ช่วงนี้ลู่หรงไม่ได้ดีใจจากการบรรลุขอบเขตเลยแม้แต่น้อย ทุกคนมองเขาด้วยสายตาประหลาด แต่เขาก็พอจะมองความรู้สึกอิจฉานั้นออก อิจฉาเขาเรื่องอะไร เรื่องเขาบรรลุขั้นพลังอย่างนั้นหรือ? ศิษย์พี่สวีอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์แล้ว หากจะต้องอิจฉา ก็ควรจะอิจฉาศิษย์พี่สวีไม่ใช่หรือ
“ลู่หรง เจ้านี่มันซื่อบื้อจริงๆ เจ้าไม่รู้หรือว่าทุกคนอิจฉาอะไรเจ้า” เริ่นเฉินเพื่อนสนิทของลู่หรง โมโหน้อยๆ ตัวเองก็รู้สึกโมโหตัวเอง คราวก่อนเพราะเขาเข้าฌาน ทำให้เสียโอกาสที่จะได้ทำภารกิจกลุ่มเดียวกับศิษย์พี่หลง แต่คนผู้นี้เหมือนกับเป็นเพื่อนกับโชคดีเสียอย่างนั้น ทั้งสายสัมพันธ์กับคนอื่นและพลังบำเพ็ญเพียรกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เริ่นเฉิน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าแค่ไปเข้าฌาน ก่อนหน้านั้นข้าก็บำเพ็ญฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด บวกกับสิ่งที่ได้กลับมาหลังจากออกไปกับศิษย์พี่หลง จากมีสิ่งที่สั่งสมมาอยู่จากเดิม พอได้โอกาสเข้ามา ก็เลยสามารถบรรลุขอบเขตมนุษย์เทพระดับสูงได้ในทันที” ลู่หรงแสดงออกว่านี่เป็นผลมาจากความพยายามของเขา แต่ปฏิกริยาของเพื่อนเขากลับเหมือนเป็นการตบหน้าเขาจังๆ
“ลู่หรง ทำไมเจ้าถึงได้ซื่อบื้อขนาดนี้ หรือว่าศิษย์พี่หลงชอบคนซื่อบื้ออย่างเจ้าหรือนี่” เริ่นเฉินลูบคางแล้วคิดเช่นนี้ จากนั้นก็มองลู่หรงตั้งแต่หัวจรดเท้า ความซื่อบื้อแบบนี้ มองแล้วคงจะทำให้คนรู้สึกไว้ใจได้ไม่น้อย
“เริ่นเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ลู่หรงไม่พอใจ เจ้าสิที่เป็นคนซื่อบื้อมาโดยกำเนิด ทั้งครอบครัวเจ้าเป็นคนที่ซื่อบื้อกันทั้งหมด
“หมายความตามตัวอักษร ข้าถามเจ้าหน่อย ลู่หรง เจ้าคิดว่าศิษย์พี่หลงเป็นคนอย่างไร” เริ่มเฉินแซะลู่หรง แล้วถามขึ้น
“เป็นคนดีมาก น่าเสียดาย อาเฉินที่เจ้าเข้าฌานอยู่ ตอนนั้นที่จับกลุ่มกันข้านึกถึงเจ้าเป็นคนแรก” ลู่หรงคิดๆดูแล้วก็รู้สึกเสียดาย เป็นโอกาสที่ดีมากจริงๆ
“เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าพูดหรอก ข้าขอถามเจ้าอีก ตอนนั้นเจ้าเอาความกล้ามาจากไหนไปขอร่วมกลุ่มกับศิษย์พี่หลง” พูดถึงเรื่องนี้ เริ่มเฉินก็ปวดใจ เกินไปจริงๆ ทำไมเขาจะต้องเข้าฌานในตอนนั้นด้วย ได้ยินมาว่าคนที่อยู่กลุ่มเดียวกับศิษย์พี่หลงต่างก็ได้อะไรกลับมาไม่น้อย ทำไมเขาจะต้องมาเข้าฌานในเวลานั้น อีกทั้งยังบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ซื่อบื้อ ทำไมจึงได้มาถามคำถามที่แทงใจดำเช่นนี้
“เรื่องนี้น่ะหรือ ก็พอเห็นศิษย์พี่หลงก็เข้าไปหานาง” ลู่หรงไม่ค่อยเข้าใจว่าจะถามเรื่องนี้ทำไม
“ไม่ใช่ ข้าหมายความว่าตอนนั้นเจ้าไม่รู้สึกว่าศิษย์พี่หลงน่ากลัวหรือ มีหน้าตาที่ดูดีมีเสน่ห์ แต่กลับทรงพลังโหดเหี้ยม ตอนนั้นศิษย์พี่ท่านนี้ เป็นคนที่เอาชนะศิษย์ระดับพิเศษอันดับหนึ่งจวินหาวได้ หรือแม้แต่อาการบาดเจ็บสาหัสของเหยียนซวี่ก็รักษาให้หายได้อย่างง่ายดาย ตอนนั้นในสำนัก ศิษย์พี่หลงได้รับฉายาว่าเป็นเทพสังหาร เจ้าไม่กลัวหรือ” เมื่อย้อนคิดเรื่องในอดีต เริ่นเฉินก็ถึงกับรู้สึกเสียวสันหลังวูบ เกิดมาเป็นผู้หญิง แถมหน้าตาสะสวย แต่กลับมีพลังการต่อสู้ที่ขัดกับหน้าตา คงไม่มีใครเป็นเช่นนางอีกแล้ว โดยเฉพาะความชำนาญในการควบคุมไฟ หากเริ่นเฉินจำเป็นจะต้องใช้คำหนึ่งมาบรรยาย คำนั้นก็คือ ‘ตระการตา’ งดงามเป็นอย่างมาก เป็นเพราะเรื่องนี้เขาถึงไปเข้าฌาน ใครจะไปรู้ว่าจะพลาดโอกาสที่จะได้พูดคุยกับนาง ปวดใจจริงๆ
“ศิษย์พี่หลงเป็นคนที่สวยมากจริงๆ พอข้าเห็นบุคคลต้นแบบของตัวเอง ข้าก็อยากจะลองเข้าไปขอคำชี้แนะะ เพราะอย่างไรนางไม่ใช่คนที่อยากจะเจอก็จะได้เจอ ตอนนั้นข้าเข้าไปหาศิษย์พี่หลงพร้อมกับโอกาสอันน้อยนิดที่จะได้อยู่กลุ่มเดียวกับนาง นึกไม่ถึงว่าข้าจะสามารถทำโอกาสอันน้อยนิดนั้นให้เป็นจริงได้ อีกทั้งศิษย์พี่หลงไม่เหมือนกับศิษย์พี่ที่เป็นศิษย์ระดับพิเศษคนอื่นๆ คนพวกนั้นไม่สนใจว่าพวกเราจะเป็นอย่างไร ศิษยพี่ทำให้พวกเราคุ้นชิน ร่วมมือกัน บวกกับเวลาออกไปทำภารกิจ ศิษย์พี่ก็จะคอยสนับสนุนพวกเรา เมื่อเราพบเจอกับอันตราย ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เราไม่สามารถจัดการเองได้ หรือเรื่องที่ถึงขีดจำกัดของพวกเราแล้ว นางก็จะให้โอกาสเราได้ฝึกฝนเองตลอด” และในตอนนั้นที่ลู่หรงได้เข้าใจถึงความสำคัญของการลงมือปฏิบัติจริง แล้วก็เข้าใจว่าจริงๆแล้วพวกเขาสามารถร่วมมือกันทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้
เริ่นเฉินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนทำร้ายอย่างหนัก ยังจะสามารถเที่ยวเล่นด้วยกันได้อยู่หรือไม่ เขาแค่ถามถึงความโหดร้ายของศิษย์พี่หลง ทำไมเจ้านี่ถึงได้พูดออกมามากมายขนาดนี้ อีกอย่าง ประโยคหลังๆที่พูดออกมา ทำให้เขารู้สึกทรมานใจไม่น้อย
“ถ้าเช่นนั้น ศิษย์พี่หลงไม่เคยให้อะไรเจ้าเลยหรือ อย่างยาเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าเคยได้ยินมา หลังจากเรื่องจบ ศิษย์พี่หลงเรียกเจ้ากับศิษย์พี่สวีให้ไปหา” หากบอกว่าไม่มีอะไร ใครจะเชื่อ ไม่เช่นนั้น ทำไมศิษย์พี่หลงถึงไม่เรียกคนอื่นล่ะ
“ที่จริงแล้วข้าก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่หลงเรียกข้าไปทำอะไร” หน้าตาลู่หรงใสซื่อ จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เข้าใจว่าศิษย์พี่หลงเรียกเขาไปทำอะไร
“จริงหรือ?” เริ่นเฉินไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
“ก็จริงน่ะสิ ข้าจะโกหกเจ้าทำไม ยาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าพูดถึง ศิษย์พี่หลงเคยปรุงจริงๆ แต่นางแจกให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น” ลู่หรงอธิบาย ศิษย์พี่หลงปรุงยา ไม่ใช่ลมพัดมาสักหน่อย ทำไมจะต้องเอามาให้เขาด้วย
“เฮ้อ เรื่องที่เล่าต่อกันมาน่ากลัวจริงๆด้วย” เริ่นเฉินเชื่อคำพูดของลู่หรง ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความน่ากลัวของการเล่าปากต่อปาก หนึ่งคนพูดกับคนสิบคน อีกสิบคนพูดกับคนร้อยคน พูดกันไปพูดกันมา ใจความเดิมที่บอกเล่าผ่านปากคนจำนวนนับไม่ถ้วน แต่งเสริมเติมจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกต่อไป แถมทุกคนก็ยังเชื่อฉบับที่ไม่เหลือเค้าความจริงอีกต่อไป เป็นเพราะความอิจฉาของคนมันน่ากลัว หรือเพราะไม่รู้ว่าจะไประบายความอิจฉาที่ไหน เริ่นเฉินส่ายหัว รู้สึกว่าน่ากลัวไม่น้อย คนที่ซื่อบื้อเช่นนี้จะรับมือได้หรือ เริ่มเฉินมองไปที่ลู่หรงด้วยสายตาที่ซับซ้อน
“แววตาของเจ้า มันหมายความว่าอะไร” ชวนให้รู้สึกขนลุกไม่น้อย
“อาหรง เจ้าจะต้องอดทนไว้ ข้าฟังเรื่องราวความรักความแค้นของเจ้ากับศิษย์พี่หลงมาหลายฉบับเหลือเกิน ตอนนี้ศิษย์พี่หลงเข้าฌาน เจ้าออกฌานแล้ว คนที่เป็นตัวละครหลักในการถูกพูดถึงคือเจ้า แน่นอนว่าจะต้องเป็นคนที่ทุกคนอยากจะเข้ามาถามหาเป็นแน่” เริ่นเฉินพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
“เข้าใจผิดไปหรือเปล่า ศิษย์พี่หลงกับสามีของนางมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก คนพวกนั้นก็ไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย วันๆคิดแต่เรื่องพวกนี้ ไม่น่าพลังบำเพ็ญเพียรถึงไม่เพิ่มขึ้น” ลู่หรงวิจารณ์ คงจะว่างกันมากจริงๆ
“ว่ากันว่าศิษย์พี่หลงเบื่อสามีตัวเองที่สง่างามราวเทพบุตร เลยอยากจะเปลี่ยนมามองคนธรรมดาอย่างเจ้าแทน” เริ่มเฉินเยาะ
“คนธรรมดา” ลู่หรงรู้สึกว่าคำนี้ไม่ใช่คำชม หน้าตาเขาไม่ว่าดูอย่างไรก็ดูน่ารักอยู่เหมือนกัน จะเหมาะกับคำว่า ‘คนธรรมดา’ อย่างนั้นหรือ
“เมื่อเทียบกับศิษย์พี่หนานกงแล้ว อาหรง เจ้าธรรมดามากจริงๆ มีประโยคหนึ่งที่พูดไว้ว่า กินอาหารดีๆจนเบื่อแล้ว ก็เลยอยากจะกินอาหารธรรมดาบ้าง” เริ่นเฉินครุ่นคิดแล้ว จึงพูดประโยคเปรียบเทียบออกมา
“กล้าพูดกล้าคิดกันจริงๆ ได้ยินมาว่าสามีของศิษย์พี่หลง ศิษย์พี่หนานกงเป็นคนที่ขี้หึงมาก เจ้าไม่กลัวว่าศิษย์พี่หนานกงได้ยิน แล้วจะมาเรียกให้ไปเป็นคู่ฝึกซ้อมด้วยหรือ” เรื่องนี้เขาก็พอจะรู้อยู่บ้าง เพราะลูกน้องของจวินหาวชื่นชอบศิษย์พี่หนานกง ศิษย์พี่หนานกงปฏิเสธโดยบอกว่าเขามีภรรยาแล้ว ทำให้เกิดการประลองของศิษย์พี่หลงขึ้น จนเกิดการประลองครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนั้นขึ้น
“พอพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็เหมือนจะจำได้แล้วว่า ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เรียกว่าแทบแยกออกจากกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากว่าศิษย์พี่หนานกงออกฌานแล้วได้ยินคำพูดพวกนี้ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร” เริ่นเฉินกล่าว อีกอย่าง เท่าที่เขารู้มา พลังการต่อสู้ของศิษย์พี่หนานกงก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
“เฮ้อ ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าไปเข้าฌานต่อจะดีกว่า ข้าหาเรื่องไม่ได้ แต่หลบซ่อนตัวได้” ลู่หรงกล่าวออกมา
“ลู่หรง เจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อบื้อมาโดยกำเนิด แต่เป็นคนที่มีไหวพริบไม่น้อยเลยต่างหาก” เริ่มเฉินกล่าวสวนทันควัน
……………………………….