เมื่อปฏิเสธจวินหาวอย่างอ้อมๆแล้วหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนก็ขอตัว
“ท่านพี่จวิน สองสามีภรรยาคู่นี้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พี่ใหญ่เชื้อเชิญพวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะยังปฏิเสธ” ปิงซินไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“พวกเขามีสิทธิ์ เจ้าช่วยทนๆสามีภรรยาคู่นี้หน่อยได้หรือไม่?” จวินหาวพูด นี่ก็คือความสามารถ หากไม่แข็งแกร่งจะกล้าทำเช่นนี้หรือ อีกอย่างเป็นเรื่องจริงที่หลงหลิวหลีช่วยชีวิตเขาไว้
ไม่ได้แล้ว ทุกคนไม่มีใครกล้าออกความเห็นอะไร สามีภรรยาคู่นี้ร้ายกาจจริงๆ หากสู้กันก็คงสู้ไม่ได้
“น้องหญิง เจออะไรไหม?”
“เยอะเลยล่ะ เฮ้อ ท่านพี่ เรื่องด่วนตอนนี้ก็คือเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียร” หลิวหลีรู้สึกได้ถึงความสำคัญของพลัง อย่างน้อยๆก็ช่วยให้หลุดพ้นจากการถูกจับตามองได้ไม่ใช่หรือ
หลังจากนั้นสองสามีภรรยาก็เข้าฌานไปอย่างเรียบง่ายไร้ข้อสงสัย จนกระทั่งผ่านไปไม่รู้กี่ร้อยล้านปี มีเทพบรรลุขึ้นมาใหม่จากโลกเบื้องล่าง
“ศิษย์น้องผู้นี้ เจ้าบอกว่าเจ้ามาหาใครนะ?” รู้มาว่ามีสระบรรลุเทพล่องลอยอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่จู่ๆถามเรื่องนี้ พวกเขาก็เกือบจะลืมชื่อนี้ไปแล้ว
“พวกเรามาหาหลงหลิวหลี หากไม่ได้จริงๆ ขอพบหนานกงเวิ่นเทียนก็ได้เช่นกัน” คนพวกนั้นคือเอ๋าเลี่ย จื่อฉีและอิงเสวี่ยที่บรรลุมาจากโลกเบื้องล่าง
“เรื่องนี้พวกเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ศิษย์พี่หลงกับศิษย์พี่หนานกงเข้าฌานไปหลายปีแล้ว” ศิษย์ที่มาต้อนรับคาดเดาตัวตนของผู้มาใหม่ทั้งสาม พวกเขาเป็นอะไรกับศิษย์พี่หลงกัน อย่างไรเสียพวกเขาก็เคยได้ยินมาว่าศิษย์พี่หลงเป็นคนโหดเหี้ยมเพียงใด ที่สำคัญก็คือทั้งสามล้วนเป็นอสูรเทพ อสูรเทพมีความแตกต่างจากพวกเขาตรงบริเวณดวงตา เอ๋าเลี่ยมีดวงตาสีแดงก่ำ อิงเสวี่ยมีดวงตาสีฟ้าเหมันต์ จื่อฉีมีดวงตาสีม่วง ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่ศิษย์น้องหลงบรรลุเป็นเทพ กลุ่มที่บรรลุตามมานี้มีคุณสมบัติเป็นศิษย์ระดับพิเศษทั้งสิ้น
“เข้าฌานแล้ว” เอ๋าเลี่ยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ หลิวหลีเป็นคนเงียบขรึมขนาดนั้นหรือ ยิ่งคิดก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
“ท่านพี่เข้าฌานไปเงียบๆ คิดดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้” จื่อฉีแขวะ ทำให้ลูกศิษย์ที่มาต้อนรับตกใจ เขาเรียกหลิวหลีว่าท่านพี่ เป็นอะไรกับศิษย์พี่หลงกันแน่
“ข้าก็คิดเช่นนี้ รายงานตัวเสร็จแล้วไปหานางก็คงได้รู้ พูดไปแล้วข้าก็อายุปูนนี้ บรรลุเซียนแล้วยังต้องมาเข้าเรียนอีก” เอ๋าเลี่ยอดโมโหไม่ได้ คนอย่างเขาต้องเข้าเรียนด้วยหรือ โลกเทพแตกต่างออกไป คิดไม่ถึงว่าจะต้องร่ำเรียนด้วย
“ท่านพี่ พูดดีๆ” อิงเสวี่ยถลึงตาใส่เอ๋าเลี่ย พูดจาอะไร แปลกที่แปลกทาง ไม่ทำตัวเด่นไว้จะดีกว่า
ลูกศิษย์ที่มาต้อนรับไร้สีหน้าใดๆ คำพูดท่าทางเหมือนกับศิษย์พี่หลง บอกไม่รู้จักกันเขาไม่มีทางเชื่อ
“เอ๋าเลี่ย (เฟิ่งอิงเสวี่ย จื่อฉี) คารวะเจ้าสำนัก”
หมิงเยว่ไม่รู้จะพูดอะไร ทำไมถึงได้มีศิษย์ระดับพิเศษมามากมายขนาดนี้ ครั้งนี้มีมาถึงสามคน แล้วยังเป็นอสูรเทพทั้งหมด และเป็นศิษย์ระดับพิเศษกันทุกคน แถมยังมีความเป็นไปได้ที่จะได้กลายเป็นเทพ อีกทั้งเกี่ยวข้องกับนังหนูหลงหลิวหลีอีกด้วย
“พวกเจ้าล้วนเป็นศิษย์ระดับพิเศษ หวังว่าพวกเจ้าจะตั้งใจฝึกฝน” หมิงเยว่ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ จึงพูดสั้นๆ แล้วให้พวกเขาไปหาสถานที่ จำนวนคนที่มากขึ้นแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่ดุเดือด
ทั้งสามสบตากัน เจ้าสำนักนี้ออกจะกระวนกระวายไปหน่อย เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้ทำสีหน้าเช่นนี้ นังหนูคงไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกกระมัง
“นี่เด็กใหม่เหรอนี่ มากันถึงสามคนเชียว” เสียงของเซวียนหลิงดังเข้ามา
“อืม เจอผู้อาวุโสแล้วยังไม่ทำความเคารพอีก” เมื่อเห็นทั้งสามไม่สนใจ เซวียนหลิงจึงไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะหลงหลิวหลีเจ้าปีศาจโรคจิตนั่นจะกล้าทำเช่นนี้หรือ
“ข้ารู้จักเจ้าด้วยหรือ หลบไป” เอ๋าเลี่ยไม่เคยนิสัยดีอยู่แล้วจึงตะโกนกร้าว
“รนหาที่ตาย” เซวียนหลิงหรี่ตา ปมที่เกิดจากหลิวหลีทำจนถึงตอนนี้นางก็ยังก้าวผ่านมันไม่ได้ ตอนนี้มีชายตาแดงนี่มาอีก ความรู้สึกของนางแค่คิดก็น่าจะพอเดาออก
“กลัวเหลือเกิน” เอ๋าเลี่ยก็ไม่ยอมเช่นกัน
สีหน้าของอิงเสวี่ยกับจื่อฉีไม่สู้ดี ใครไปทำให้เจ้านี่กล้าเช่นนี้ จื่อฉีขยับเนตรกิเลน ดวงตาสีม่วงสองข้างเข้มขึ้น นอกจากท่านพี่ที่เขามองทะลุไม่ออก คนพวกนี้พวกเขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจจริงๆ
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าผู้ที่เป็นสหายกับหลิวหลีได้ล้วนมีจุดเหมือนกัน หลังจากที่หลิวหลีเอาชนะจวินหาวกับเหยียนซวี่ได้ ก็มีประเด็นเรื่องศิษย์ใหม่เอาชนะศิษย์เก่าเซวียนหลิงรู้สึกไม่ดีอย่างมาก พูดไม่ออกจริงๆ
“ตนเองฝึกฝนไม่ถึงขั้นก็อย่าออกมาทำตัวขายหน้านักเลย” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างดูถูก
“ท่านพี่ ท่านพูดผิดแล้ว บำเพ็ญเพียรมาตั้งหลายปีแต่พลังบำเพ็ญเพียรยังอยู่แค่ในขั้นนี้ เฮ้อ รู้สึกเสียใจกับวันเวลาที่เสียไปจริงๆ” เฟิ่งอิงเสวี่ยเสียดสีด้วยเช่นกัน
“ไม่ถูกนะ ด้วยนิสัยของคนผู้นี้ ทำไมถึงไม่ไปยั่วโมโหท่านพี่แล้วถูกนางลงโทษสักรอบนะ” จื่อฉีเอียงศีรษะพูดพลางแสร้งงุนงง
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ น้ำเสียงเกเรนี้ฟังแล้วคุ้นหูทีเดียว ท่านพี่ที่คนผู้นั้นพูดถึงคือใครกัน
หลิวหลีที่กำลังฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอยู่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจึงเปิดเปลือกตาออก ดูเหมือนจะมีสหายเดินทางมาจากแดนไกล
ทั้งสามคนเตรียมตัวเดินจากไปเพื่อไปตามหาหลิวหลีกลับถูกลมแรงพุ่งมาจนล้มลงไปอยู่ที่พื้น
“เด็กใหม่ อย่าได้ทำตัวอวดดีนัก พวกเจ้าไม่ใช่หลงหลิวหลี”
“น่ารังเกียจ มีผู้ทรงพลังมาอีกคนแล้ว” เอ๋าเลี่ยเช็ดมุมปาก คนในโลกเทพทักทายกันเช่นนี้หรืออย่างไร ไร้มารยาทเกินไปแล้ว
“หึ เจ้าหนู จะบอกอะไรให้อย่างหนึ่ง หากไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้นก็อย่าทำอะไรเกินตัว”
“ปัง!” มีเสียงปังดังขึ้น คนที่ทำตัวอวดดีอยู่เมื่อครู่ไม่รู้หายไปไหนแล้ว
“ข้าแค่ไปเข้าฌาน ทำไมมีคนไม่รู้จักสถานะตนเองหรือ”
“หลิวหลี (ท่านพี่)”
“มีสหายมาเยี่ยมเยียนจากแดนไกล ข้าจะมีหน้าเข้าฌานต่อได้อย่างไร” หลิวหลีพูดพลางยิ้ม เมื่อเห็นหลิวหลี ทุกคนก็เข้าใจทันที ที่แท้ก็เป็นสหายของหลงหลิวหลีผู้โหดเหี้ยมคนนั้นนี่เอง
“ข้าไม่พูดอะไรมาก สามคนนี้เป็นสหายของข้า ทุกคนทำตัวตามสบาย” แม้หลิวหลีจะพูดพร้อมรอยยิ้ม แต่ทุกคนก็พอจะจับกระแสข่มขู่ในน้ำเสียงได้
ทุกคนเข้าใจความหมายของหลิวหลีดี ส่วนผู้โชคร้ายเมื่อครู่นี้ ไม่มีใครสนใจ แต่หลิวหลีปรายตามอง กระตุ้นกระแสจิตตนเอง เมล็ดพันธุ์แห่งเทพในใจของผู้นั้นถูกหลิวหลีใช้กระแสจิตกำจัดออกไป นางเข้าข้างคนของนาง ใครจะทำไม
“ไปกันเถอะ ข้าเชิญพวกเข้าไปที่บ้านของข้า” หลิวหลีประคองอิงเสวี่ยให้ลุกขึ้น มีเรื่องอยากจะถามอยู่หลายเรื่องเลย
“คิดว่าต่อไปหากมีเด็กใหม่มาคงต้องถามก่อนว่ารู้จักกับหลงหลิวหลีไหม”
“นั่นสิ ใครจะไปรู้ว่านางมีญาติสนิทมิตรสหายกี่คน”
“สามคนเมื่อครู่เป็นอสูรเทพ ไม่รู้ว่าหลิวหลีจะมีสหายจากเผ่าอื่นอีกหรือเปล่า”
ตั้งแต่นี้ต่อไปหากมีเด็กใหม่ คนที่ไปต้อนรับคงต้องถามมากสักหน่อยว่ารู้จักหลงหลิวหลีหรือไม่ สุดท้ายก็พบความจริงอันน่าตกใจก็คือ ไม่มีใครไม่รู้จักหลงหลิวหลี ถึงขนาดเคยได้ยินเรื่องเล่าขานมากมายของหลิวหลี จึงได้รู้ว่าคนที่โหดเหี้ยมผู้นี้เป็นคนร้ายกาจมาตั้งแต่แรก จึงเกิดความเคารพยำเกรงต่อนาง โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเรื่องหลิวหลีบรรลุเซียนได้ตอนยังอายุไม่ถึงหมื่นปีก็ยิ่งเลื่อมใส นี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิหลายคนบอกเล่า คนใกล้ชิดของนางไม่มีทางพูดเรื่องพวกนี้เพราะไม่มีความจำเป็น สิ่งที่หลิวหลีชอบที่สุดก็คือใช้ความจริงตอกหน้า