ช่วงนี้โลกเทพสงบสุข ส่วนคนที่ร่วมมือทำชั่วกับเทพรัตติกาลล้วนถูกหลิวหลีใช้วิธีการต่างๆมาลงโทษพวกเขา แต่กลับปล่อยเหยียนซวี่ไปคนเดียว
“เมล็ดพันธุ์ของเจ้าเป็นของตัวเจ้าเอง ตำแหน่งเทพยังมีว่างอยู่ หวังว่าเจ้าจะพยายาม” เหยียนซวี่ไม่เข้าใจ เมื่อได้ฟังหลิวหลีอธิบายแล้วก็นิ่งชะงักไปก่อน จากนั้นก็บ้าคลั่ง จนสุดท้ายก็ขอบคุณหลิวหลีอย่างซาบซึ้งใจ
เทพทุกท่านกลับสู่ตำแหน่ง ย่อมต้องการขุนนางเทพ
หลิวหลีในฐานะมหาเทพสูงสุดต้องการขุนนางเทพห้าคน คนแรกที่หลิวหลีเลือกคือป๋อเหยียน ป๋อเหยียนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่ก็ตอบรับด้วยความยินดี ยอมรับเขาที่ถือเป็นบริวารของมหาเทพคนก่อนจิตใจของมหาเทพสูงสุดผู้นี้ช่างกว้างขวางมาก คนที่สองหลิวหลีเลือกเทพดวงดาว (ซิงซิ่ว) รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกเล็กน้อย นางมองเห็นว่าในอนาคตอีกฝ่ายจะได้เป็นขุนนางเทพ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นขุนนางเทพของนางเอง เขาตื่นเต้นอย่างมากจึงตอบตกลงทันที ทำให้ซิงเหอคนที่เคยไม่ถูกกับเขาอยากจะหายตัวไปไม่ให้ใครพบเจอ ส่วนป๋อเล่อศิษย์เก่าของเทพดวงดาวก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก เมื่อขึ้นไปสูงขึ้นก็จะไม่มีใครกล้าคัดค้าน แต่การเลือกลงทุนถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญมาก เห็นได้ชัดว่าเขาเลือกผิดแล้ว คนหนึ่งเป็นศิษย์ของราชาเทพ และอีกคนก็คือศิษย์ของขุนนางเทพของมหาเทพสูงสุด ทำไมจะแยกไม่ออกว่าอันไหนสำคัญกว่ากัน
หนานกงเวิ่นเทียนเลือกประมุขเทพธาตุวารีคนหนึ่งเป็นขุนนางเทพของตน เรื่องดีที่ตกลงมาจากฟ้าแบบนี้ ใครก็ชอบทั้งนั้น
ฝาแฝดปิงเซียวและเหลยรุ่ยเลือกอวิ๋นเหมี่ยว ท่านพ่อของอวิ๋นชิงให้มาเป็นขุนนางเทพของตน เหตุผลก็ง่ายดายอย่างมาก เพราะพวกเขายังเป็นผู้เยาว์ มีบางเรื่องที่ยังไม่โตเต็มที่ จึงต้องการคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่มาดูแล อวิ๋นเหมี่ยวชะงักไป นึกถึงคำพูดที่ลูกชายเคยพูดกับตน เจ้าหนูพวกนี้ จึงตอบตกลงอย่างใจกว้าง
เอ๋าเลี่ยเลือกชวีจิ้งเป็นขุนนางเทพของตนเอง เพราะเขารู้สึกเอาเองว่าเรื่องต่อสู้เขาไม่มีปัญหา แต่ไม่สันทัดในการจัดการงานต่างๆ คนผู้นี้สุขุมอย่างมาก แม้ใบหน้าตอนนี้จะทำให้รู้สึกเหมือนคนแก่ในร่างเด็กก็ตาม
ชวีคังน้องชายของชวีจิ้งถูกอิงเสวี่ยเลือกไปเพราะเข้ากับธาตุของเขาได้ดี อีกทั้งยังถือเป็นคนรู้จัก เอามาใช้งานค่อนข้างสะดวก
ส่วนอวิ๋นชิงเลือกมู่มู่เป็นขุนนางเทพของตน เพียงเพราะธาตุของพวกเขาเข้ากันได้ อวิ๋นชิงก็รู้สึกเกรงใจแปลกๆ สามารถมีความสุขกับการเป็นภรรยาของเทพอัสนีได้ แต่กลับมาให้เขาใช้แรงงาน แต่มู่มู่นั้นบอกว่าดีใจมาก สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่านางก็มีค่าเหมือนกัน
สวีโจวเลือกลู่หรงกับเหรินเฉิน เทพที่แท้จริงสามารถมีขุนนางเทพสองคนได้ เด็กทั้งสองไม่เชื่อในตอนแรก จากนั้นก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่ นี่เป็นพรจากสวรรค์ชัดๆ ทั้งสองบอกว่าจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของขุนนางเทพอย่างแน่นอน นั่นทำให้กลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ อิจฉากันมาก ใช้เส้นเข้ามาในภูเขาเทพ เพิ่งบรรลุขั้นราชาเทพก็ได้รับพรจากสวรรค์ให้กลายเป็นขุนนางเทพ เป็นการประสบความสำเร็จในเวลาอันสั้น
จวินหาวเลือกท่านอาของตนอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้นหมิงเยี่ยก็นึกถึงคำทำนายที่หลิวหลีเคยทำนายให้เขาและสหาย เขาเป็นขุนนางเทพของเทพมาร และเทพดวงดาว (ซิงซิ่ว) สหายสนิทของเขาคือขุนนางเทพ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ใครจะแน่ใจได้ว่าอนาคตของตนจะเป็นอย่างไร
จื่อฉีเลือกเหลยหยาง สีหน้าของเหลยหยางในตอนนั้นเรียกได้ว่าเหม่อลอย ดีที่อวิ๋นเหมี่ยวเรียกสติเขา ถึงได้เข้าใจทางเลือกที่อวิ๋นเหมี่ยวพูด เขารู้สึกดีใจมาก ความขุ่นข้องหมองใจนั้นก็หายไปจนหมด ส่วนจิ่งซู่ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย ตอนนี้ใบหน้าเขาถูกทำลายไปแล้ว พลังบำเพ็ญเพียรก็ลดต่ำลง เหลยหยางกลับกลายเป็นขุนนางเทพที่สูงส่ง พวกเขาแตกต่างกันเกินไป แต่จิ่งซู่โล่งใจ เขาก็จะพยายามเพื่อให้ได้มาเช่นกัน
“จิ่งซู่ แม้ข้าจะไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งเทพที่แท้จริงได้ เป็นแค่ขุนนางเทพ เจ้ายินดีจะอยู่กับข้าหรือไม่” ทันใดนั้นเหลยหยางก็ถามจิ่งซู่ เหลยหยางย่อมไม่พลาดแววตาที่เปลี่ยนแปลงไปของจิ่งซู่ ตั้งแต่เรื่องครั้งก่อนจิ่งซู่ก็เปลี่ยนไป ทุ่มเทตั้งใจบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก จะพูดอย่างไรดี เหมือนท่าทางดูเปลี่ยนไป
“ใบหน้าของข้าเสียโฉม พลังบำเพ็ญเพียรไม่สูง นิสัยก็ไม่ดี ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางเทพแล้ว เจ้ามีตัวเลือกที่ดีกว่านั้น” จิ่งซู่ไม่มั่นใจในตนเอง พูดพลางส่ายหน้า
“ตัวเลือกของข้าเป็นเจ้ามาตลอด ไม่ใช่เพราะใบหน้า แต่เพราะตอนที่ข้ามีใบหน้าเช่นนั้น แต่เจ้ากลับเป็นคนแรกที่มีน้ำใจต่อข้า เจ้านิสัยไม่ดี เรื่องนั้นข้าชินแล้ว ข้ายอมรับมันได้ พลังไม่สูงก็ไม่เป็นไร อย่างมากเจ้าก็แค่เอาพลังจากข้าไป ดังนั้นเจ้ายินดีหรือไม่” เหลยหยางเอ่ยอย่างจริงใจ คนที่ฟังอยู่ข้างๆรู้สึกซาบซึ้งใจ
หลิวหลีเห็นสถานการณ์เช่นนั้นจึงขยับนิ้วเล็กน้อย จิ่งซู่ยังไม่ทันได้ตอบ ก็เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นบนใบหน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จนความรู้สึกประหลาดนั้นหยุดลง ใบหน้างดงามหมดจดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหลยหยาง จิ่งซู่ลูบใบหน้าของตนเองแล้วโล่งใจ เหลยหยางไม่เคยสนใจเรื่องใบหน้าของเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“นอกจากข้า เจ้าห้ามมีคนอื่นอีก” จิ่งซู่ถามอย่างจริงจัง
“นอกจากเจ้า ก็ไม่มีใคร” เหลยหยางให้สัญญา
จิ๊ๆ ยังจะอวดความรักอีก
ตอนนี้ภูเขาเทพและสำนักไม่แตกแยกกัน ทุกคนล้วนเป็นคนของโลกเทพ
“นังหนู เจ้าว่างเกินไปแล้วกระมัง” เอ๋าเลี่ยมาถึงตำหนักมหาเทพสูงสุดอย่างหัวเสีย ก็เห็นนางกำลังพักผ่อนกินผลไม้อยู่
“ข้าก็อยากยุ่งเหมือนกัน ทำอย่างไรได้ ร่างกายไม่เอื้ออำนวย” หลิวหลีถอนหายใจลูบท้องเบาๆ
เอ๋าเลี่ยกระตุกมุมปาก ใครก็คงคิดไม่ถึง เมื่อหลิวหลีกลายเป็นมหาเทพสูงสุดแล้ว สิ่งที่หลิวหลีประกาศออกไปเป็นอย่างแรกคือนางตั้งครรภ์แล้ว จำเป็นต้องบำรุงครรภ์ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรใหญ่โตก็ให้จัดการตามสมควร ทำให้พวกเอ๋าเลี่ยตื่นตะลึง แต่ก่อนนั้นนางเป็นคนแรกที่แต่งงาน จนสุดท้ายพวกเขาก็มีลูกชายลูกสาวกันหมดแล้ว นางก็ยังไม่มีวี่แวว ไพล่คิดว่าพวกเขาสองคน ใครก็อยากกลายเป็นเทพที่แท้จริงขั้นสูงที่ไม่มีใครเอาชนะได้ คิดไม่ถึงว่านังหนูกลับมีข่าวดีว่าตั้งครรภ์แล้ว เรื่องที่เหนือความคาดหมายนี้ทำให้ตื่นตกใจ
“นังหนู ได้สิ่งที่ปรารถนามาหลายปี รู้สึกอย่างไรบ้าง” เอ๋าเลี่ยตั้งใจถาม
“ดีเยี่ยมมากๆเลย ข้ารู้สึกพอใจมาก” นางรู้สึกถึงความสุขที่เอ่อล้น
“ได้ยินมาว่าลูกชายสองคนของข้าจะหยุดงานประท้วงเพื่อมาอบรมก่อนคลอดให้ภรรยาในอนาคต” เอ๋าเลี่ยนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็คันปาก พอได้ยินว่าหลิวหลีตั้งครรภ์ แถมยังเป็นลูกสาวด้วย ปิงเซียวกับเหลยรุ่ยก็เริ่มเคลื่อนไหว แย่งกันแสดงตัวกันว่าเด็กในท้องนางเป็นว่าที่ฮูหยินของพวกเขา สวรรค์รู้ดีว่าหลิวหลีกลายเป็นมหาเทพสูงสุดแล้วระยะเวลาในการตั้งครรภ์จะนานแค่ไหน แต่เจ้าเด็กสองคนนั้นกลับจองเด็กในท้องนาง ไม่เอาอย่างอื่น เขาเคยถามนางว่าจะให้ทำอย่างไร ปลคือนังหนูพูดอย่างจริงจังว่า ก็ดี เหมือนว่าพอนางคลอดก็จะมีคนเลี้ยงให้ ว่าทีสามีก็จัดการเรียบร้อย แต่พวกเขาเป็นเด็กชายสองคน หลิวหลีท้องเด็กคนเดียว แบบนี้จะนับว่าเป็นฮูหยินใคร
“นั่นสิ แต่ก็ถูกข้าไล่กลับไปแล้ว เฮ้อ ถ้าหากข้ากังวลใจจนลูกเรากลายเป็นเด็กขี้แงจะทำอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเด็กดื้อสองคนนี้เห็นการเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพเป็นเรื่องเล่นๆหรือไง เดาว่าตอนนี้พ่อของอวิ๋นชิงคงไม่ดีใจที่ได้เป็นขุนนางเทพเลยสักนิด” หลิวหลีพูด เวลาบังเอิญเจอเด็กคู่นั้น นางเห็นอวิ๋นเหมี่ยวแล้วอยากจะไว้อาลัยให้เขาจริงๆ
เอ๋าเลี่ยอยากเอามือบังหน้า เรื่องแบบนี้ลูกชายของเขาทำได้แน่
“ท่านอาอวิ๋นเหมี่ยว ท่านทำงานให้มันเร็วๆหน่อยส ข้ายังอยากเจอว่าที่ฮูหยินข้าอีก” ปิงเซียวเอ่ย
“ใช่ ท่านอาอวิ๋นเหมี่ยว ท่านน้าหลิวหลีบอกว่าหากพวกข้าทำงานไม่เสร็จก็จะไม่ให้ฝึกอบรมการเลี้ยงว่าที่ฮูหยิน” เหลยรุ่ยไม่ทนเช่นกัน ท่านน้าหลิวหลีนี่จริงๆเลย มีขุนนางเทพก็แล้ว แต่ยังทำแบบนี้กับพวกเขาอีก
มุมปากอวิ๋นเหมี่ยวกระตุก ความดีใจที่ได้เป็นขุนนางเทพก็หายไปหมดแล้ว เจ้าเด็กร้ายกาจคู่นี้ รู้จักกดขี่คนแก่อย่างเขา ลูกชายเขาก็เป็นเทพพฤกษาเช่นกัน จะตั้งใจเรียนรู้การจัดการงานต่างๆไม่ได้เลยหรือ
“ท่านน้าหลิวหลี เด็กเงียบมากเลย” เหมียวเหมี่ยวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ไม่ทักทายเขาเลย
“เหมียวเหมี่ยว เด็กในท้องก็ต้องนอนเหมือนกันนะ” หลิวหลีมองเด็กชายตรงหน้า ถูกต้อง จื่อเจินรักษาสภาพร่างให้อยู่ในช่วงอายุ 15 – 16 ปี ไม่ต่างจากเด็ก เพราะเป็นกิเลนวารี ดังนั้นจึงบำเพ็ญเพียรได้ไม่รวดเร็วนัก จื่อฉีเลือกขุนนางเทพแล้วก็ไปรับลูกชายของตนมา รับแม้กระทั่งแม่ยาย ทุกคนล้วนตกใจที่เทพอัสนีกับขุนนางของเทพพฤกษามีลูกชายที่น่ารักเช่นนี้
“งั้นหรือ ท่านน้าหลิวหลี ข้าขอเด็กในท้องท่านเป็นฮูหยินได้ไหม” จื่อเจินถามอย่างไร้เดียงสา
หลิวหลีลูบท้อง สิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่มีความสุขนี้ ยังไม่รู้ว่าวอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็มีคนจองแล้ว แข็งแกร่งกว่าแม่ของนางเสียอีก นึกถึงตอนนั้นที่นางชิงลงมือก่อนเมื่อถูกใจสามีตนเอง เฮ้อ คนเราเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก
“เหมียวเหมี่ยว ข้ามีลูกสาวคนเดียว แถมยังไม่เกิด พี่ชายฝาแฝดของเจ้าก็ขอให้ข้ายกนางให้พวกเขาเหมือนกัน เจ้าคิดว่าข้าควรยกนางให้ใคร” หลิวหลียิ้มแห้ง บุตรสาวเป็นที่ต้องการถือเป็นเรื่องดี เพียงแต่สิ่งสำคัญที่พวกเขาควรให้ความสนใจควรจะเป็นเรื่องประเภทว่าท่านน้าหลิวหลีของพวกเขาต้องการการอบรมสั่งสอนหรือไม่ หรือจะเป็นซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์หรือเปล่า
หลังจากที่เหมียวเหมี่ยวจากไป ก็มีคนกอดหลิวหลีจากทางด้านหลัง
“ท่านพี่ ลูกสาวของเราขายดีมากเลย แต่ในฐานะที่ข้าเคยเป็นน้าหลิวหลีที่เป็นที่รักที่สุดก็อิจฉาอยู่นิดหน่อยนะ” หลิวหลียื่นปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“น้องหญิง ขอบคุณเจ้ามาก” หนานกงเวิ่นเทียนตอบไม่ตรงคำถาม ทำเอาหลิวหลีชะงักไป เหตุใดถึงพูดเช่นนี้ล่ะ
“ท่านพี่ ข้าก็ขอบคุณท่านเหมือนกัน” ขอบคุณที่ทำให้ข้าได้พบท่าน ทำให้ข้าไม่ต้องอยู่คนเดียวเพราะคุณสมบัติร่างกายที่แสนประหลาดนี้
………………………………………………………..