ตอนที่ 346 ทำได้เพียงเป็นมิตร
เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น พวกเขาก็เก็บเกี่ยวกลับมาได้ไม่น้อยจึงเตรียมตัวกลับ และเป็นมือขาวนวลของหลิวหลีที่โบกสะบัด ทุกคนงุนงงและพบว่าตนได้กลับมาถึงสำนักแล้ว หลิวหลีเช็คนับป้ายชื่อประจำตัว ทุกคนบอกลานางและเดินจากไป ครั้งนี้พวกเขามีการเก็บเกี่ยวกลับมาได้ค่อนข้างมาก จำเป็นต้องเข้าฌานเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ไม่เพียงแต่ทำภารกิจสำเร็จ แต่จิตใจก็ได้รับการกระทบเทือนด้วย
หลิวหลีไม่ได้กลับไปยังที่พักชั่วคราวของตนกับหนานกงเวิ่นเทียน แต่กลับมาที่สถานที่แห่งหนึ่ง เงาดำตกใจเล็กน้อย
“ออกมาเถอะ ข้ารู้ว่าท่านอยู่ข้างหลังข้า” หลิวหลีเอาแขนไขว้หลังและพูดขึ้น ทำเอาเงาดำตกใจ เป็นไปได้อย่างไร พลังบำเพ็ญเพียรอยู๋ในขอบเขตแม่ทัพเทพ เท่านั้น จะรับรู้ถึงตนผู้เป็นเงาราชาเทพได้อย่างไร
“ท่านที่อยู่ด้านหลังห่างจากข้าไปทางขวา 300 เมตรท่านนั้น ท่านออกมาคุยกับข้าต่อหน้าได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องคอยตามข้า ตามจนข้าไม่กล้าบำเพ็ญคู่แล้ว” ในน้ำเสียงของหลิวหลีเจือแววหยอกล้อ
“เจ้ารู้ตัวตนของข้าได้อย่างไร” จบกัน เงาดำไม่อยากปรากฏกายก็ต้องทำ นังหนูรู้ตำแหน่งที่แม่นยำนัก แม้ว่าน้ำเสียงจะเหนื่อยหน่าย แต่ภายในใจนั้นประหลาดใจอย่างมาก เขาปิดบังร่องรอยของตนตลอด น้อยคนนักจะรับรู้ได้ ศิษย์ระดับพิเศษคนนี้มีความพิเศษอยู่ก็จริง คิดไม่ถึงว่าพลังบำเพ็ญเพียรเพียงขั้นแม่ทัพเทพอย่างนางกลับรับรู้ตำแหน่งของตนได้
“ข้ารู้มาตลอด ผู้อาวุโส” หลิวหลีหันกลับไปและใช้ดวงตาสีเลือดสองข้างมองไปเงาดำนั้น แต่ภายในดวงตาสงบราบเรียบ เงาดำมองไม่ออกและสัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้าย
“ตลอดเลยหรือ” คำนี้ทำเอาเขาขนลุกไปหมด นังหนูผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร ถ้าหากรู้มาโดยตลอด เช่นนั้นประสาทเซียนของนางจะน่ากลัวขนาดไหน การกระทำเช่นนี้ของเจ้าสำนักหมิงเยี่ยออกจะน่าขันทีเดียว
“ใช่ ตลอดเวลา” หลิวหลีพยักหน้า
“ในเมื่อเจ้ารู้ตัวตนของข้าตั้งนานแล้ว ทำไมถึงตัดสินใจมาเปิดเผยกับข้าตอนนี้” เงาดำถามข้อสงสัยในใจ เขาได้เห็นการแข่งขันระหว่างหลิวหลีกับอสูรวารีในขอบเขตราชาเทพตนนั้น เขารู้ว่าความสามารถของนางไม่ได้ได้ง่ายดายเหมือนภายนอก หากมองผิวเผินแค่พลังในขอบเขตแม่ทัพเทพของนางแล้วไม่ระวังตัวก็จะเสียเปรียบนาง
“เป็นเพราะความสามารถ ตอนนั้นพลังไม่มากพอ ไม่อาจตัดสินใจได้ ตอนนี้ข้ามีความมั่นใจแล้ว” น้ำเสียงของหลิวหลีเต็มไปด้วยความมั่นใจ จนเงาดำสัมผัสได้
“เจ้ามีพลังบำเพ็ญเพียรเพียงในขอบเขตแม่ทัพเทพแต่กลับกล้าพูดจาอวดดีเช่นนี้” เงาดำตกใจแต่ก็ระแวดระวังตัวขึ้น
“ผู้อาวุโสก็เห็นการต่อสู้ของข้ากับอสูรวารีนั่นแล้ว ไม่รู้สึกว่าพูดคำนี้ออกจะเปล่าประโยชน์ไปหน่อยหรือ” หลิวหลีเหนื่อยหน่าย หัวแข็งไปแล้วได้อะไร
“เช่นนั้น หลงหลิวหลี ทำไมเจ้าถึงอยากเจอข้า” ทำไมอยู่ๆถึงอยากเจอ ไม่แสร้งเป็นไม่รู้เหมือนแต่ก่อน
“เฮ้อ ข้าเองก็ไร้หนทางเหมือนกัน การต่อสู้กับอสูรวารีนั่น แค่ดูก็รู้ว่าได้เปิดเผยความสามารถแท้จริงของข้าไปแล้ว หลอกคนอื่นต่อไปก็ไม่มีประโยชน์” หลิวหลีถอนหายใจ อสูรวารีที่พลังพอๆกับเงานี้ยังสังหารมาแล้ว เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ ตนเองชิงลงมือก่อนน่าจะดีกว่า
“ถูกต้อง ไม่ทราบว่าเจ้าอยากจะพูดอะไรกับข้า” เงานั้นพยักหน้าใช้ได้ทีเดียว นังหนูคนนี้ล้มได้แม้กระทั่งอสูรวารีที่เขายังต้องระวัง นับประสาอะไรกับตัวเขาเองล่ะ
“ข้าขอแนะนำผู้อาวุโสอย่าสะกดรอยตามข้าอีกเลย ข้ารู้ว่าเจ้าสำนักคิดว่าข้ามีความลับ กลัวข้าจะเป็นตัวอันตราย ข้าสาบานต่อฟ้าดินได้ว่าข้าไม่ได้มีประสงค์ร้าย ตอนนั้นเพราะคิดว่าตนเป็นตัวประหลาดและไม่มีใครจึงอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเหมือนผู้อื่น ใครจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องดี” พูดถึงเรื่องในอดีตแล้วหลิวหลีก็รู้สึกว่าโชคดีที่ตัวเองลงมือไว
“แต่พลังต่อสู้และประสาทเซียนของเจ้า กลับไม่ไปในทิศทางเดียวกันกับพลังของเจ้า” คนที่มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากจนสามารถต่อสู้ข้ามขั้นได้แบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแต่ไม่ได้เกินไปเหมือนหลิวหลี
“ถูกต้อง เรื่องนี้น่ะ ข้าก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน” นางไม่รู้จริงๆ
“เจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันหรือ” เงาดำไม่เชื่อ
“ข้าไม่รู้จริงๆ หากรู้สาเหตุก็คงดี” หลิวหลีกระพริบตาปริบๆอย่างไร้เดียงสา นางไม่รู้จริงๆนี่นา
“ปัญหานี้ของเจ้า ข้าก็เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ว่าแต่เจ้าเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพอัคคีจริงหรือ?” เงาดำถามด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่าใช่ ผู้อาวุโสท่านก็เห็นแล้วว่าข้าใช้เพลิงเทพได้ชำนาญขนาดไหน” หลิวหลียืนยัน ส่วนเรื่องที่นางกลายเป็นแกนวิญญาณอัคคีผสมนั้น ก็ปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน
“จริงด้วย หากบอกว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพอัคคีก็ไม่เกินจริง ไม่เคยเห็นใครที่ไหนใช้เพลิงเทพได้คล่องแคล่วเช่นเจ้ามาก่อน ราชาเทพนภาเพลิงก็ยังไม่คล่องแคล่วเช่นนั้น” ข้อนี้น่ะ เงาดำยืนยันได้
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันในตอนสุดท้ายเถอะ ข้าไม่อาจยืนยันได้เหมือนกัน” หลิวหลีตอบกำกวม ใครจะรู้เมล็ดพันธุ์หลากสีรุ้งในร่างกายตนนั้นจะได้สืบทอดตำแหน่งเทพองค์ไหน
“ดังนั้น เจ้าจะบอกว่า เจ้าสาบานต่อฟ้าดินเพื่อยืนยันตนเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องแล้ว กล้าพูดว่าจะสาบานต่อฟ้าดิน ไม่มีใครเขาทำได้อย่างเจ้าหรอก” เงาดำส่ายศีรษะ เพื่อบอกว่าเชื่อนาง ดังนั้นที่นังหนูคนนี้เก่งกาจขนาดนี้ นั่นก็เพราะนางคือผู้สืบทอดของเทพอัคคีอย่างไม่ต้องสงสัย พอเป็นแบบนี้ดูเหมือนว่าจะสมเหตุสมผลนัก
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เชื่อใจข้า” หลิวหลีโล่งอก ถือว่าผ่านด่านไปครึ่งหนึ่งแล้วใช่ไหม
“เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าตามสอดแนมเจ้าต่อ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เช่นนั้นข้าขอตัว” เพลิงเทพของอีกฝ่ายสามารถจัดการเขาในพริบตาได้ หากตามดูต่อ จะไม่เท่ากับว่าเรียกหาเรื่องใส่ตัวหรือ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เชื่อใจ” หลิวหลีเห็นเงาด้านหลังของเงาดำหายไป ดีเหลือเกิน ในที่สุดก็ไม่มีใครคอยจับตาดูตนอีกแล้ว คาดว่าหากไม่พูดว่าจะสาบานต่อฟ้าดิน เงาดำนั้นคงจะเชื่อเพียงห้าส่วน หลิวหลีกล้าสาบานต่อฟ้าดิน เงาดำจึงเชื่อถึงแปดส่วน ส่วนสองส่วนที่เหลือไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นนางจึงตั้งใจจะเดินทางกลับสำนัก อืม ท่านพี่ใกล้จะออกจากฌานแล้ว เอาอสูรวารีมาทำอาหารมื้อใหญ่ต้อนรับเขาดีกว่า โลกเทพช่างน่าสงสารยิ่งนัก ไม่มีแม่ครัวเลยสักคน ทำอะไรดีล่ะ เนื้อของอสูรวารีนุ่มนัก ทำซอสเพื่อกินดิบ แล้วทำซุปลูกชิ้นปลา ใช้ปลาตัวนี้ทำเปาะเปี๊ยะก็ดีเหมือนกัน ทำหม้อไฟหัวปลาก็ใช้ได้ อืม ปลาทอดน้ำแดง ปลาต้มพริก ปลาต้มหม่าล่าทรงเครื่อง ปลาย่าง เอาล่ะ กลับไปทำเลยดีกว่า แต่ก่อนอื่นจะไปต้องไปยืมวัตถุดิบจากบรรพชนของตนเองเสียก่อน ไม่สิ หญ้าเทพ
“เงาดำ เจ้ากำลังจะบอกว่าหลงหลิวหลีรู้ตัวตนของเจ้าแล้วแถมยังเจรจากับเจ้าด้วย? เจ้าคงไม่ได้ถูกนางหลอกให้ออกมาหรอกนะ” หมิงเยี่ยไม่อยากเชื่อว่าหลิวหลีจะล่วงรู้ตัวตนของเงาดำ ความสามารถในการพรางตัวของเขานั้นอยู่ในสิบอันดับแรกของบรรดาราชาเทพ คิดไม่ถึงว่านังหนูจะจับได้
“ใช่ นางบอกข้าอย่างชัดเจนว่านางรู้ตั้งแต่ที่ข้าคอยจับตาดูนางครั้งแรกแล้ว แถมยังเตรียมจะสาบานต่อฟ้าดินอีก แต่ก็ถูกข้าปฏิเสธไป” เงาดำกล่าว
“สาบานต่อฟ้าดิน เจ้าเด็กนี่บอกว่าจะสาบานต่อหน้าฟ้าดินอย่างนั้นหรือ” หมิงเยี่ยเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเงาดำถึงตัดสินใจจากมา การสาบานต่อฟ้าดินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย กล้าเอามาสาบานเช่นนี้นังหนูคนนี้ช่างกล้าหาญมากทีเดียว
“อืม”
“ความจริงแล้ว ข้าไปหาราชาเทพแห่งดวงดาว (ซิงซิ่ว) ให้เขาทำนายเรื่องหลิวหลี สุดท้ายเขาให้คำตอบข้ามาเพียงสองคำคือ ผูกมิตร” หมิงเยี่ยกล่าว เขาไม่เคยเข้าใจ ว่าทำไมราชาเทพแห่งดวงดาว (ซิงซิ่ว) นิ่งคำนวณอยู่นานแต่กลับพูดออกมาเพียงสองคำ แล้วก็เข้าฌานไป
“เช่นนั้นความหมายว่าไม่ควรเป็นศัตรูกับนางหรือ?” เงาดำตกใจ ราชาเทพแห่งดวงดาว (ซิงซิ่ว)พูดเช่นนี้คาดว่าคงมีเหตุผล
“ถูกต้อง ไม่เพียงแค่ไม่ควรเป็นศัตรูด้วย อีกทั้งยังต้องปรารถนาดีกับนาง เรียกได้ว่า ไม่ว่านางจะทำอะไรก็ควรเข้าข้างนาง” หมิงเยี่ยพยักหน้าพลางกล่าว นี่เทียบเท่าได้กับผู้เป็นกษัตริย์ หรือเพราะนางคือเทพอัคคีแน่นอนแล้วนะ?
………………………………….