เด็กหนุ่มเหมือนจะลังเลสักครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจ แม้ว่าพวกเราจะเป็นขอทาน แต่พวกเราก็ไม่เคยสร้างภัยอันตรายให้กับผู้อื่น ถ้าหากเหตุผลที่ท่านต้องการช่วยพวกเราในวันนี้ก็เพื่อทำให้พวกเรากระทำในสิ่งที่ผิดจริยธรรม พวกเรายอมเป็นขอทานไปตลอดชีวิตเสียดีกว่า
คำตอบของเด็กหนุ่มสมบูรณ์แบบเกินความคาดหวัง ชิงสุ่ยจึงระเบิดเสียงหัวเราะและตอบกลับว่า ไม่ต้องกังวล ข้าขอรับรองได้ว่าข้าจะไม่มีวันสั่งให้พวกเจ้าทำเช่นนั้น
ตกลง พวกเราเชื่อท่าน เด็กหนุ่มมองไปรอบๆก่อนจะกล้าตอบ
องค์จักรพรรดิคลั่งและ คนอื่นๆต่างตกใจที่เห็นชิงสุ่ยพาขอทานกลับมาด้วยหลังจากออกไปไม่นาน ชิงสุ่ยก็ได้ส่งคนออกไปเพื่อซื้อเสื้อผ้า และบอกให้เหล่าเด็กที่เป็นขอทานอาบน้ำชำระล้างตัว
เมื่อทุกคนอาบน้ำเสร็จสับเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เด็กหนุ่มหน้าตาดี 10 กว่าคนก็มายืนเรียงรายต่อหน้าชิงสุ่ย ชิงสุ่ยไม่พูดอะไรมาก เขานำอาหารออกมาให้บรรดาเด็กน้อยได้ลิ้มลอง อาหารเหล่านี้คืออาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่เด็กๆเคยกินมาทั้งชีวิต
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ชิงสุ่ยก็บอกให้มันเด็กๆไปรวมตัวกันที่ลานกว้างหลังบ้าน ในตอนนี้ เด็กทุกคนเริ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าคนที่เขาตามมานั้น คือผู้ครอบครองหอคอยจักรพรรดิ หอคอยที่คอยรักษาคนอื่น อันที่จริงแล้ว ในหมู่เด็กก็มีอยู่ไม่น้อยเลยที่เคยเข้ารับบริการจากหอคอยจักรพรรดิช่วงที่ไม่คิดค่าใช้จ่าย
ข้าไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าแต่ก่อนเรียกชื่อกันว่าอย่างไร แต่หลังจากนี้ข้าจะมอบชื่อใหม่ให้กับพวกเจ้า ถ้าวันนึง พวกเจ้าพัฒนาระดับพลังจนแข็งแกร่งและอยากจะใช้ชื่อเดิม พวกเจ้าก็แค่กลับไปใช้ชื่อเดิม ชิงสุ่ยชี้นิ้วไปที่เด็กหนุ่มผู้ที่เปรียบเสมือนผู้นำกลุ่ม
เด็กหนุ่มยืนตัวตรง
ในอนาคต ชื่อของเจ้าคือชิงเอ้อร์์ พวกเราจะไม่เริ่มต้นจากชื่อชิงอี ส่วนคนอื่นๆก็เรียงตามชิงซาน ชิงซื่อ ชิงอู้ไปเรื่อยๆ ข้าให้เวลาพวกเจ้า 1 ก้านธูป ในการจัดเรียงและจดจำชื่อใหม่ ชิงสุ่ยบอกกล่าวกับเด็กหนุ่ม
รับทราบ
ชายหนุ่มเริ่มต้นเรียงลำดับรายชื่อ ตั้งแต่ชิงซานไปจนถึงชิงสื่ออู่ ส่วนเด็กที่มีไว้ประมาณ 3-4 ขวบ พวกเขาแยกตัวไปเล่นสนุ๊กอยู่กับลูกของชิงซี เหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
แม่นาคต พวกเราสองคนจะฝึกฝนให้กับเจ้า เจ้าสามารถเรียกเขาว่าอาจารย์ และผลการฝึกฝน ใครมีโอกาสพัฒนา จะได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ของข้า ชิงสุ่ยแนะนำองค์จักรพรรดิคลั่งขณะกล่าว องค์จักรพรรดิคลั่ง เข้าใจในสิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการจะทำ คนเหล่านี้ล้วนเป็นขอทาน แม้ว่าตอนฝึกฝนมันจะยากลำบาก แต่ถ้าหากผ่านการฝึกฝนไปได้มันก็จะเหมือนปาฏิหาริย์
พี่ใหญ่ ช่วง 3 วันแรกพวกเราจะฝึกฝนพวกเขาด้วยวิธีที่สบาย และเมื่อผ่านไป พวกเราจะค่อยๆเพิ่มพูนวิธีการฝึกฝนที่โหดร้าย ถ้าหากใครพัฒนาช้า มันก็ค่อนข้างแย่ แต่ถ้าใครพัฒนาได้ทัน ก็ถือว่าคนคนนั้นเกิดมาเพื่อเป็นอัจฉริยะ
เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจัดการได้อย่างแน่นอน องค์จักรพรรดิคลั่งยิ้มและพยักหน้า เขาพร้อมจะสนับสนุนทุกการตัดสินใจของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยเล่าให้บรรดาเด็กๆฟังว่าการฝึกฝนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหากพวกเขาต้องการจะจากไป ชิงสุ่ยก็พร้อมจะให้พวกเขาจากไปตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยก็มองเห็นความพากเพียรในสายตาเด็กๆ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในจุดต่ำสุดของสังคมมาโดยตลอด ชีวิตของพวกเขาจึงทนทุกข์ทรมานจนมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง เด็กเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้รวดเร็วกว่าเด็กปกติ พวกเขาไม่เคยกลัวความยากลำบาก
2-3 วันถัดมา องค์จักรพรรดิคลั่งก็ได้พาบรรดาเด็กๆ วิ่งขึ้นเขา ปีนเขา ว่ายน้ำ ทำทุกอย่างที่ต้องใช้ความพยายามเพื่อฝึกฝนกล้ามเนื้อ และเสริมสร้างความอดทน
ในระหว่างการฝึกฝน มีคนเป็นลมบางส่วน แต่ก็ไม่มีใครบ่น ชิงสุ่ยค่อนข้างพึงพอใจ นี่คือผลของความเพียรที่อยู่ในความต้องการของเขา
ชิงสุ่ยวางแผ่นไม้เอาไว้มากมาย รวมถึงหุ่นไม้ หุ้นไม้ที่ภายในเต็มไปด้วยก้อนเหล็ก ถึงภายนอกจะดูเป็นผลไม้แต่ความแข็งแกร่งของไม้ไม่ต่างอะไรจากเนื้อเหล็กและมีความเหมือนผิวหนังมนุษย์ ชิงสุ่ยเริ่มต้นสอนวิชาให้พวกเขาได้เรียนรู้เป็นครั้งแรก นั่นก็คือหมัดอสูรสันโดษและย่างก้าวบุปผา
ในขณะที่บรรดาเด็กน้อยฝึกฝนยังมุ่งมั่นและปรับสภาพร่างกายของตนเอง ชิงสุ่ยก็ได้ทำยาเพื่อพัฒนาร่างกายของเราเด็กน้อย รวมถึงยาชำระกระดูก และยาชำระล้าง เพื่อเร่งกระบวนการฝึกฝน
ชิงสุ่ยยังคงใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ด้วยความเป็นคนจู้จี้จุกจิกชอบความสมบูรณ์แบบ บวกกับความขยันของเราเด็กที่ใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า จะว่างก็เพียงแค่เวลานอนกับกินข้าว มันทำให้บรรดาเด็กน้อยพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด
……………
พี่ใหญ่ ถ้าหากท่านบังเอิญเจอคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ข้าคงต้องฝากให้ท่านพยายามโน้มน้าวเขามาเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา ตอนนี้พวกเรายังต้องการคนอีกมาก ชิงสุ่ยพูดคุยกับองค์จักรพรรดิคลั่ง
อืม ข้าเข้าใจแล้ว จริงด้วยข้าพึ่งจะจำได้ องค์ชายสิบสามบอกว่าเขาเองก็อยากจะมาที่นี่ด้วย องค์จักรพรรดิคลั่งกล่าว
ชิงสุ่ยแปลกใจ แล้วเรื่อวของมหาจักรวรรดิราชันย์นักปราชญ์? ที่นั่นไม่จำเป็นต้องมีคนดูแลแล้วอย่างนั้นหรือ?
จริงๆแล้วมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ไม่จำเป็นต้องมีคนมาดูแล มันขับเคลื่อนได้ด้วยกฎระเบียบของมันเอง นอกจากนี้ยังมีเราผู้นำและคนอื่นๆคอยดูแลอยู่เคียงข้าง ตราบใดที่องค์ชาย 13 ยังมุ่งเน้นอยู่กับการฝึกฝน มันก็จะไม่มีใครกล้ามาท้าทายเขา องค์จักรพรรดิคลั่งกล่าวกับชิงสุ่ย
ในเมื่อเขาจะมาที่นี่ มันก็คงจะดีถ้าหากเขาพาคนมาด้วย ชิงสุ่ยคิดเกี่ยวกับเหลียนหลิงเฟิง หยินตงและคนอื่นๆ
…………….
ชิงสุ่ยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาเลียนแบบสัตว์ 9 อสูร เพลงบัตรวานรและเพลงหมัดไทเก๊ก โดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เขาเชื่อเสมอว่าการฝึกฝนซ้ำๆจะยิ่งทำให้กระบวนท่าสมบูรณ์มากขึ้น เมื่อเขาฝึกฝนจนถึงระดับนึง เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงความผิดพลาดให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้
ชิงสุ่ยใช้ความรู้มากมายในการพัฒนาความแข็งแรงของสัตว์อสูร และครั้งนี้ เจ้าอสูรสยบมังกรก็เป็นสัตว์อสูรที่ได้รับการช่วยเหลือจากชิงสุ่ยมากเป็นพิเศษ
เจ้าอสูรสยบมังกรไม่ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ไปมาก ร่างกายของมันเหมือนทำขึ้นมาจากผิวโลหะ ทั้งสองสว่างและสะท้อนความรู้สึกเย็นเยือก ร่างกายของมันนิ่งสงบไม่มีแม้แต่แรงสั่นขณะที่มันวิ่ง
ผิวหนังทั่วทั้งร่างกายของมันดูปลา ฟันของมันแข็งแกร่งมากพอจะบดขยี้ศาสตราวุธสวรรค์ ยิ่งกว่านั้น เขายาว 2 ฟุตบนหัวของมันแหลมและหนาขึ้นเรื่อยๆ ชิงสุ่ยเคยทดสอบเขาแหลมและพบว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นจากเขาสามารถเจาะทะลวงผ่านปราการป้องกันของศัตรูได้โดยแทบจะไม่คิดพลังป้องกัน อย่างน้อยที่สุด ด้วยพลังความสามารถของชิงสุ่ยที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าอสูรสยบมังกร ก็ยังไม่สามารถหยุดการโจมตีของมันได้ เขาของมันกระทบสร้างบาดแผลให้กับชิงสุ่ยได้ง่ายดาย แต่โชคดีที่ร่างกายของชิงสุ่ยแข็งแกร่งจึงไม่เป็นอะไร