จื่อฉียังจำได้ว่าตอนที่ตัวเองฟักออกมาจากไข่ ท่านพี่ใช้อาหารหลอกล่อเขาเพื่อให้เขาออกมาได้อย่างปลอดภัย ให้เขารอดพ้นจากอันตราย แล้วก็เลี้ยงดูเขาประหนึ่งลูกของตัวเอง ตอนนั้นเขาสัมผัสได้ถึงสายเลือดสกุลจ้านที่เข้มข้นในตัวของนาง จึงอยากจะผูกพันธสัญญากับนาง แต่ท่านพี่ทำพันธสัญญากับพี่อาเลี่ยไปแล้ว แต่เขาก็ยินดีจะติดตามนาง
ท่านพี่ทำไข่ตุ๋นที่แสนอร่อยให้เขากิน เพื่อที่เขาจะให้เขากินเนื้อ นางก็ทำเนื้อที่เหมาะสมกับเขา ทำให้พี่อาเลี่ยเกิดอาการหึงหวง ในช่วงเวลานั้น เขาก็คือลูกชายของนาง
ตอนที่ท่านพี่ได้มิติที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เข้มข้นและมีความได้เปรียบด้านเวลามา ก็ได้พาเขาเข้าไปด้วย เลี้ยงเขาให้ค่อยๆโตอยู่ในนั้น เขายังจำได้โม่หรานที่ชอบยุยงให้ท่านพี่ทำนั่นทำนี่ สุดท้ายก็ถูกนางข่มขู่จนว่านอนสอนง่าย ส่วนใหญ่เขาก็จะอยู่ในนี้ เพราะว่าเขาจะได้มีเวลามากขึ้นเพื่อจะตามนางให้ทัน
ตอนที่ท่านพี่กลับโลกอสูรเทพเพื่อร่วมประลอง อยู่ๆเขาก็อยากจะเห็นนาง แต่กลับถูกคนบ้านสกุลจ้านจับได้ บังคับมาพาตัวเขาไป ผลปรากฏว่าท่านพี่ห้ามเขาไว้ได้ทัน ตอนนั้นพลังบำเพ็ญเพียรของนางยังไม่สูงมาก แต่ก็กล้าขวางคนที่พลังบำเพ็ญเพียรสูงตอนที่เขาโดนบังคับไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นท่านพี่ถูกโจมตีจนกระอักเลือด หลังจากนั้นท่านพี่อาเลี่ยก็ปรากฏตัวขึ้น เขาก็เกือบจะกลายเป็นมารเพราะเรื่องนี้ ผลสุดท้ายท่านพี่ก็ทุบตีเขาจนเขาได้สติ ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากลองทำพันธสัญญากับพี่สาวอีกครั้ง เขาทำสำเร็จ พี่สาวกลายเป็นคนที่สามารถทำพันธสัญญาคู่ได้ เพียงแต่ว่าเรื่องชาติกำเนิดของนางก็ถูกเปิดเผยออกมา ทำพันธสัญญากับเขาได้แปลว่านางมีสายเลือดของสกุลจ้าน พ่อของท่านพี่อยู่ที่นั่นพอดี แต่ท่านพี่ไม่ยอมรับเขา ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลหลงกับสกุลจ้านเป็นเหมือนน้ำกับไฟ เพราะชาติกำเนิดของท่านพี่ทำให้เรื่องในอดีตถูกเปิดโปงออกมา ท่านพี่ไม่สนใจว่าพ่อที่แท้จริงคือใคร แต่คนที่ท่านพี่สนใจคือแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของนางเท่านั้น หากนางจะช่วยท่านแม่ของนางต้องเข้าไปในแดนลี้ลับ ในแดนลี้ลับเขาถูกแยกให้อยู่คนละที่กับพี่สาว เขาถูกบรรพบุรุษฝึกฝนจนเกือบตาย เพียงเพราะเขามีสายเลือดของเผ่ากิเลนที่สูงส่ง แต่ไม่มีความสามารถที่คู่ควรกับสายเลือดนั้น แต่กลับไม่รู้ว่าท่านพี่จะเสี่ยงยิ่งกว่าพวกเขา คิดไม่ถึงเลยว่าจะเข้าไปในสุสานบรรพบุรุษที่ไม่เคยมีใครผ่านไปได้มาก่อน สุดท้ายนางเข้าไปได้ และยังได้รับการยอมรับจากเหล่าบรรพบุรุษ อีกทั้งยังได้ติดไม้ติดมือมากที่สุด ดังนั้นทันทีที่ออกจากแดนลี้ลับ ท่านพี่ก็รีบลากพวกเขาออกไปทันที แล้วไม่ลืมที่จะพาพี่เวิ่นเทียนว่าที่สามีของตนไปด้วย
ผลปรากฏว่า ท่านพี่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงจริงๆ สิ่งของที่นำกลับมาทำให้ทุกคนจะต้องรู้สึกอยากได้ แต่ท่านพี่ก็มอบของที่พวกเขาต้อใช้ให้กับพวกเขาอย่างไม่เสียดาย คนที่ตื้นตันใจที่สุดคาดว่าคงจะเป็นท่านพี่อิงเสวี่ย แค่เพราะพี่อิงเสวี่ยเป็นคู่พันธสัญญาของพี่เวิ่นเทียนเท่านั้น ที่ทำให้คนนับถือที่สุดก็คือเลือดบริสุทธิ์ของอสูรเทพบรรพกาลที่นางได้มานางไม่เพียงแต่แจกให้ 5 สกุลใหญ่ แต่ยังมอบให้กับเผ่าอสูรเทพ รวมไปถึงสกุลจ้านที่นางไม่ชอบด้วย เขายังคิดในใจว่า หากเป็นเขาก็คงไม่สามารถใจกว้างได้ขนาดนี้
ตอนที่เขาเข้าฌานกำลังพยายามบำเพ็ญฝึกฝนอยู่นั้น ก็มีคนที่อ้างตัวว่าเป็นญาติมาหา พูดตามตรงเขาได้รับความรักแบบครอบครัวจากพี่สาวได้อย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นสำหรับครอบครัวที่แท้จริงของเขาแล้ว เขาไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่เขาก็ยังได้เจออยู่ดี อยากรู้ว่าทำไมตัวเองถึงถือกำเนิดขึ้นในที่แห่งนั้น ท่านแม่ของเขาล่ะ ผลปรากฏว่าความจริงที่เขาได้ยิน ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย ท่านพ่อของเขาไม่ต้องการเขา เพราะว่าการมีเขาอาจทำให้แม่ของเขาต้องจบชีวิตลง แต่ได้ท่านแม่ยืนหยัดที่จะคลอดเขาออกมา แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาเลยได้เกิดออกมา และเติบโต เกรงว่าแม่ของเขาก็คงจจะลำบาก
เพราะเรื่องนี้ท่านพี่จึงตัดสินใจที่จะกลับไปดูสถานที่ที่เขาเกิดพร้อมกับเขาอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจมีเบาะแสของแม่เขา แล้วก็มีอยู่จริงๆ แม่ของเขาเกือบต้องกลับคืนสู่จักรวาลแล้ว แล้วได้นางช่วยท่านแม่ไว้ อยู่ๆเขาก็รู้สึกว่าเขาก็เป็นคนที่มีพ่อแม่เหมือนกัน เขากลับเผ่ากิเลนไปพร้อมกับท่านแม่ เมื่อท่านพ่อได้เจอกับท่านแม่ สติก็ไม่ฟั่นเฟือนอีกต่อไป เขากลับพบว่าตัวเองเหมือนเป็นส่วนเกิน ในสายตาของพวกเขามีแค่กันและกัน จนหลงลืมลูกชายอย่างเขา ความรู้ในเผ่ากิเลนต่างๆก็ได้ท่านลุงเป็นคนสอนเขา เมื่อเทียบกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว ท่านลุงเหมือนพ่อมากกว่าอีก
ตอนนี้ลองคิดๆดูแล้ว ตอนที่เขาอยู่ในโลกบำเพ็ญ เขาไม่ได้ช่วยเหลืออะไรท่านพี่มากนัก ส่วนมากแล้วนางเป็นฝ่ายช่วยเขา พอบรรลุขึ้นไปโลกเซียน นางก็ยังเป็นคนช่วยเขาอยู่ดี เพราะว่าท่านพี่สามารถปรุงยาได้ อีกทั้งยังมีพลังบำเพ็ญเพียรที่ค่อนข้างสูง
เขากับพี่สาวมีความลับ ที่แม้แต่ท่านพี่อาเลี่ยก็ไม่รู้ พวกเขาเจอผู้อาวุโสที่แปลกประหลาดมากท่านหนึ่ง เขาช่วยให้พลังบำเพ็ญเพียรของตนพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เขาชอบผู้อาวุโสท่านนั้นมาก พอเขามีเวลาว่างก็จะไปหาผู้อาวุโสท่านนั้น จนกระทั่งสุดท้ายผู้อาวุโสท่านนั้นถ่ายทอดพลังบำเพ็ญเพียรให้กับเขา ท่านพี่ พี่เขย และเขาถึงได้รู้เหตุผลที่ผู้อาวุโสต้องอยู่ที่นั่นเพียงลำพังจากท่านพี่ นั่นเพราะผู้อาวุโสจำเป็นต้องสะกดหัวหน้าเผ่ามารรัตติกาล สุดท้ายผู้อาวุโสก็ต้องจากไปอย่างไม่หวนคืน ทำให้เขารู้สึกเสียใจไม่น้อย แต่ก็รู้ว่าหลายปีมานี้ผู้อาวุโสต้องอยู่ด้วยความทุกข์ทรมาน ตอนนี้สำหรับเขาถือว่าเป็นการปลดปล่อย เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิตก็คือการได้เจออีกครึ่งชีวิตของตัวเอง แล้วมีลูกชายที่น่ารักอีก 1 คน เขารู้สึกว่าเพราะเขาเชื่อท่านพี่เขาจึงมีความสุข
ท่านพี่ศึกษาสายเลือดราชวงศ์ของเผ่ามารรัตติกาล ค้นพบยาศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ทำให้ทุกคนใจสั่น เพราะยานี้หากกินแล้วจะบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน แต่อาจจะติดอยู่ในขั้นจักรพรรดิเซียนเป็นเวลาค่อนข้างนาน แล้วจะบรรลุได้ช้าลง แต่เมื่อเกิดความวุ่นวายขึ้น ทุกคนจึงเลือกที่จะกินยานี้ เพราะไม่มีใครอยากโดนจับไปเป็นทาส
ผลปรากฏว่า ท่านพี่ของเขาสุดยอดมาก สุดท้ายได้สังหารมารรัตติกาลตัวสุดท้ายลง อีกทั้งพวกเขายังพบว่าคนผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาแบบเดียวกันกับตัวร้ายในโลกบำเพ็ญ
สุดท้ายท่านพี่ก็ชิงบรรลุก่อนเขาไปหนึ่งก้าว ตอนที่พวกเขาบรรลุเป็นเทพนั้น นางเป็นคนที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่งแล้ว เขาแค่อยากจะบอกว่า ไม่ว่านางอยู่ที่ไหนก็เป็นคนที่ไม่ธรรมดา พวกเขาได้เห็นแล้วว่านางต่างจากคนทั่วไป อีกทั้งคนที่น่าสนใจๆที่นางเลือกไว้ จนพวกเขามาที่ภูเขาเทพ ถึงได้พบว่านางเก่งกว่าที่คิดจริงๆ อีกทั้งยังค่อนข้างพิเศษด้วย เหมือนว่านางกำลังปิดบังอะไรพวกเขาอยู่
เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของนางก็เหลือเชื่อ ศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาจริงๆแล้วคือเทพรัตติกาล เป็นเทพที่แท้จริงที่หวังจะครอบครองตำแหน่งมหาเทพสูงสุด จริงๆแล้วท่านพี่ของเขาไม่ใช่ผู้สืบทอดตำแหน่งเทพอัคคี แต่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งมหาเทพสูงสุด แล้วพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าในอนาคตของพวกเขาจะต้องยากลำบากมากแค่ไหน
เขาจะพยายามเพื่อพี่สาว ผลปรากฏว่าเขาทำสำเร็จ เมื่อมองไปที่ตำหนักเทพอัสนี จื่อฉีไม่เคยนึกมาก่อนว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จขนาดนี้ เพียงแต่ว่าเขายังขาดขุนนางเทพอีกคน
“ซูหมิง เจ้ายินดีจะเป็นขุนนางเทพของข้าหรือไม่” จื่อฉีมองโม่หรานที่กลับชาติมาเกิด แล้วพูดถามขึ้น
“จื่อฉี ข้ายินดีอยู่แล้ว” ซูหมิง หรือซึ่งก็คือโม่หรานพูดด้วยความดีอกดีใจ เขานึกไม่ถึงว่าจื่อฉีจะยังจำเขาได้
……………………………………….