“น้องพี่ เจ้าทำอะไรไม่คิดอีกแล้ว” ถึงแม้เขาจะพูดเช่นนี้ทุกครั้ง แต่นังหนูก็ยังคงทำอยู่ดี
“ทำอะไรไม่คิดจนชินแล้ว แต่สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิเทพ ทำให้ข้าต้องเปลืองแรงไปไม่น้อยเลยจริงๆ ข้าเกือบต้องใช้พลังพิเศษถึงจะขจัดมันออกทั้งหมดได้ แต่ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย พิษเพลิงที่อยู่ในร่างจักรพรรดิเทพเหลยหยางเกิดจากการแผดเผาของไฟโลกันต์ ทรงพลังอย่างยิ่ง พอเพลิงเทพของข้าดูดซึมเข้าไป ทำให้ข้าสามารถบรรลุตำแหน่งประมุขเทพได้ในคราวเดียว” หลิวหลีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองผลีผลามแต่ยิ่งเสี่ยงก็ยิ่งได้ผลตอบแทนสูงไม่ใช่หรือ แถมสุดท้ายผลที่ได้ก็สมบูรณ์แบบ
“น้องพี่ ครั้งหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก ถึงแม้ข้าจะพูดเช่นนี้ทุกครั้ง แต่เจ้าก็ไม่เคยฟังสักครั้ง” พูดถึงตรงนี้ หนานกงเวิ่นเทียนก็ถลึงตาใส่หลิวหลี พูดไปแล้ว นังหนูคนนี้หัวแข็งจริงๆ ไม่เคยเชื่อฟังกันเลยสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทุกครั้งเขาก็หวั่นไหวเปลี่ยนเรื่องไป
“ท่านพี่ ความจำดีจริงๆ เรื่องพวกนี้ข้าลืมไปหมดแล้ว” หลิวหลีกล่าวขณะแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้
“เปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว เจ้า อย่าให้ต้องเป็นห่วงมากได้หรือไม่ เจ้าโง่นั่นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว แน่นอนว่า เขาก็สัมผัสได้ถึงการลอบโจมตีจากจิ่งซู่ แต่แค่ช้ากว่านังหนูก็เท่านั้น ผลคือนังหนูก็ก่อเรื่องขึ้นจนได้
“ไม่ได้หรอก คนที่ลอบโจมตีคนอื่นลับหลัง ข้าจะทำให้เขาไม่มีที่ยืน” ในฐานะที่เป็นประมุขเทพ แพ้ไม่เป็น น่าขายหน้าจริงๆ หลิวหลีดูแคลน มีคู่บำเพ็ญที่แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่พลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองกลับแย่แบบนั้น ยังหน้าไม่อาย เขาถูกประคบประหงมเชิดชูไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรกันแน่
“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าเสี่ยงไปรักษารอยแผลเป็นของจักรพรรดิเทพเหลยหยาง นั่นเป็นพิษเพลิงที่สะสมมาหลายปี แต่เจ้ากลับกล้าดูดซึมทั้งหมดในคราวเดียว เจ้ายังคงกล้ามากเหมือนเดิม” แถมยังกล้าบ้าบิ่นเสียด้วย แข็งแกร่งกว่าราชาเทพบางคนในตอนนี้มาก เขาพบเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง ก็คือศิษย์ระดับพิเศษข้างนอก ค่อนข้างภาคภูมิใจที่ตัวเองอยู่ในฐานะที่เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งราชา แต่ราชาเทพที่นี่ค่อนข้างจะนิ่งๆ ไม่ค่อยก้าวหน้านัก
“นี่เป็นถึงของบำรุง ของบำรุง ท่านพี่ พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเราในตอนนี้จะบรรลุทีก็ค่อนข้างยาก ต้องใช้ของต่างๆเป็นจำนวนมาก สำหรับคนอื่นแล้วอาจมองว่าพิษเพลิงเป็นสิ่งอันตราย แต่สำหรับข้าแล้วถือเป็นของบำรุงชั้นเลิศ ข้าจะปล่อยมันไปได้อย่างไร อีกทั้งของสิ่งนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์แค่กับข้าเท่านั้น ยังมีประโยชน์กับท่านพี่ด้วยจะให้ปล่อยไปก็น่าเสียดาย” หลิวหลีทำตาปริบๆ แสดงความนัยอย่างชัดเจน
หนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดงก่ำทันที ถึงจะเป็นสามีภรรยากันมานาน แต่พอนังหนูมาไม้นี้ทีไร เขาก็ยังหน้าแดงตลอด นางเองก็เหมือนจะรับรู้ ทุกครั้งเมื่อหนานกงเวิ่นเทียนพูดอะไรจริงจังกับนาง นางก็จะงัดไม้นี้มาทำให้บทสนทนาจบลงไป
“นังหนู เจ้าจะช่วยจริงจังหน่อยไม่ได้หรือ” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ข้าไม่ปกติตรงไหน สามีภรรยาแสดงความรักกันเป็นเรื่องที่ปกติ ช่วยให้ความสัมพันธ์หวานชื่น และทำให้ความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาลดลง” หลิวหลีอธิบายด้วยท่าทีจริงจัง โดยไร้ท่าทีเคอะเขินนางเองรู้สึกมาตลอดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาจะต้องปรับตัวเข้าหากัน ต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่เช่นนั้นจะต้องเกิดปัญหาแน่ไม่ช้าหรือเร็วดังนั้นนางจึงพยายามมา ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขาไม่แตกต่างกันมากนักอยู่ตลอด อีกทั้งนางยังโชคดีที่เลือกคู่ครองที่มีความพยายามเป็นอย่างมาก
“ข้าเถียงสู้เจ้าไม่ได้” ในที่สุดหนานกงเวิ่นเทียนก็เข้าใจ ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร ก็เถียงนางไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นถึงนางจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็เป็นเพราะคิดเผื่อเขาด้วย กลัวว่าปัญหาเรื่องพลังบำเพ็ญเพียร จะก่อให้เกิดปมในใจเขา อีกอย่าง นางก็ไม่พูดจาดูถูกเขา หลังจากที่รู้เรื่องที่น่าอับอายเมื่อชาติที่แล้วของเขา
“ไม่ใช่ เป็นเพราะท่านพี่รักข้า” หลิวหลีพูดอย่างไม่อายฟ้าอายดิน ไม่ได้รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย
“น้องพี่ คำพูดนี้ข้าควรจะเป็นคนพูด” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกอบอุ่นใจ ทั้งสองคนพูดคุยกันสักพัก หลิวหลีก็เริ่มเข้าฌานเพื่อดูดซึมพิษเพลิงในร่างกาย นี่เป็นของบำรุงชั้นดี นางต้องดูดซึมให้ดีๆ
หนานกงเวิ่นเทียนเตรียมดูดซึมสิ่งที่ได้มาจากการประลองกับจิ่งซู่ ถึงแม้เขาจะบ่นเรื่องพลังเทพของจิ่งซู่ แต่ก็ยังถือว่าเขายังได้อะไรกลับมาอยู่บ้าง จึงจำเป็นต้องย่อยสลาย
หลิวหลีรู้สีกว่าพิษเพลิงนั้นดูเหมือนถูกนางควบคุมไว้ได้แล้ว ถึงแม้จะออกมาตามว่าที่เพลิงเทพอันดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ยังเป็นแค่ว่าที่ ตอนนี้ยังไม่ใช่ พิษเพลิงอาจจะสามารถต่อต้านได้ อยากจะให้มันศิโรราบจำเป็นจะต้องมีพลังเหนือกว่า เริ่มก่อการกบฏในร่างกายของหลิวหลี เพียงแต่ว่า พิษไฟอาจจะยังไม่เข้าใจอะไร มันต่อต้านดิ้นรนต่างๆนานาในร่างกายนาง เพียงแต่ในร่างกายของหลิวหลีไม่ได้มีแค่ว่าที่เพลิงเทพอันดับหนึ่งเท่านั้น ยังมีเพลิงเทพอื่นๆอีก 9 ชนิด เมื่อถูกล้อม พิษเพลิงก็รู้สึกเหมือนตัวคนเดียว ถึงนางจรู้สึกว่าเป็นการรังแกมากเกินไป แต่ก็รู้สึกตลกไม่น้อย
เพลิงเทพในร่างหลิวหลี ในฐานะที่เป็นผู้ชนะก็จัดการแยกส่วนพิษเพลิง ให้กลายเป็นของที่หลิวหลีต้องการ เมล็ดพันธุ์สีรุ้งในร่างลอยออกมานอกร่างกาย ส่องแสงระยิบระยับอยู่ด้านบนหัวนาง ผ่านไปสักพัก เมล็ดพันธุ์สีรุ้งไหลเข้าร่างของนางแล้วแสงเหล่านั้นก็ค่อยๆถูกหลิวหลีดูดซึมเข้าไป
ณ ที่ห่างไกล เทพที่แท้จริงทั้งสามสัมผัสได้ถึง ‘พลังของเทพสูงสุด’ หรือว่าเทพสูงสุดจะปรากฏตัวแล้วหรือ เทพพสุธากับเทพวายุไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร แต่เทพราตรีเยี่ยโยวหวง กว่าพลังบำเพ็ญเพียรจะกลับมามั่นคง ก็ถูกทำลายลงไปไม่น้อย น่าเจ็บใจ เป็นใครกันแน่ ตำแหน่งเทพสูงสุดเป็นของเขาใครก็แย่งไปไม่ได้
หลิวหลีย่อมไม่รู้ตัวว่า ตัวเองได้เป็นที่สนใจของบอสใหญ่ เพียงแต่ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว และเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เทพที่แท้จริงหาตำแหน่งที่ชัดเจนของนางไม่เจอ แต่ก็ทำให้พวกเขาเริ่มสนใจ
หลิวหลียังคงอยู่ในขั้นตอนการดูดซึมและหลอมรวมพลัง หลังจากหลิวหลีดูดซึมแสงไปทั้งหมด นางก็พบว่าพลังเทพส่วนหนึ่งในร่างกายของตัวเองกลายเป็นอราณสีน้ำนม และทรงพลังกว่าเคย เพียงแต่นางรู้สึกว่ากลิ่นอายนี้ออกจะเก่าแก่ แต่นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเมล็ดพันธุ์สีรุ้งที่ไหลวนในร่างกายนาง เมล็ดพันธุ์นี้คืออะไรกันแน่ สีรุ้งกับที่ไร้สีต่างกันตรงไหน ทำไมร่างกายนางถึงได้มีพลังที่มีกลิ่นอายที่เก่าแก่เช่นนี้ถือกำเนิดขึ้น
เพียงแต่ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พิษเพลิงนี้ดื้อจริงๆ ไม่ยอมให้ดูดซึมง่ายๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าดูดซึมอะไรเข้าไปบ้าง สรุปคือ ตอนนี้หลิวหลีต้องการที่จะปล่อยไฟออกมา นางลืมตาขึ้นพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ
หนานกงเวิ่นเทียนดูดซึมมาถึงช่วงสุดท้ายแล้วเช่นกัน อยู่ๆก็สัมผัสได้ว่าในร่างกายหลิวหลีกำลังปั่นป่วน กำลังดูดซึมอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ๆในร่างกายถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เพิ่งลืมตาขึ้น ก็เห็นหลิวหลีมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่านางในตอนนี้ดูมีเสน่ห์อย่างมาก เขารู้สึกราวถูกดึงดูด จนเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ จนเขาตั้งสติได้ก็รู้สึกไม่ดี พลังเทพที่เอ่อล้นภายในร่างกาย ทำให้เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะบรรลุ สิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกเขินอายคือ ทั้งสองคนยังคงอยู่ด้วยกันอยู่ อีกทั้งเมล็ดพันธุ์ทั้งสองยังคงคลอเคลียกัน ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่เมล็ดพันธุ์ทั้งสองค่อนข้างจะเข้ากัน แสงประกายเมื่อเวลาอยู่ด้วยกันดูงดงามเป็นพิเศษ
“ท่านพี่ ตื่นแล้วงั้นหรือ?” เสียงที่ติดจะง่วงๆของหลิวหลีลอยเข้าหูเขา
“น้องพี่ ทำไมเจ้าถึงโดนพิษนี้ได้ล่ะ?” หนานกงเวิ่นเทียนงุนงง
“หืม? อาจจะเป็นเพราะไม่ยอม ก็เลยอยากจะทำลาย แต่คงไม่รู้ว่าเป็นไปอย่างที่ข้าหวังไว้” หลิวหลียิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น
นังหนูคนนี้ เรื่องแบบนี้เขาควรจะเป็นคนลงมือก่อนไม่ใช่หรือ
……………………………………..