ถึงแม้สุดท้ายหลิวหลีจะพูดแบบนั้น แต่พวกเขารู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่นางพูดคือเรื่องจริง อวิ๋นชิงมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น เรื่องว่าที่เทพที่แท้จริงบ้าระห่ำเกินไป คนธรรมดาอย่างพวกเขาไม่เข้าใจหรอก
“น้องหญิง ไหนคุยกันว่าจะไม่เร่งรัดเกินไปไม่ใช่หรือ ทำไมจู่ๆเจ้าถึงได้ทำแบบนั้นล่ะ” หนานกงเวิ่นเทียนสับสน เหตุใดน้องหญิงที่โน้มน้าวให้เขาใจเย็นถึงได้ใจร้อนแบบนี้
“เพราะพบว่าพวกเขายังห่างอีกขั้นขาดอีกก้าวอยู่เลย ช่วยพวกเขาสักหน่อย จะได้ถือโอกาสเตือนสติ อย่างไรเสียก็ขึ้นอยู่กับความสัคครใจของพวกเขาไม่ใช่หรือ” หลิวหลีกล่าว
“ก็ใช่ แต่เจ้าใจร้อนไปหน่อย” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
“ท่านพี่ ข้าคิดว่าตอนนี้เรามีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องทำ” หลิวหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก
“อะไรหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนพลอยเครียดไปกับนาง
“ก็การบำเพ็ญร่วมไง พวกเราไม่ได้สื่อสารกันนานแล้ว ดังนั้นการเชื่อมสัมพันธ์ถึงได้สำคัญอย่างมาก” หลิวหลีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หนานกงเวิ่นเทียนมุมปากกระตุก ทั้งๆที่รู้ว่านังหนูคนนี้ร้ายกาจแต่เขาก็ดันหลงกลทุกครั้งไป สุดท้ายก็ถูกนางลากไปเชื่อมสัมพันธ์ มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่หลิวหลีจะไร้ยางอายเป็นพิเศษ
“ท่านพี่อาเลี่ย ข้ารู้สึกว่าท่านพี่ไม่ได้พูดเล่น หรือนางไปเจออะไรเข้า” จื่อฉีถามเอ๋าเลี่ยในขณะที่เกาะอีกฝ่ายแจ
“ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้น เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง ก็เหมือนที่นังหนูนั่นบอกนั่นแหละ ข้าแค่อยากรู้ว่าอะไรทำให้นังหนูที่ไม่เกรงกลัวอะไร กลับรู้สึกไม่ปลอดภัยได้มากขนาดนี้” เอ๋าเลี่ยหน้านิ่วขณะครุ่นคิด แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ
“เทพที่แท้จริง ในบรรดาเทพที่แท้จริงมีศัตรูของนังหนู” อิงเสวี่ยเปิดปากพูด ถึงนางจะไม่มีความทรงจำใดๆในช่วงชีวิตนั้น แต่เมื่อทำพันธสัญญากับหนานกงเวิ่นเทียนนานมากเข้า จึงมีบางอย่างที่นางพอจะรู้อยู่บ้าง สิ่งที่ทำให้สองคนนั้นเป็นเช่นนี้ก็มีเพียงเทพที่แท้จริงเท่านั้น หากพูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือจักรพรรดิเทพในตอนนี้ไม่อยู่ในสายตาของนังหนูเลยสักนิด เช่นนั้นสิ่งที่ทำให้นางหวาดระแวงมีเพียงเทพที่แท้จริงเท่านั้น
“เทพที่แท้จริง บัดนี้มีเทพที่แท้จริงอยู่เพียงสามคนเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งพวกเขาสามคนจะทำให้นังหนูรู้สึกไม่ปลอดภัย” ทันใดนั้นเองนั้นเอ๋าเลี่ยก็เริ่มคาดเดาใครกันแน่
“เทพพสุธาคงเป็นไปไม่ได้เพราะได้ยินมาว่าเขาเป็นคนดี เทพวายุก็เป็นไปไม่ได้อีกเพราะเขาเป็นคนตรงไปตรงมา ส่วนเทพรัตติกาลก็คงไม่มั้ง ว่ากันว่าเทพรัตติกาลเข้าฌานมานานแล้ว แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือนังหนูเคยเจอเทพที่แท้จริงทั้งสามด้วยหรือ” เอ๋าเลี่ยคิดๆ แต่ไม่ว่าจะคนไหนก็ไม่เหมือนคนที่จะคุกคามนังหนูได้เลย หรือจะถึงขนาดฆ่านังหนูเชียวหรือ
“เทพรัตติกาลชื่ออะไร?” จู่ๆอิงเสวี่ยก็ถามขึ้นมา
“เทพรัตติกาลหรือ หากจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นได้ยินมาว่าชื่อเยี่ยโยวหวง” พอเอ๋าเลี่ยพูดจบ ก็เข้าใจขึ้นทันที
“เทพรัตติกาลนี่เอง” ทั้งสามประสานเสียง คงไม่ใช่ว่านังหนูนี่โยงไปถึงเยี่ยซิงหวงในโลกบำเพ็ญเพียร แล้วเยี่ยชิงขวงในโลกเซียนด้วย สกุลเยี่ยเหมือนกัน หน้าตาเหมือนกัน เช่นนั้นเทพรัตติกาลผู้นี้นังหนูเคยเจอมาก่อนหรือ?
“น่าจะเป็นเทพรัตติกาลผู้นี้แหละ ถึงแม้จะไม่เคยพบมาก่อน แต่ว่ากันว่าเป็นคนทะเยอทะยานใฝ่สูง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้เข้าฌานกะทันหัน ถ้าจะบอกว่าในโลกเทพสามารถสร้างแรงกดดันให้นังหนูได้มีแต่เทพที่แท้จริงแล้วละก็ เช่นนั้นเทพรัตติกาลผู้นี้ก็คือตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ใช่ ถ้าจะบอกว่าเป็นเทพรัตติกาล พลังบำเพ็ญของเรายังอ่อนหัดไปจริงๆ เทพที่แท้จริงใช้แต่มือเดียวก็รับมือพวกเราแต่ละคนได้โดยไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ทั้งสามคนเองก็รู้สึกได้ถึงอันตราย แต่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้มู่มู่ฟังเพราะพลังบำเพ็ญของนางยังต่ำเกินไป พอกลับมาก็เข้าฌานเพื่อหลอมละลายพลังยาที่เหลือ อีกอย่างพวกเขาต่างก็ตั้งใจว่าจะไม่ให้นางเข้ามาพัวพันด้วย
“คงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง นังหนูคิดมากเกินไปหรือเปล่า” จื่อฉีคิดเช่นนี้
“ก็ไม่แน่ ถ้าคิดเช่นนี้ ก็แปลว่าที่จริงแล้วสองคนนั้นเป็นคนที่เทพรัตติกาลส่งไป เช่นนั้นเทพรัตติกาลผู้นี้ก็คือผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เขาเป็นเทพที่แท้จริงแล้ว ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ดึงดูดเขาจะเป็นอะไรไปได้” อิงเสวี่ยตั้งสมมติฐานขึ้นมา ในเมื่อเป็นถึงเทพที่แท้จริงแล้ว ถ้าเช่นนั้นสิ่งเดียวที่จะดึงดูดเขาได้ก็มีเพียงแต่ตำแหน่งมหาเทพสูงสุดแล้ว
“เทพรัตติกาลคงอยากได้ตำแหน่งนั้น” สิ่งที่ดึงดูดเทพที่แท้จริงได้ก็คงมีแต่ตำแหน่งที่สูงสุดนั่น รวมโลกบำเพ็ญให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วค่อยรวมโลกเทพให้เป็นหนึ่งเดียวกันอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก และหากเป็นเช่นนี้จริงๆนังหนูสองสามีภรรยาและผู้ช่วยที่คอยทำแผนของอีกฝ่ายเละไม่เป็นท่าครั้งแล้วครั้งเล่า ก็จริงอยู่ที่จะดูขัดหูขัดตา เทพที่แท้จริงคิดจะจัดการพวกเขาก็ง่ายดายเหมือนฆ่ามดแมลงเท่านั้น
“มีเพียงสมมติฐานนี้เท่านั้น ดังนั้นนังหนูไม่ได้ทำเพื่อตัวนางเองแต่นางเป็นห่วงพวกเรา กลัวว่าพวกเราจะติดร่างแหไปด้วย ดังนั้นนางจึงหวังว่าพวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นและมีพลังมากกว่านี้ ต่อให้ถึงตอนนั้นพวกเขาก็ปกป้องตัวเองได้” เอ๋าเลี่ยกล่าวต่อ
“พอคิดแบบนี้แล้วรู้สึกกลัวเลย” อิงเสวี่ยกล่าว
ถึงขนาดสืบทอดตำแหน่งเทพที่แท้จริงแล้ว ยังไม่พอใจอีก เช่นนั้นสาเหตุที่เทพรัตติกาลเก็บตัวเข้าฌานนั้น ก็ควรค่าให้ลองสืบดู
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมองเรื่องทั้งหมดออกในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ไม่เลวเลยๆ สมแล้วที่เป็นเพื่อนนังหนู เพียงแต่คิดได้ในตอนนี้ก็ถือว่าถูกแล้ว เพราะเทพรัตติกาลนั่นยังต้องเข้าฌานอยู่อีกสักระยะ แต่จะว่าไปก็เป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีสำหรับเขา ทันทีที่เทพรัตติกาลออกฌาน ก็คงนึกเรื่องร่างแยกสองร่างออกเอง ข่าวดีคือพวกเขาสามารถบรรลุเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพที่แท้จริงและเปิดประตูให้ได้ ก่อนจะถึงเวลานั้น เฮ้อ แต่โชคชะตาจะเป็นอย่างไรคงต้องขึ้นอยู่กับพวกเขา ข้ายืนหยัดอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” ป๋อเหยียนพึมพำขณะมองสามคนนั้นสนทนากัน รอบตัวของเขามีจอภาพฉายของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดบนภูเขาเทพ ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ เขาคิดไม่ถึงว่าหลิวหลีจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว แถมยังรู้สึกถึงอันตรายได้เป็นอย่างดี แต่มีเพียงภาพฉายของหลิวหลีที่ยังมืดสนิทอยู่ ส่วนเขาเองก็ไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอยู่แล้ว
ส่วนหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเชื่อมสัมพันธ์กันไปแล้วรอบหนึ่งจริงๆ หนานกงเวิ่นเทียนก็พบว่าอารมณ์หงุดหงิดของเขาหายไปหมดแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นเขาพบว่าหลิวหลีลอบถ่ายทอดไอสีน้ำนมมาที่เมล็ดพันธุ์เหมันต์ของเขาไม่น้อย ส่งผลให้เมล็ดพันธุ์ในร่างกายเขาเติบโตเป็นอย่างดี แต่เมล็ดพันธุ์ของนางเป็นอย่างไรนั้นเขามองไม่เห็น
“น้องหญิง เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ข้าดูเมล็ดพันธุ์ของเจ้า?” หนานกงเวิ่นเทียนถาม
“เออคือว่า เมล็ดพันธุ์ของข้าไม่มีอะไรให้ดูสักหน่อย” รูปร่างกลมดิ๊กแบบนั้นจะให้คนอื่นดูได้อย่างไร และเหตุใดจู่ๆสามีของนางถึงนึกอยากดูขึ้นมาล่ะ
“น้องหญิง หรือเมล็ดพันธุ์ของเจ้ามีอะไรผิดปกติหรือ เจ้าถึงไม่ให้ข้าดู” หนานกงเวิ่นเทียนคิดเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาน้องหญิงของเขาไม่เคยพูดคำว่าไม่ได้กับเขาเลย ดังนั้นต้องมีอปัญหาอะไรแน่
“ก็ได้ ท่านพี่ดูสิ ห้ามหัวเราะเยาะล่ะ” หลิวหลีเลิกดิ้นรน ไม่อย่างนั้น ท่านพี่ของนางต้องคิดมากแน่ ๆ
หนางกงเวิ่นเทียนจ้องเจ้าลูกกลมๆสีรุ้งเม็ดนั้นอยู่นานโดยไม่พูดอะไร เมล็ดพันธุ์สามารถพองตัวจนมีสภาพแบบนี้ได้ด้วยหรือ เขาเองก็ไม่เคยเปรียบเทียบมาก่อน ดังนั้นเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสถานการณ์ของหลิวหลีในตอนนี้คืออะไรกันแน่
“น้องหญิง ลูกกลมหลากสีเม็ดนี้ของเจ้าช่างน่ารักนัก เพียงแต่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้” หนานกงเวิ่นเทียนโพล่งถามเรื่องนี้
“น่าจะบำรุงเยอะเกินไปหน่อย” หลิวหลีเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก อย่างไรเสียนางก็รู้สึกได้ว่าเมล็ดพันธุ์ของท่านพี่ไม่ต้องพัฒนาอะไรอีก แต่ของนางยังต้องพัฒนาอีก น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้
………………………………………………………….