึงหรือสองคนจะยืนหยัดต่อสู้ได้”ฉินชิงเป็นกังวลในการตัดสินใจของชิงสุ่ย
”อย่าได้กังวลเกินไปเลยข้าไม่ใช่คนโง่ที่ทำอะไรโดยประมาท ข้ารู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าว
อีเย่เจี้ยนเก้อยังคงนิ่งเงียบเธอรู้ว่าถ้าหากชายคนนี้ตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วก็จะไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้ แน่นอนว่าฉินชิงก็รู้เรื่องนี้ดี แต่เธอก็ไม่อาจระงับความกังวลที่อยู่ในใจได้ และรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมา
”เอ่อว่าแต่หอคอยจักรพรรดิของข้ายังอยู่ดีใช่หรือไม่?”ชิงสุ่ยหันหน้ากลับไปถามถานท่ายหลิงเยียน
”อืมหอคอยจักรพรรดิยังคงดำเนินกิจการไปอย่างราบรื่น ความจริงแล้วเมืองหลินห่ายแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคงจะเป็นเรื่องของตระกูลที่ปกครอง พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับชะตากรรมของตนเท่านั้น”ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวตอบ
”นอกจากการยอมรับชะตากรรมอีกทางเลือกเดี๋ยวก็คงต้องท้าทายมัน แม้ว่าสิ่งที่เราเผชิญอาจจะเป็นสายน้ำที่ถาโถม แต่ถ้าหากเราฝ่าฟันมันไปได้เราจะยืนหยัดอยู่สูงกว่าเดิม”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างใจเย็น
ถานท่ายหลิงเยียนพยักหน้าแม้ว่ามันอาจจะเป็นวลีง่ายๆจากปากของชิงสุ่ย แต่มันก็คือความจริงที่มนุษย์ต้องเผชิญ เหมือนที่เธอได้เผชิญกับพลังสวรรค์แห่งเต๋า เธอจึงได้รับการเรียนรู้ในการควบคุมกระแสแห่งพลังและการอาศัยยืมพลังจากสวรรค์ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติของเธอไปอย่างมีนัยสำคัญ
กฎแห่งสวรรค์เป็นเหมือนความฝันของมนุษย์การที่มนุษย์จะท้าทายสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพียงแต่คนส่วนใหญ่ทำมันไม่ได้ ส่วนผู้ที่สัมผัสกับสวรรค์ได้จะได้รับพลังอันแข็งแกร่งภายในช่วงเวลาสั้นๆ และสามารถฝ่าฝืนกฎแห่งสวรรค์เพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
”ข้าว่าทุกคนควรจะหยุดพูดคุยและเข้าไปข้างในก่อน”หลัวชิงเฉินกล่าวขัดจังหวะทุกคน
แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องเห็นด้วยและเดินเข้าไปในห้องโถงกลางซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลนัก