ทุกคนทำตามที่หลิวหลีบอกอย่างไม่ลังเล จึงไม่มีกลิ่นยาหลุดลอยออกมาสักนิด แต่ฤทธิ์ยาทำให้หน้าคนอื่นเปลี่ยนสีไป ทำไมถึงได้รุนแรงขนาดนี้ ทำไมนังหนูคนนี้ไม่พูดอะไร
“เหมือนจะลืมอะไรไป?” หลิวหลีถามด้วยความสงสัย
“คงไม่หรอก สิ่งที่ควรบอก น้องหญิงก็บอกหมดแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรตกหล่น
“ท่านพี่ ท่านต้องใช้ยาเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างระมัดระวังนะ เพราะมันอาจพุ่งออกมาทันที ท่านต้องค่อยๆแบ่งออกมาทีละน้อย ไม่อย่างนั้นจะเจ็บปวด” เมื่อหลิวหลีพูดจบ ก็เหมือนว่าในที่สุดสมองก็กลับมาเข้าร่องเข้ารอย ดูเหมือนว่าจะลืมบอกเรื่องนี้กับพวกเขา แต่พวกเขาล้วนเป็นคนจะเข้าชิงตำแหน่งเทพที่แท้จริง น่าจะสามารถอดทนกับความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยนี้ได้ และก็เป็นอย่างที่หลิวหลีคาดเดาเอาไว้ พวกเขาเป็นถึงคนที่จะเข้าร่วมช่วงชิงตำแหน่งเทพแท้จริง หากแค่ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยนี้ยังทนไม่ได้ จะมาพูดเรื่องท้าชิงตำแหน่งอะไรอีก แต่ละคนฝืนกัดฟันทนเอาไว้
“ได้เลย” หนานกงเวิ่นเทียนรับขวดยามาแล้วพยักหน้า เขาต้องทำให้สำเร็จ นี่เป็นยาที่ภรรยาของเขาเสี่ยงตายปรุงมันออกมา เขาจะทำให้นางผิดหวังไม่ได้
หลิวหลีกินเข้าไปหนึ่งเม็ดเช่นกัน ผลคือฤทธิ์ยาไหลเวียนไปตามเส้นเลือดในร่างกายของนางอย่างนุ่มนวล หลิวหลีสงสัย ตอนที่ปรุงยานางก็พอรู้ว่าฤทธิ์ยารุนแรงขนาดไหน แต่ฤทธิ์ยาที่เบาบางแบบนี้จะแปลว่านางกินยาผิดไปหรือเปล่านะ หลิวหลีพินิจดูอย่างละเอียดก็พบว่าปราณผสมแยกส่วนของยา และปล่อยแค่ฤทธิ์ยาที่เบาบางให้ตนเอง ปราณผสมนี่ดีจริงๆ เพียงแต่ยิ่งเป็นของที่ดีมากแค่ไหน ก็ยิ่งครอบครองได้ยากยิ่งขึ้น หลิวหลีคิดฟุ้งซ่านสักพักก็เริ่มดูดซึมยา
เป็นความสงบก่อนพายุจะมา เป็นความสงบที่ผิดปกติ หลายคนสัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ร้ายที่ใกล้จะเริ่มต้นขึ้น
ณ ตำหนักเทพรัตติกาล ในที่สุดเยี่ยโยวหวงก็รักษาส่วนที่ผิดปกติของร่างกายจนหาย แต่กลับแสยะยิ้มเย็นชา คิดไม่ถึงว่าร่างแยกทั้งสองของเขาจะตายด้วยเงื้อมมือคนๆเดียวกัน หรือคนผู้นั้นจะเป็นตัวซวยของตนเอง หลงหลิวหลี เจ้าเป็นใครกันแน่ เป็นคนแบบไหนถึงได้ทำเรื่องใหญ่ของเขาพังถึงสองครั้ง เมื่อนึกถึงจุดจบของร่างแยกทั้งสองของเขาแล้ว เยี่ยโยวหวงก็โมโหจนกัดฟันกรอด น่าชังนัก ทำไมถึงได้มีคนที่น่าชังแบบนี้ ชวนให้หัวเสียอย่างยิ่ง ดังนั้นครั้งนี้เขาจะต้องลงมือทำลายเจ้าเด็กนั่นเสียก่อน แต่ภูเขาเทพเป็นพื้นที่ของตาเฒ่าป๋อเหยียน เขาทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก
“เจียงไหว เหยียนซวี่ เจ้าเคยเจอคนชื่อหลงหลิวหลีหรือไม่” เยี่ยโยวหวงนึกถึงหุ่นเชิดทั้งสองของตนขึ้นมาได้จึงรีบถามพวกเขา ตอนนี้ก็พอจะเห็นประโยชน์อยู่บ้าง
“เคยขอรับ ได้ยินมาว่าเป็นนักปรุงยาที่เก่งกาจมาก ตอนนี้มีพลังบำเพ็ญเพียรในขั้นประมุขเทพ” เจียงไหวรีบตอบ เหลือบตามองเหยียนซวี่อย่างได้ใจ
“นางใช้เวลาไม่นานก็บรรลุเป็นเทพ ความสามารถในการควบคุมไฟแข็งแกร่งมาก ราวเพลิงเทพเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” เหยียนซวี่ไม่สนใจการยั่วยุของเจียงไหว พูดเสริม
“นับว่าโดดเด่นจริงๆ เพิ่งเป็นประมุขเทพได้ไม่เท่าไหร่ เจียงไหว เดี๋ยวนะ ข้าให้ทรัพยากรที่ดีขนาดนั้นกับเจ้า เจ้ากลับยังอยู่ขั้นราชาเทพ ดูท่าข้าคงจะเลือกคนผิด ทำให้ข้าผิดหวังมากจริงๆ” เยี่ยโยวหวงมองหุ่นเชิดทั้งสองของตน อยู่ๆก็ไม่พอใจขึ้นมา เหยียนซวี่นั้นก็ช่าง เพิ่งจะบรรลุเป็นเทพ พลังบำเพ็ญเพียรจะอยู่ในขั้นราชาเทพเท่านั้นก็ไม่แปลก แต่เจียงไหวอยู่ภูเขาเทพมานานขนาดนี้แล้ว แถมยังได้การฟูมฟักของตนเอง แต่ก็ยังอยู่ที่ขั้นราชาเทพ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ
เจียงไหวเหงื่อตก การฝึกฝนของเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น ทรัพยากรที่เยี่ยโยวหวงให้มา ส่วนใหญ่ๆเขาเอาไปเลี้ยงแมลงกู่ตัวนั้น สุดท้ายก็ถูกหลงหลิวหลีกำจัดจนไม่เหลือซาก ตนยังบอกกับนายท่านไม่ได้ ไม่อย่างนั้น ไม่รู้ว่านายท่านจะจัดการเขาอย่างไร แต่การที่เขาไม่กล้าพูดมันก็ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก
“ขอรับ เจียงไหวโง่เขลาเบาปัญญา ทำให้นายท่านผิดหวัง” เจียงไหวพูดด้วยท่าทางนบนอบ
“ช่างเถอะ ตอนนี้ข้าจะสนใจอะไรมากมายไม่ได้ เหยียนซวี่ เจียงไหว ข้ามีงานให้พวกเจ้าทำ หากมีโอกาสทำให้หลงหลิวหลีนั่นออกมาจากภูเขาเทพสักพัก” เยี่ยโยวหวงพูด ต้องออกจากภูเขาเทพเท่านั้น ถึงก็จะไม่ใช่อาณาเขตของตาเฒ่าป๋อเหยียน แล้วเด็กนั่นจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวข้องกับภูเขาเทพ หนามยอกอกของตนจะได้ถูกดึงออกเสียที ตอนนี้เมื่อนึกถึงหลงหลิวหลี เยี่ยโยวหวงก็จะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนลงมือฆ่านางเองจะปลอดภัยกว่า ไม่อย่างนั้นก็จะมีสภาพแบบร่างแยกทั้งสองของตน
“ขอรับ นายท่าน” ทั้งสองประสานเสียง เหยียนซวี่ไม่เข้าใจ ทำไมเทพที่แท้จริงถึงให้ความสำคัญกับหลงหลิวหลีขนาดนั้น เด็กนั่นมีอะไรไม่เหมือนคนอื่น อีกทั้งเขายังรับรู้ได้ถึงความเกลียดชังในคำพูดของเทพรัตติกาล ประมุขเทพตัวเล็กๆคนหนึ่งไปทำอะไรให้เทพที่แท้จริงเกลียดชังได้ขนาดนั้น
หลังจากที่เยี่ยโยวหวงจากไปแล้ว เหยียนซวี่ก็คร้านจะทำท่าเสแสร้ง จึงจากไปเช่นกัน เจียงไหวโมโหกัดฟันกรอดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้พอนึกถึงแมลงกู่แล้วก็เจ็บปวดใจ เขารู้สึกว่านางแพศยาหร่วนโหรวนั่นตายง่ายเกินไป
หลิวหลีย่อมไม่รู้ตัวว่าเทพรัตติกาลรู้เรื่องนางแล้ว หนำซ้ำยังกำลังคิดหาวิธีจัดการกับนางถึงขนาดคิดวิธีการฆ่าไว้แล้ว
หลิวหลีรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายตนเอง ลูกแก้วสีรุ้งนั้นมีเสียงปริร้าวกังวาน แต่ก็เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น ไม่ใช่แตกละเอียด นางมองดูแล้วเลิกคิ้ว เกิดอะไรขึ้น ทำให้นางพูดไม่ออกเล็กน้อย หรือเพราะพลังไม่เพียงพอ ยังขาดอยู่อีกเล็กน้อย แต่นางก็ดูปราณผสมในร่างกายตนเองมากกว่าครึ่ง และปราณผสมเป็นดังที่ตั้งใจไว้แล้ว เพียงแต่ลักษณะของลูกแก้วสีรุ้งนี้ช่างไม่น่าดูเอาเสียเลย
หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้ลำบากเหมือนหลิวหลี เมล็ดพันธุ์เหมันต์ของเขาแวววาวมากขึ้น แถมยังเล็กลงมากด้วย ดังนั้นเมื่อหลิวหลีที่ลากหนานกงเวิ่นเทียนมาบำเพ็ญร่วมเห็นเข้าจึงรู้สึกไม่ยุติธรรม มหาเทพสูงสุดเอย เทพผสมเอย เมล็ดพันธุ์แห่งเทพเอยล้วนแย่กว่าคนอื่นๆมากขนาดนั้นเลยหรือ
หนานกงเวิ่นเทียนมองดูเมล็ดพันธุ์ที่มีรอยร้าวของหลิวหลีด้วยความกังวล เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร ท่านพี่วางใจได้” หลิวหลีบอกว่าตนปกติดีทุกอย่าง เพียงแค่วิวัฒนาการได้ไม่สมบูรณ์ก็เท่านั้น
“น้องหญิง เจ้ากำลังปลอบใจข้าอยู่ใช่ไหม เมล็ดพันธุ์ของเจ้าร้าวแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นไรได้อย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
“จริงๆ ท่านสัมผัสไม่ได้หรือว่าข้าไม่ได้กำลังโกหกท่าน” แม้ว่ารอยร้าวนั้นจะทำให้คำพูดนางเหมือนหลอกลวง แต่นางไม่เป็นอะไรจริงๆ
หนานกงเวิ่นเทียนมองอย่างละเอียด หลิวหลีไม่เป็นไรจริงๆ ปกติดีจนไม่รู้จะดีอย่างไร ในความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อ
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพักก็ลุกขึ้นเพื่อประคองพลังต่อ ความรู้สึกของพลังขั้นจักรพรรดิเทพแตกต่างออกไปอย่างที่คิดไว้จริงด้วย หนานกงเวิ่นเทียนถึงขั้นรู้สึกว่าปราการที่กั้นขวางอยู่ในร่างกายเขาน้ัน แค่เขาเจาะเพียงนิดเดียวก็จะสามารถกลายเป็นเทพเหมันต์แล้ว
หลิวหลีไม่มีความรู้สึกเหมือนหนานกงเวิ่นเทียน แต่สิ่งที่นางรู้สึกคือภูเขาเทพทั้งหมดอยู่ในสายตานาง แม้แต่สำนักภายนอกก็สามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มชัด ใครทำอะไรอยู่นางก็เห็นชัดเจน สิ่งที่ทำให้นางสนใจก็คือเหยียนซวี่ นางเกิดความสงสัย จึงฟังอีกฝ่าย แล้วสีหน้าของนางก็ฉายแววหนักใจ
“หลงหลิวหลี ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าไปทำผิดต่อเทพรัตติกาลอย่างไร แต่ได้โปรดเข้าฌานต่อไปเรื่อยๆ อย่าได้ออกจากฌานมา อย่าเชื่อคำคนแล้วออกจากภูเขาเทพ หากอยู่ในภูเขาเทพ เทพรัตติกาลจะไม่กล้าลงมือ ดังนั้นเจ้าอย่าออกจากฌานเด็ดขาด” คำพูดของเหยียนซวี่ทำให้ใจของนางปั่นป่วน เทพรัตติกาลนั่นฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขนาดนี้ แถมยังรู้ว่าทุกเรื่องเป็นฝีมือ ความหมายของคำพูดนี้แปลว่าเขาจะวางแผนให้ตนเองออกจากภูเขาเทพแล้วฆ่าตนเองทิ้ง สิ่งที่ล่วงรู้มาทำให้ปวดหัวไม่น้อย แต่นางตั้งใจจะไม่บอกคนอื่น แต่นางเองก็ต้องยอมรับในน้ำใจของเหยียนซวี่ นางจึงเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์เทพในร่างกายของเหยียนซวี่ที่ที่เทพรัตติกาลมอบให้เป็นเมล็ดพันธุ์เดิมที่เขาเคยมี แม้ว่าจะเคยมีจิตใจเลวร้าย แต่ก็สามารถปรับปรุงได้ เขาควรมีเมล็ดพันธุ์แห่งเทพของตนเอง แต่จะไปได้ถึงขั้นไหนนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง เหยียนซวี่ไม่รู้ว่าตนถูกคนจัดการแล้ว เพียงแต่ตอนฝึกฝนบำเพ็ญเพียรก็รู้สึกได้ว่าตนกับเมล็ดพันธุ์แห่งเทพเข้ากันได้เป็นอย่างดี คิดว่าคงพราะอยู่ด้วยกันนานเข้า เมล็ดพันธุ์นี้จึงผูกพันกับเขา
“เยี่ยโยวหวง ข้าหลงหลิวหลีไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เจ้าคิดจัดการกับข้ายังไง ข้าไม่ยอมทำตามเจ้าแน่” หลิวหลีเรียกดวงจิตกลับมา นางลืมตาขึ้นและพูดกับตัวเอง ความตั้งใจที่อยากจะเปลี่ยนเทพรัตติกาลคนใหม่ของนางแน่วแน่ยิ่งขึ้น คนที่ไม่เลือกวิธีการเพื่อเป้าหมายของตนเองไม่เหมาะเป็นเทพ และนางก็เข้าใจถึงขั้นตอนที่จำเป็นในการช่วยให้ตนเองได้สืบทอดตำแหน่งเทพผสมแล้ว ก่อนหน้านั้นนางจะต้องสืบทอดตำแหน่งเทพอัคคีก่อน ต้องกลายเป็นเทพอัคคี ถึงจะมีสิทธิ์ชิงตำแหน่งมหาเทพสูงสุด เพราะในร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นปราณผสมเพียงแค่ครึ่งเดียว ดังนั้นหากจะเป็นมหาเทพสูงสุดนั้นจะต้องประลองเพื่อแย่งชิงมา
……………………………………………..