“นี่ก็เพราะก่อนนี้ไม่รู้ไม่ใช่หรือไง คราวนี้พอรู้ก็บอกพวกเจ้าว่าไม่ต้องเคร่งเครียดไปมิใช่หรือ” หลิวหลีลูบไล้เส้นผมของตนอย่างใจฝ่อ หนานกงเวิ่นเทียนเสสายตามองที่อื่นราวตรงนั้นมีดอกไม้อยู่
“เหอะ ๆ” ทั้งสี่คนหัวเราะเสียงเย็น คนที่เคร่งเครียดก็คือนังหนู คนที่ทำตัวสบายๆก็ยังเป็นนาง ทำไมถึงทำให้รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลยนะ พวกเขาเอาชนะนางไม่ได้เลย
“นังหนู งั้นที่เจ้าเรียกพวกข้ามาคงไม่ได้จะพูดแค่นี้มั้ง” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“นั่นสิ ท่านพี่ยังมีอะไรอีกใช่ไหม” จื่อฉีเองก็ถูกพี่สาวเขาทำให้ตกใจจนหายใจติดขัด รู้สึกเหมือนว่าหัวใจของพวกเขาได้รับการฝึกฝน จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อให้ได้พัฒนาไปอีกขั้น นี่แปลว่าพวกเขายังมีช่องว่างให้พัฒนาได้อีกใช่หรือไม่ คุ้มค่าให้ฉลองเสียนี่กระไร แต่อวิ๋นชิงกลับรู้สึกชาวาบ นังหนูผู้เหี้ยมโหดคนนี้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ทำให้พวกเขาใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ ทำแบบนี้สนุกมากนักหรือไม่สิ เขายังแข็งแกร่งไม่พอ ไม่เช่นนั้นจะถูกนังหนูนี่จูงจมูกจนตัวเองทำตามนางหรือ
“อืม ดังนั้นข้ายังมีเวลา ยังมีโอกาสพัฒนาอีกสักระยะหนึ่ง” หลิวหลีสื่อว่าพวกเรายังมีเวลา เทพรัตติกาลยังไม่รู้จักพวกเขา พวกเรายังมีเวลาพัฒนาและเตรียมความพร้อม
“นังหนู มีอีกหนึ่งคำถาม เจ้ารู้ได้อย่างไร แม้แต่อนาคตของจักรพรรดิเทเป็นอย่างไร เจ้ายังมองไม่ออก เหตุใดจู่ๆถึงมองออกล่ะ” เอ๋าเลี่ยถามด้วยอย่างเคร่งขรึม นังหนูคงไม่ได้ทำอะไรหรอกใช่ไหม
“นั่นสิท่านพี่ ท่านพี่เอ๋าเลี่ยพูดถูก ท่านพี่ใช้อะไรใช่ไหม” จือฉีเองก็รู้สึกว่าทะแม่งๆ ทุกคนมองมาที่หลิวหลี ความรู้สึกที่มีคนห่วงใยมันดีจริงๆ เพียงแต่นางเหมือนคนไม่มีสติ ถูกบีบบังคับจนต้องทำเรื่องโง่ๆอย่างนั้นหรือ
“วางใจเถอะ น้องหญิงไม่ทำเรื่องโง่ๆหรอก ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ปล่อยนางหรอก” หนานกงเวิ่นเทียนที่ทำหน้านิ่งมาตลอดปริปากเอ่ย คิดแล้วน้องหญิงของเขาคงจะจัดการความสุขและความไม่สบายใจคือการทรมานเขาและเชื่อมสัมพันธ์ พอคิดถึงเรื่องนี้เขาก็อดหน้าแดงไม่ได้ ถึงจะเป็นสามีภรรยากันแต่ทุกครั้งกลับเป็นเขาเคอะเขิน
พวกเขาทั้งสี่คนมองหนานกงเวิ่นเทียนที่หูแดงฉ่า แล้วหันไปมองหลิวหลีผู้ที่มีสีหน้าเรียบนิ่งไม่รู้จักเคอะเขินต่อสิ่งใด สองคนนี้ต้องเกิดผิดเพศกันแน่ แต่ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนนี้คงจะไม่เข้ากันได้ดีตลอด มักต้องเติมเต็มกันและกันต่างหากไม่ใช่หรือ
“แล้วท่านพี่รู้ได้อย่างไร” จื่อฉีถาม
“ทุกคนจำครั้งแรกที่เจอผู้อาวุโสป๋อเหยียนท่านนั้นที่ภูเขาเทวาได้ไหม” หลิวหลีเอ่ยเตือน
“เขา ทำไมเขาถึงใจดีบอกท่านพี่ได้” จื่อฉีถามแต่หลิวหลีไม่ตอบกลับแต่มองเขา
“ผู้สืบทอด เพราะนังหนูเป็นผู้สืบทอดของเทพผสม เช่นนั้นตอนแรกฉายาของเจ้าคงไม่ใช่ว่าที่เทพอัคคีสินะ” เอ๋าเลี่ยนึกขึ้นได้แล้วเอ่ยออกมา
“น่าจะใช่ ส่วนฉายาที่ควรปรากฏนั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร” หลิวหลีส่ายศีรษะ นางไม่รู้จริง ๆ
ป๋อเหยียนที่คอยเฝ้าดูพวกเขามาตลอดจ้องคำว่า ‘เทพผสม’ บนจอภาพของหลิวหลี นี่ถึงจะเป็นฉายาของนาง แต่คิดไม่ถึงว่านางจะหารือกับเพื่อนๆเร็วขนาดนี้ นังหนูนี่ใจกล้าไม่เบา ส่วนหลิวหลีที่ขายเขา เขาไม่มีท่าทีอะไร
“ไม่ใช่ว่าสมญานามแรกของเจ้าคือ ‘ราชาเทพผสม’ หรอกนะ” อวิ๋นชิงแหย่
“ก็ไม่แน่หรอก” และสามคนที่เหลือก็เห็นด้วย
“เรื่องนี้เราค่อยมาถกกันทีหลัง ตอนนี้ต้องคิดกันว่าจะจะเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองในช่วงที่เทพรัตติกาลเข้าฌานอยู่อย่างไร” หลิวหลีวกเข้าเรื่อง แล้วยังมาบอกว่านางฝึกฝนความแข็งแกร่งจิตใจของพวกเขา แล้วคนพวกนี้ไม่ได้ฝึกฝนจิตใจนางอยู่หรือ
“นังหนูเจ้าคิดจะทำอะไร พวกเราบรรลุขอบเขตพลังที่สูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้ หลังจากที่พวกเรากินยาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าให้เข้าไป จนตอนนี้ยังดูดซึมไม่ได้ด้วย” อวิ๋นชิงกล่าว
“เรื่องนี้ข้าไม่ได้คิดจะเร่งจนทุกอย่างล้มไม่เป็นท่าหรอกนะ แน่นอนว่าต้องรอให้พวกเจ้าดูดซับพลังยาเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่พวกเจ้าดูดซับเสร็จ อาเลี่ยพวกเจ้าทั้งสามน่าจะบรรลุถึงขอบเขตประมุขเทพแล้ว ส่วนท่านพี่อวิ๋นน่าจะบรรลุถึงประมุขเทพระดับสุดยอด หลังจากนี้ข้าจะปรุงยาเทพศักดิ์สิทธิ์ และจะบำเพ็ญเพียรให้บรรลุขอบเขตจักรพรรดิเทพและหลังจากนั้นเราก็จะลงมือได้แล้ว” ประโยคสุดท้ายของหลิวหลีกล่าวอย่างเหี้ยมโหดนัก ครั้งนี้พวกเขาต้องชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ
“ท่านพี่ คำพูดของท่านช่างดูอันตรายจริงๆ” จื่อฉีตกตะลึงกับสีหน้าของหลิวหลี เหตุใดนางถึงเหี้ยมโหดได้ขนาดนี้ แต่หัวใจของเขากลับเต้นระส่ำ เมื่อรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองจะได้ทดลองคือเรื่องอะไร ก็ตื่นเต้นเหลือเกิน
“พวกเจ้าเองก็อยากลองเหมือนกันไม่ใช่หรือ อย่าปฏิเสธเลย ช่วยเก็บอาการของพวกเจ้าก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากัน” หลิวหลีเอ่ยพลางมองเอ๋าเลี่ยที่เอากำปั้นถูฝ่ามือ อิงเสวี่ยที่ดวงตาเย็นชากลับมีไฟลุก จื่อฉีที่ใจร้อนอยากลิ้มลองเต็มที อวิ๋นชิงที่กำลังขบคิดอะไรอยู่
“ฮ่าๆ” พวกเขาสบตากันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ในที่สุดอวิ๋นชิงก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเข้ากันได้ดีขนาดนี้
“นังหนู ไม่รู้ว่าข้าจะเล่าเรื่องจริงบางส่วนให้ท่านพ่อฟังได้หรือไม่” อวิ๋นชิงครุ่นคิดแล้วถามหยั่งเชิง
“ได้สิ” หลิวหลีรู้สึกว่าไม่มีอะไร คนที่สั่งสอนลูกชายให้เป็นคนดีขนาดนี้ได้คงไม่เลวร้ายเกินไปหรอก
อวิ๋นเหมี่ยวมองลูกชายที่เอาแต่หัวเราะเหมือนคนบ้าตั้งแต่มาหาเขาอย่างประหลาดใจ ลูกชายของเขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงรู้สึกว่าคนตรงหน้ากลายเป็นคนโง่ไปแล้ว เจ้าบื้อนี่เป็นลูกของเขาจริงหรือ
“ท่านพ่อ ข้าดีใจ ดีใจมากด้วย” จู่ๆอวิ๋นชิงก็เปิดปากเอ่ย
“อืม แล้วมีเรื่องน่าดีใจอะไรกัน เจ้าถึงได้ตั้งใจโร่มาหัวเราะกับข้าถึงที่นี่” อวิ๋นเหมี่ยวถือโอกาสถาม
“ก็ต้องมีข่าวดีอยู่แล้ว” หางตาอวิ๋นชิงหยีลงเป็นรอยยิ้ม
“หืม?” อวิ๋นเหมี่ยวประหลาดใจนักว่าเรื่องที่ทำให้ลูกชายเขาหัวเราะเหมือนคนบ้าแบบนี้เป็นจะเรื่องใหญ่โตขนาดไหนกันแน่
“ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าวันข้างหน้าความสำเร็จของลูกชายท่านจะมีมากกว่าตัวท่าน” อวิ๋นชิงแสร้งเอ่ยด้วยท่าทีลึกลับ
“นี่ถือเป็นข่าวดีจริงๆ” ลูกชายประสบความสำเร็จกว่าเขา ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่เลยสักนิด แต่จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ บัดนี้เขาอยู่ในขั้นจักรพรรดิเทพ ถ้าลูกชายของเขาไปได้ไกลกว่าเช่นนั้นแปลว่า มือของอวิ๋นเหมี่ยวสั่นระริก เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไหมนะ
“ลูกชาย เจ้าจะบอกว่า เจ้าจะบอกว่า เจ้าจะคว้าตำแหน่งสูงสุดนั้นมาได้หรือ” อวิ๋นเหมี่ยวถามด้วยความตื่นเต้น
“เทพพฤกษา นี่คืออนาคตของลูกชายของท่าน” อวิ๋นชิงเอ่ยอย่างลำพองใจ
“เจ้าไปรู้มาจากไหน เหตุใดเจ้าถึงได้มั่นใจขนาดนี้” อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกว่าลูกชายของเขาไม่มีทางถูกหลอก ถึงบางครั้งเขาจะดูโง่เขลาไปบ้าง แต่ก็มีช่วงเวลาที่มีสติอยู่เช่นกัน
“ส่วนเอามาจากไหนตอนนี้คงยังบอกท่านพ่อไม่ได้ แต่นี่คือเรื่องจริง ข้าแค่อยากแบ่งปันให้ท่านรับรู้เท่านั้น ส่วนท่านพ่อที่เคยล้มเหลวมาครั้งหนึ่งก็ถือว่าหมดวาสนากับตำแหน่งนั้นแล้ว” ประโยคสุดท้ายอาจโหดร้ายกับท่านพ่อไปบ้าง แต่เขาก็ต้องบอกอีกฝ่าย เขาจะปล่อยให้คนเป็นบิดาฝังใจกับเรื่องเพ้อฝันไม่ได้
“แบบนี้นี่เอง พ่อเองก็พอจะนึกออก เพียงแต่พอได้ยินจากปากลูกแล้วจะรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง ถึงจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนบอกเจ้า แต่ถ้าสิ่งที่คนผู้นั้นพูดเป็นเรื่องจริง ข้าก็ดีใจมากแล้ว” อวิ๋นเหมี่ยวกล่าว
“ท่านพ่อ ข้าจะพยายามเพ่อให้ท่านภูมิใจ” อวิ๋นชิงพูดอย่างแน่วแน่
“เจ้าเป็นความภาคภูมิใจของข้ามาเสมอ ใครจะเก่งเหมือนลูกชายข้า เจ้าไม่ด้อยไปกว่าพ่อของเจ้าเลยสักนิด อายุแค่นี้ก็บรรลุขอบเขตประมุขเทพแล้ว” นี่เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเหมี่ยวยอมรับ ยอมรับในตัวบุตรชายของเขา
ยอมรับและมั่นใจในตัวลูกชายตน
“ท่านพ่อ ท่านพูดจาซึ้งขนาดนี้ ทำเอาข้าไม่อยากเข้าฌานแล้ว”
“เจ้ารีบกลับไปเข้าฌานเดี๋ยวนี้เลย อย่าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่แน่นอน ถ้าเจ้าไม่พยายามในไม่ช้าก็คงได้เปลี่ยนคน” อวิ๋นเหมี่ยวเตะลูกชาย
ซึ้งได้ไม่เกินสามวินาทีจริงๆ แต่อวิ๋นชิงก็ไปเข้าฌานอย่างผ่อนคลาย ถ้าท่านพ่อของเขารู้ว่าตนบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเทพได้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าเช่นไรบ้าง ช่างน่ารอคอยจริง ๆ
“เจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่ามาโอ้อวดหรือยั่วโมโหข้ากันแน่” ถึงอวิ๋นเหมี่ยวจะพูดเช่นนี้แต่กลับรู้สึกดีใจไม่น้อย ลูกชายของเขาไม่ทำให้เขาปิดหวังเลยจริงๆ เรื่องนี้นังหนูหลงหลิวหลีคงเป็นคนบอกเขาสินะ เพียงแต่ว่าที่เทพที่แท้จริงเก่งจนสามารถมองเห็นอนาคตของคนที่จะกลายเป็นเทพได้เหมือนเขาเลยหรือ
“ท่านพี่ ข้ารู้สึกเหมือนข้าลืมบอกอะไรพวกเขาไป” พอแยกย้ายกัน หลิวหลีก็พยายามคิดทบทวนเหมือนตัวเองจะลืมอะไรไป
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เหมือนมีเรื่องอะไรที่พวกเราลืมไปแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนเองก็รู้สึกเหมือนกัน พวกเขาก็บอกเรื่องเทพรัตติกาลไปแล้ว
“น้องหญิง เหมือนพวกเราจะลืมบอกพวกเขาเรื่องที่ตัวเทพรัตติกาลเองก็อยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เขายังอยู่ในตำแหน่งแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้สืบทอดปรากฏตัวขึ้นทำเอาอายจนพูดไม่ออก” หนานกงเวิ่นเทียนคิดขึ้นได้กะทันหัน
“นั่นสิ ลืมไปเลยจริงๆ แต่ว่าในเมื่อลืมแล้วก็ช่างมันเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร” หลิวหลีรู้สึกว่าหลังจบเรื่องนี้แล้วค่อยบอกพวกเขาก็เหมือนๆกัน
…………………………………………….