เมื่อผลักประตูเข้าไป ด้านในเป็นเหมือนอีกโลก มีระเบียงรอบตัวบ้าน ภายในมีสะพานเล็กเหนือธารน้ำไหล มีพืชเทพหลากหลายชนิดเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์และยังมีป่าไผ่อยู่ริมหน้าต่างอีกด้วย หลิวหลีพอใจอย่างมาก ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวัตถุดิบในการปรุงยาอีกแล้ว อวิ๋นชิงรู้สึกอิจฉาจนลืมไปว่าตำหนักเล็กของตนนั้นเขาเป็นคนเลือกมาด้วยตัวเอง
เมื่อเดินผ่านสิ่งเหล่านี้ แล้วข้ามสะพานเล็กไปถึงจะเป็นห้องโถงหลัก มีการตกแต่งให้คล้ายกับสมัยราชวงศ์เหนือใต้[1]เล็กน้อย ดูประณีตงดงามอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าจะมีห้องครัว แต่อวิ๋นชิงย่อมไม่รู้จัก
“ห้องนี้ประหลาดจริงๆ ของพวกนี้ไม่เหมือนของที่ใช้ปรุงยา อีกอย่างเมื่อครู่ข้าก็เห็นห้องปรุงยาแล้ว” อวิ๋นชิงหยิบตะหลิวขึ้นมาสังเกตดู พยายามคิดว่านี่คือเครื่องมืออะไรในการปรุงยา หลิวหลีปรุงยาเก่งกาจขนาดนี้ ไม่แน่อาจจะต้องใช้เครื่องมือพิเศษ
“พี่ใหญ่อวิ๋น ท่านคิดมากเกินไปแล้ว นั่นเป็นเพียงตะหลิวที่ใช้ทำกับข้าว” หลิวหลีกลอกตา คนผู้นี้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินข้าวหรือ ไม่สิ ไม่เคยไปห้องครัวเลยหรืออย่างไร อืม ผู้อาวุโสป๋อเหยียนช่างเอาใจใส่ผู้อื่นจริงๆ คิดถึงข้าวของเหล่านี้เหลือเกิน ไม่ได้ลงมือทำมานานรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่นัก หลิวหลีชั่งน้ำหนักกระทะด้วยมือ
“ทำกับข้าวหรือ?” มันคืออะไร ฟังดูไม่เลว แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยใช้มาก่อน
“ถูกต้อง ทำกับข้าว พี่ใหญ่อวิ๋น ท่านน่าจะมีความทรงจำวัยเด็กอยู่บ้าง เหตุใดถึงไม่เคยเห็น” หลิวหลีเหลือเชื่อ คิดไม่ถึงว่านางจะได้รู้จักกับคุณชายผู้สูงส่ง
“แน่นอนสิ ตั้งแต่จำความได้ ข้าก็ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ กินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์เติบโตมา พอบรรลุช่วงบำเพ็ญเพียรก็ไม่ได้กินอะไร ตอนนี้บำเพ็ญเพียรถึงระดับนี้แล้ว นอกจากกินยาเทพศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ไม่เคยกินอะไรเลย” อวิ๋นชิงทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว
“จิ๊ๆ กระเพาะของท่านช่างน่าสงสารจริงๆ ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติเปรี้ยวหวานขมเผ็ดก็ถูกหยุดใช้งานเสียแล้ว น่าเวทนา น่าเสียดายจริงๆ” หลิวหลีมองอวิ๋นชิงอย่างสงสาร
“น่าเวทนาหรือ มีอะไรน่าเวทนากัน ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น” อวิ๋นชิงงุนงง ทุกคนก็เป็นแบบนี้ เหตุใดเขาถึงน่าสงสารล่ะ
“ช่างเถอะ ข้าต่างกับทุกคนเองแหละ” นางเคยเป็นเด็กยากจนที่กินไม่อิ่มเสื้อผ้าขาดแคลนมาก่อน จนมีสิทธิ์ได้เลือกอาหารที่ตนจะกิน เสื้อผ้าที่ตนจะสวมใส่ นางก็รู้สึกซาบซึ้งอยู่เหมือนกัน นางยังคิดถึงเรื่องอาหารอยู่ คงเป็นเพราะนาง ผู้อาวุโสป๋อเหยียนช่างละเอียดอ่อนดีจริงๆ
“ข้าวคืออะไร นังหนู ข้าไม่เคยกิน” อวิ๋นชิงมองหลิวหลีอย่างน่าสงสาร ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยเว้าวอน
“อืม ด้านนอกมีป่าไผ่อยู่พอดี กินข้าวหลามกันดีไหม?” หลิวหลีไม่เห็นห้องครัวก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้เห็นแล้ว อืม ชักจะคันไม้คันมือแล้ว
หนานกงเวิ่นเทียนพอใจกับห้องฝึกวิชาอย่างมาก ของภายในห้องล้วนเป็นสิ่งของที่ช่วยฝึกสมาธิ และสงบนิ่ง ซึ่งนี่ก็ทำให้อวิ๋นชิงเกิดอิจฉาอีกครั้ง ตำหนักเล็กของตนหรูหราทุกบริเวณก็จริง แต่เมื่อเทียบกับบ้านไม้ไผ่ของสามีภรรยาคู่นี้แล้ว มันธรรมดาเกินไป ที่พักของเขาดูธรรมดามากๆ เพียงชั่วขณะอวิ๋นชิงก็ไม่พอใจในที่พักของตนเสียแล้ว ดูสิบ้านไม้ไผ่หลังนี้ไม่ได้โดดเด่น ให้ความรู้สึกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ข้างในไม่ได้เก่งกาจ แต่ภายในบ้านไม้ไผ่กลับต่างจากภายนอกไปเสียหมด เมื่อได้กลิ่นพืชเทพข้างใน เขาก็รู้สึกว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตนเองรู้สึกสบายๆ อืม อยู่ๆก็ไม่ชอบที่พักของเขาแล้ว ไม่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องหาทางอาศัยอยู่ที่นี่ให้ได้ ที่นี่เหมาะแก่การฝึกบำเพ็ญของเขามาก
“พี่หนานกง ข้าขอปรึกษาด้วยหน่อยสิ” อวิ๋นชิงถูมือด้วยสีหน้าเงอะงะ
“ว่ามา” อย่าทำหน้าแบบนี้ก็พอ มันทำให้รู้สึกคันไม้คันมืออยากต่อยคน
“คือว่า เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธาตุพฤกษา พืชเทพของเจ้าที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก มีพลังปราณพฤกษาหนาแน่น เหมาะกับการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรของข้า” อวิ๋นชิงยื่นหน้าพูด
“เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ได้ ในฐานะที่เป็นประมุขเทพ เจ้างานยุ่งมาก จำเป็นต้องต้อนรับคนมากมาย ข้ากับน้องหญิงชอบอยู่เงียบๆ ไม่สะดวก” หนานกงเวิ่นเทียนปฏิเสธทันควัน
อวิ๋นชิงเองก็รู้สึกว่าทุกวันนี้ตนเองเจอคนไม่น้อย ดังนั้นจึงได้แต่มองด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์และยอมแพ้ไปเอง ตัดสินใจว่า ตั้งแต่วันนี้หากมีเวลาว่างก็จะมา เพียงแต่ ไม่นานเขาก็ไม่มีความคิดเช่นนี้อีกแล้ว
“พี่หนานกง เจ้าไม่ได้บอกว่าพวกเจ้าชอบความสงบหรอกหรือ” อวิ๋นชิงออกเสียงคำว่า ‘ชอบความสงบ’ ชัดเป็นพิเศษ
“เด็กน้อยโวยวายชวนให้หงุดหงิดกว่าเดิม” หนานกงเวิ่นเทียนมองเด็กแฝดที่ก่อกวนไปทั่วด้วยสีหน้าเช่นเดิมและตอบออกมา
แปลว่าไม่ชอบเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เท่านั้น? หรือแค่ไม่ชอบหน้าเขากันแน่ สองคนนั่นเรียกว่าเด็กได้ด้วยหรือ ต่างจากเขาหรืออย่างไร
“พี่หนานกง เจ้าไม่ชอบข้าหรือ?” อวิ๋นชิแหย่เล่น
“ใช่ ถือว่าเจ้ายังพอรู้ตัว ไม่เลวนี่” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า ทำสีหน้าเหมือนกับว่าในที่สุดก็รู้สักที
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ” อวิ๋นชิงคิดว่าเขาไม่ได้ทำอะไร เหตุใดถึงได้ถูกอีกฝ่ายรังเกียจเช่นนี้ จนไม่เก็บงำความรู้สึกแม้แต่น้อย
“เอาแต่วนเวียนอยู่รอบตัวภรรยาคนอื่น เจ้าคิดว่าข้าที่เป็นสามีจะรู้สึกอย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนตอบกลับไปอย่างเปิดเผย ความไม่พอใจฉายชัดในดวงตา
ดังนั้นเขาถูกคนขี้หึงนี่เกลียดขี้หน้าไปแล้ว คิดแล้วก็เสียใจทีเดียว วันๆถูกนังหนูเหน็บแนมจนสงสัยความสามารถของตัวเอง แล้วยังโดนสามีของนางเหม็นขี้หน้าที่เขาเข้าใกล้นางอีก ทำให้ตอนนี้อวิ๋นชิงอดสงสัยไม่ได้ว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงได้ซวยเลือกพลาดเช่นนี้ คราวนี้จะทำอย่างไรได้ ต้องกล้ำกลืนฝืนทนไว้คนเดียว
“ข้าแค่มาถกปัญหาชีวิตกับหลิวหลี” อวิ๋นชิงเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย
“ขอโทษด้วย ชีวิตของน้องหญิงข้าไม่มีเจ้า เจ้าไปถามเอากับคนอื่นเอาดีกว่า” หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างไร้อารมณ์ เขาไม่ต่อยให้ก็ดีแล้ว ถกปัญหาชีวิตอะไรกัน
“ปิงเซียว เหลยรุ่ย ถ้ายังเล่นกันอยู่อีก ไม่ว่าท่านน้าหลิวหลีของพวกเจ้าจะทำโทษอย่างไร ข้าก็จะไม่ช่วยแล้วนะ” หนานกงเวิ่นเทียนตะโกนพูดกับฝาแฝดที่กำลังเล่นกันอย่างสุดเหวี่ยง
“เข้าใจแล้วท่านน้าเขย”
“ท่านน้าเขย สภาพแวดล้อมที่นี่ดีมากจริงๆ พวกข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไหม” ปิงเซียวเอ่ย
“ใช่ ท่านพ่อท่านแม่พวกข้า ท่านน้าจื่อฉี แล้วก็น้าสะใภ้เข้าฌานกันหมด ท่านน้ากับท่านน้าเขยคงไม่เข้าฌานในเร็ววันนี้หรอกใช่ไหม จะได้สอนพวกข้าพอดี พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ไหม” เหลยรุ่ยเสริม
“แน่นอน มีห้องของพวกเจ้าพอดี โชคดีที่ช่วงนี้ข้าไม่มีเรื่องอะไร ยังพอจะชี้แนะพวกเจ้าได้” หนานกงเวิ่นเทียนตอบอย่างไม่ลังเล ทำให้อวิ๋นชิงเศร้าใจกว่าเดิม จะเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรือ ตอบอย่างไม่ลังเลเหมือนกัน แต่เป็นปฏิเสธอย่างไม่ลังเล และตกปากรับคำอย่างไม่ลังเล
“พวกเจ้าเล่นกันพอหรือยัง อยากลองชิมอาหารที่ทำจากพืชเทพที่ปลูกในสวนนี้ดูไหม” หลิวหลีตะโกน
สุดท้ายอวิ๋นชิงที่ไม่รู้จักว่าข้าวคืออะไรก็กินจนหมดอย่างดุเดือดราวเปลี่ยนความเสียใจเป็นความอยากอาหารแทน
“พี่ใหญ่อวิ๋น ไปเจอเรื่องกระทบกระเทือนใจอะไรมาหรือ” หลิวหลีกระพริบตาปริบๆ ถึงจะไม่เคยกินข้าวแต่ก็ไม่ต้องกินดุเดือดขนาดนั้นก็ได้ ทำเหมือนกับจะกินจานเข้าไปในท้องด้วยเลย
“ไม่มีอะไรหรอก เขาเข้าใจเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฝีมือของน้องหญิงดีนัก คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงโลกเทพ จะยังสามารถกินของพวกนี้ได้ แถมยังช่วยในการฝึกฝนบำเพ็ญอีก” หนานกงเวิ่นเทียนเปลี่ยนเรื่อง
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสป๋อเหยียน ที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ” เมื่อหลิวหลีพูดถึงป๋อเหยียนก็ซาบซึ้งใจไม่น้อย
“ก็จริง ใช่สิ เด็ก 2 คนจะอยู่กับเรา พวกเราเพิ่งออกจากฌานมาพอดี ชี้แนะพวกเขาเล็กๆน้อยๆได้ พลังของพวกเขาควรจะพัฒนาได้แล้ว” หลิวหลีมองฝาแฝดที่แย่งอาหารกับอวิ๋นชิง เป็นครั้งแรกที่ไม่ลงไม้ลงมือ
“ก็ดีเหมือนกัน วัตถุดิบที่นี่อุดมสมบูรณ์ สามารถฝึกปรุงยาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จำเป็นต้องใช้ให้มากเข้า” หลิวหลีพยักหน้า คิดว่าต่อไปพวกเขาจะได้พักผ่อนสักพัก
“แล้วแต่เจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นด้วย พอปรุงยาก็จะไม่ต้องเจอกับอวิ๋นชิง ดีมากทีเดียว
……………………………..
[1] ราชวงศ์เหนือใต้ (南北朝 ค.ศ. 420 – 589)