“วางใจเถอะ ข้าจะบอกจักรพรรดิเทพที่เหลือทั้ง 4 เอง ชื่อข้าแค่อยู่กับท่าน แต่หากว่าจักรพรรดิเทพทั้ง 4 ขอความช่วยเหลือ ข้าย่อมให้ความช่วยเหลือพวกเขา” หลิวหลีจะไม่รับรู้ความกังวลใจของอวิ๋นเหมี่ยวได้อย่างไร แต่นางไม่กังวล อย่างไรนางก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก เหตุใดจะต้องย้ายที่ไปทั่ว อีกอย่างตอนนี้นางสามารถมองเห็นอนาคตของประมุขเทพได้อย่างชัดเจน ไม่มีเทพที่แท้จริงในบรรดาพวกเขา แต่มีเขาเป็นขุนนางเทพ ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่า เพียงล้มเหลวในครั้งแรกก็จะไร้วาสนาต่อตำแหน่งเทพที่แท้จริง ดังนั้นพวกเขาล้วนคิดว่ามันยากขึ้น แต่จริงๆแล้วไม่เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเพราะขาดคุณสมบัติไปแล้วต่างหาก มีเพียงผู้ที่ยังไม่เคยลองที่ยังมีหวัง นางในตอนนี้สามารถมองเห็นอะไรได้มากมาย
“เอาตามนี้ก็ได้” อวิ๋นเหมี่ยวพยักหน้า เขารู้สึกว่าลูกชายของตนเองได้ประโยชน์จากสามีภรรยาคู่นี้ในทุกด้าน อย่างน้อยก็สามารถเรียนรู้อะไรได้มากจากว่าที่เทพที่แท้จริง เพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในการบรรลุเป็นเทพที่แท้จริง อีกอย่างเขาพอจะมองออกว่านางปฏิบัติต่อลูกชายของเขาแตกต่างจากคนอื่น
อวิ๋นเหมี่ยวจากไปไม่นาน ฝาแฝดก็กลายเป็นคนส่งข้อความ นำความคิดของหลิวหลีไปบอกกับประมุขเทพที่เหลือทั้ง 4 แล้วยังมอบยาเทพศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา 10 เม็ดให้แก่พวกเขาเป็นสินน้ำใจ ส่วนแบบพิเศษนั้นย่อมเก็บไว้ให้คนกันเองใช้ นี่เป็นหลักการข้อแรกของนาง
“ท่านพี่ ท่านคิดว่าจวี๋เจียชอบอะไรถึงในตัวฝาแฝด?” หลิวหลีถาม
“คุณสมบัติ ยิ่งไปกว่านั้นคือกังวลว่าไม่รู้ว่าตอนไหนที่เขาตื่นตะลึงจากการรวมร่างของฝาแฝดคู่นี้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาจึงอยากได้เด็กคู่นี้ไปเป็นฝ่ายตน” หนานกงเวิ่นเทียนคาดเดา
“ก็เป็นไปได้ อย่างไรแล้ว เจ้าเด็กร้ายกาจสองคนนี้ก็อาจไม่ได้กรรมพันธุ์อะไรจากบิดา แต่นิสัยชอบทะเลาะวิวาทกลับได้มาเต็มๆ” หลิวหลีอดแขวะไม่ได้ และในเวลาเช่นนี้ที่นางรู้สึกว่าเด็ก 2 คนเป็นบุตรชายเอ๋าเลี่ย
“ข้อนี้ ข้าเห็นด้วย ไม่รู้ว่าอวิ๋นชิงต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน?” หนานกงเวิ่นเทียนถาม ตั้งแต่ที่อวิ๋นชิงเปิดขวดเล็กออกก็ได้กลิ่นของยาเทพศักดิ์สิทธิ์แบบปรับปรุงที่หลิวหลีปรุงขึ้น แต่นั่นแปลว่านางยอมรับเขาเข้ามาอยู่ในความคุ้มครองของตน แต่ทว่าคนๆนี้ก็คู่ควรแล้ว พวกเขาสามีภรรยาเข้าฌานนานเช่นนี้ อวิ๋นชิงยังปกป้องสหายของพวกเขาได้นานเช่นนี้ แต่ครั้งนี้คงถูกบังคับจนทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังย้ำว่าให้เคารพความต้องการของเด็กทั้งสอง เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอให้พวกเขายอมรับเขาแล้ว หมอนี่โชคดีแล้ว
“อีกอย่างข้าน่ะ ต้องขอบคุณเจ้า ที่ทำให้ข้ายังมีชีวิตอยู่” อวิ๋นชิงที่ได้สติเมื่อไหร่ไม่รู้พูดออกมา
“แข็งแรงทีเดียวนี่ ไม่เป็นอะไรแล้ว” หลิวหลีเอ่ย
“ขอบคุณมาก พวกเจ้ารู้ไหมว่าตั้งแต่ที่พวกเจ้าเข้าฌานไป ข้าต้องใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างไรบ้าง” ฤทธิ์ของยาเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะดีเกินไป แม้ว่าชื่อจะเชยไปหน่อย แต่มีประโยชน์มากจริงๆ ตอนนี้ให้เขาต่อสู้อีกครั้งก็ไม่เป็นไร ดูเหมือนทักษะการปรุงยาของนังหนูจะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ในที่สุดเขาก็ได้โวยวายแล้ว เขามีชีวิตสบายๆที่ไหนเล่าเขา…
“ข้ารู้ พี่ใหญ่อวิ๋นลำบากแล้ว” หลิวหลีพยักหน้า ทำไมจะไม่รู้ว่าทันทีที่ตนเข้าฌานไป ก็ทิ้งปัญหากองโตเอาไว้ให้จักรพรรดิเทพเหลยหยาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่พวกเอ๋าเลี่ยมาถึงภูเขาเทวา แต่ละคนมีแต่พวกเหลวไหล ชอบทะเลาะเบาะแว้ง อีกอย่างคือ นางมั่นใจได้เลยว่า มาตรฐานในการเลือกฝ่ายของพวกเขาคือ นางอยู่ไหน พวกเขาอยู่ด้วย โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เมื่อเกิดการเสียสมดุลก็จะมีเรื่องเกิดขึ้นตามมา คาดว่าการจัดการเรื่องพวกนี้คงทำให้อวิ๋นเฟยปวดหัวมากแน่ คงเครียดลงกระเพาะไปแล้ว
“พอเจ้าพูดเรื่องลำบากแล้ว ข้าก็รู้สึกว่าคุ้มค่า” อวิ๋นชิงไม่รู้จะพูดอย่างไร อยู่ๆก็รู้สึกว่าเรื่องกลุ้มใจตลอดหลายวันนี้ของตนหายไปอย่างน่าประหลาด ถูกรักษาได้ในพริบตาเดียวจริงๆ เฮ้อ ความเหน็ดเหนื่อยที่ยาวนานของเขานี้ไม่ได้เสียเปล่าจริงๆ
“ตั้งใจจะตั้งฝ่ายของตนเองเมื่อไหร่” อวิ๋นชิงถามอย่างใคร่รู้
“ทำไม พี่ใหญ่อวิ๋นรังเกียจข้า รีบไล่ข้าไปหรือ” หลิวหลีทำเป็นไม่พอใจ
“ไม่ใช่ แค่สถานการณ์มันไม่เอื้ออำนวย” อวิ๋นชิงถอนหายใจ เขาอยู่กับนังหนูคนนี้สบายใจนัก ต่อไปจะโง่เขลาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
“ใช่น่ะสิ ดังนั้นข้าจึงปรึกษากับจักรพรรดิเทพทั้ง 5 เรียบร้อยแล้ว ข้าจะยังอยู่ในฝ่ายของจักรพรรดิเทพวารี แต่หากฝ่ายอื่นต้องการความช่วยเหลือจากข้า ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ ประทับใจไหม ข้าชดใช้พวกเขาแต่ละคนด้วยยาถึง 10 เม็ดเชียวนะ” หลิวหลีจงใจกล่าวพลางทอดถอนใจ
“ไม่เลวเลย สรรพคุณของยาดีจนเกินไป ให้ไปเยอะขนาดนี้ไม่คุ้มหรอก” อวิ๋นชิงเจ็บใจ หลิวหลียังใจกว้างเหมือนก่อน ไม่รู้จักความลำบากของการไร้ยาศักดิ์สิทธิ์
“วางใจเถอะ อันที่ข้าให้ไปเป็นแบบธรรมดา” หลิวหลีออกตัวว่านางยังพอมีสมองอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนจนที่เนื้อตัวมีแต่ยาเทพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนี้ยิ่งไม่มีค่าอะไร
“แปลว่าอันที่ข้ากินคือแบบพิเศษหรือ” อวิ๋นชิงตั้งใจหลงตัวเองสักหน่อย เพื่อรอคำเสียดสีจากอีกฝ่าย ไม่มีคนต่อปากต่อคำด้วยตั้งนาน รู้สึกเบื่อแปลกๆ
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่อวิ๋นลำบากขนาดนี้ ข้าย่อมต้องตอบแทนท่านให้ดี” แต่ผลคือหลิวหลีกลับพยักหน้าอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด นั่นทำให้อวิ๋นชิงตกตะลึง เหตุใดถึงไม่แซะเขา เขาเป็นคนบ้าหรือเปล่านะ ทำไมถึงได้รู้สึกผิดปกติ
“ขอบใจ” อวิ๋นชิงพูดออกมาสองคำอย่างเบื่อหน่าย
“พวกเจ้าอยู่นี่เอง ข้าตามหาพวกเจ้าอยู่พอดี”
“ผู้อาวุโสป๋อเหยียน” ทั้งสามพูดอย่างเคารพทันที
“หลงหลิวหลี หนานกงเวิ่นเทียน ตอนนี้พวกเจ้าได้บรรลุเป็นประมุขเทพแล้ว ต้องเปลี่ยนที่พักได้แล้ว อยู่ทางด้านบนของภูเขาเทวา” ป๋อเหยียนพูด ทุกคนล้วนเป็นเด็กมีมารยาท ต้องมีอนาคตที่ดีแน่นอน
“เปลี่ยนที่พักแล้ว ข้าไม่รู้เลยว่ากระท่อมน้อยๆของข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” หลิวหลีนึกถึงกระท่อมน้อยหลังนั้นของตน เหมือนว่าอยู่จนเกิดผูกพันกับมันไปแล้ว
“วางใจเถอะ ข้าเปลี่ยนเป็นที่พักที่พวกเจ้าจะต้องชอบแน่นอน นี่อย่างไร อยู่ข้างๆที่พักของเจ้าอวิ๋น แล้วก็คนที่เจ้าพามาด้วยทั้ง 4 คน สวีโจวบรรลุตำแหน่งราชาเทพแล้ว พวกเจ้าก็มีรางวัลเช่นกัน” ป๋อเหยียนพูด
“คิดไม่ถึงว่าสวีโจวได้เป็นราชาเทพแล้ว ไม่ทราบว่าฉายาของเขาคืออะไร?” นี่คือสิ่งที่หลิวหลีสงสัยเป็นพิเศษ
“วางใจเถอะ ข้าชอบเด็กมีมารยาท เลยมอบฉายาปกติให้เขา” ป๋อเหยียนกระพริบตา หลิวหลีเข้าใจในทันที
“ขอบคุณผู้อาวุโสป๋อเหยียนอย่างมาก” เป็นเช่นนี้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นจะเห็นความตื่นตาตื่นใจในตอนหลังสุดหรือ
“เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าไปดูที่พักใหม่ของพวกเจ้าเอาเองเถอะว่าชอบหรือไม่ ข้าไปก่อนล่ะ”
“คารวะผู้อาวุโส” ทั้งสามยังคงมีมารยาท
อวิ๋นชิงพบว่าข้างบ้านตนนั้น มีบ้านไม้ไผ่ที่มีเอกลักษณ์มากอยู่หลังหนึ่ง ถูกต้อง มันคือบ้านไม้ไผ่ เมื่อเทียบกับตำหนักเล็กๆสีขาวของตนแล้วดูชัดเจนเกินไป นี่มันเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าบ้านไม้ไผ่นั้นต๊อกต๋อยมาก
“แค่กๆ หากพวกเจ้าไม่ชอบที่พักใหม่ บ้านข้ากว้างขวางเพียงพอ พวกเจ้ามาอยู่ได้ไม่มีปัญหา” อวิ๋นชิงกลั้นหัวเราะ เอาเถอะ อย่าทำให้นังหนูหมายหัวเลย
“ไม่แน่อาจจะเป็นที่ๆสวยงามมากก็ได้” หลิวหลีไม่สนใจ คิดว่าบ้านไม้ไผ่ของตนไม่ได้ธรรมดาเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ที่พักเป็นเพียงของนอกกายสำหรับพวกเขาในตอนนี้ มีก็ดีไ ม่มีก็ได้
อวิ๋นชิงเดินตามไปอย่างหน้าไม่อาย เขาอยากจะเห็นนักว่าบ้านไม้ไผ่หลังหนึ่งจะมีอะไรพิเศษ ต่อให้พิเศษ ก็เป็นแค่บ้านไม้ไผ่อยู่ดี
……………………………….