แม่นางเพียวเพียว!
เมื่อเจียงอี้ได้ยินชื่อนี้ ร่างกายของเขาสั่นเทาขณะที่จิตใจของเขาเกิดความประหลาดใจและสับสน แม่นางเพียวเพียวหมายถึงอีเพียวเพียว แม่ของเขา
สุ่ยโย่วหลานรู้จักแม่ของเขาได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าพวกนางจะสนิทสนมกัน?
ที่สำคัญที่สุดคือสุ่ยโย่วหลานยังพูดถึงแม่ของเขาด้วยความเคารพ? นักสู้ผู้สูงส่งจะพูดถึงผู้หญิงธรรมดาว่าแม่นางหรือ? แม้แต่จูเก๋อชิงหยุนผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบนักสู้ของทวีปยังได้กล่าวถึงแม่ของเขาด้วยความเคารพเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ทำให้เจียงอี้ประหลาดใจนัก
เฉียนว่านก้วนเคยกล่าวว่า อีเพียวเพียวปรากฏตัวในทวีปนี้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วและติดตามเจียงเปี๋ยหลีกลับไปที่เมืองเจียงอี นางอยู่ที่ตำหนักของจอมพลเป็นเวลาสองปีก่อนที่จะออกผจญภัยทั่วพิภพขณะตั้งครรภ์ สามปีต่อมาหลังจากให้กำเนิดเจียงอี้ นางก็จากไป
จากข้อมูลที่เขามี อีเพียวเพียวอยู่ในทวีปนี้เพียงห้าถึงหกปีเท่านั้น และนางจากไปในอายุเพียงยี่สิบปีเศษเท่านั้น ในช่วงเวลานั้นจูเก๋อชิงหยุนต้องมีอายุอย่างน้อยก็ห้าสิบถึงหกสิบปีแล้วใช่ไหม?
เขาคงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงของทวีปนี้แล้ว เจียงอี้อาจจะไม่ได้รู้เรื่องของสุ่ยโย่วหลานและไม่แน่ใจเกี่ยวกับอายุของนางเช่นกัน การเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของทวีปได้นั้น ยี่สิบปีก่อนนางคงต้องเป็นที่น่าหวั่นเกรงมากแน่ๆ
เมื่อนักสู้สองคนปฏิบัติต่ออีเพียวเพียวด้วยความเคารพขนาดนี้ เช่นนั้นนางจะต้องเป็นคนที่น่าเลื่อมใสแน่ๆ และไม่ใช่เพียงเพราะความเคารพที่พวกเขามีต่อเจียงเปี๋ยหลี เพราะเมื่อพวกเขาทั้งสองคนพูดคุยกับเจียงอี้ยี่เกี่ยวกับแม่ของเขา พวกเขาไม่ได้พูดถึงเจียงเปี๋ยหลีเลย
“แม่ของข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่นะ?”
เจียงอี้บ่นด้วยความสงสัยและรู้ว่าหากเขาอยากรู้รายละเอียดที่แน่นอน เขาจะหาเจียงหยุนไฮ่ให้พบ เมื่อเขานึกถึงเจียงหยุนไฮ่ดวงตาของเขาก็มืดมนอีกครั้ง เจียงอี้เกรงว่าเขาอาจจะตายอยู่ในพงไพรแห่งบาปแล้ว
“เหอะๆ!”
ในขณะที่เจียงอี้บ่นต่อตัวเอง สุ่ยเชียนโหรวก็ส่งเสียงไม่พอใจที่เจียงอี้ยังคงคว้าคอของนาง “เจียงอี้ แม่ของข้าเห็นด้วยกับข้อตกลงของเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าไม่ปล่อยข้าไปอีก!”
“ปัง!”
เจียงอี้กลับมารู้สึกตัวและกระแทกหลังต้นคอของสุ่ยเชียนโหรวให้นางสลบไปทันที เจียงอี้โยนนางไปที่คนของหอดาราสุ่ยเยว่และพูดอย่างเยือกเย็น “ป้อนยาให้นางที่จะทำให้นางหลับไปสักพัก ข้าไม่อยากได้ยินเสียงนางก่อนสงครามนี้จะสิ้นสุดลง มิฉะนั้นข้าจะตีนางให้สลบทุกครั้งที่นางพูด“
“เอ๊ะ“
เหล่าหญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเยว่แสดงท่าทางกระวนกระวายออกมา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนิ่งเงียบ สุ่ยโย่วหลานได้สั่งให้พวกนางฟังคำสั่งจากเจียงอี้ หญิงสาวคนหนึ่งหยิบเม็ดยาออกมาและป้อนสุ่ยเชียนโหรว มิฉะนั้นเมื่อแม่นางน้อยผู้นี้ก่อความวุ่นวาย นางคงต้องรับเคราะห์อีกครา
หญิงสาวอีกคนหนึ่งรีบหยิบสร้อยเงินดับโลกาของเชียนโหรวและเก็บไว้อย่างระมัดระวังในขณะที่จ้องมองเจียงอี้ ดูเหมือนว่านางจะกลัวว่าเขาจะฉกสิ่งประดิษฐ์นี้ไป
ดูเหมือนว่าความกังวลของนางนั้นจะไม่จำเป็นเลย เจียงอี้ไม่แม้แต่จะมองนาง เขาหันไปคุยกับจ้านอู๋ซวง “อู๋ซวง! ลงมือกันเถอะ“
จ้านอู๋ซวงพยักหน้าขณะที่จิตสังหารของเขาแผ่ออกมาจากร่าง ในป่าอาถรรพ์นี้มีคนหลายพันคนและพวกเขาทั้งสองพร้อมที่จะสังหารคนพวกนั้นทั้งหมด บุคคลสองคนนี้ปฏิบัติต่อศัตรูด้วยความเหี้ยมโหดและแม้ว่าความโกรธของพวกเขาจะหมดไปแล้ว แต่พวกเขาก็จะไม่มีความเมตตาอยู่ดี
“รอเดี๋ยว!”
หยุนเฟยพูดขึ้นมาทันทีว่า “เจียงอี้ เจ้าจะไม่ฆ่าหั่วซู่ กู่เท่อและคนอื่นๆได้หรือไม่? นายน้อยกลุ่มนี้มาจากตระกูลขุนนางชั้นสูงของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน ด้วยการสนับสนุนของพวกเขา น้องชายของข้าอาจมีโอกาสมากขึ้นที่จะขึ้นครองบัลลังก์“
“ไม่ฆ่าเหรอ?”
เจียงอี้ลังเล มันไม่ใช่ปัญหาที่จะไม่ฆ่าพวกเขาเมื่อเหรียญตราของพวกนั้นตกอยู่ในมือเขา หยุนเฟยต้องการใช้คนเหล่านี้ … นั่นก็หมายความว่าเขาต้องช่วยพวกนั้นให้พ้นจากภาพลวงตาก่อน ปัญหาก็คือ หลังจากช่วยชีวิตพวกเขาแล้ว…พวกเขาจะยอมจำนนแก่หยุนเฟยไหม?
หยุนเฟยรู้ถึงความสงสัยของเจียงอี้ นางหัวเราะออกมาและอธิบายว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงเจียงอี้ หากพวกเขาต้องการมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะต้องส่งผนึกแห่งดวงจิตข้ารับมือกับเรื่องนี้ได้!”
เจียงอี้พยักหน้าและหลังจากที่รู้ว่าหยุนเฟยต้องการเพียงหมิงฮุย กู่เท่อ หั่วซู่และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่ยังรอดชีวิต เขาไม่สามารถทำมันได้ด้วยตัวเองและสั่งคนจากหอดาราสุ่ยเยว่แทน “นอกจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว ฆ่าคนอื่นให้หมดและรวบรวมเหรียญตรามาให้ข้า“
“ฟึ่บ!”
สมาชิกหอดาราสุ่ยเยว่ไม่กล้าขัดคำสั่งของเจียงอี้ หญิงสาวกว่าสี่สิบคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มและเริ่มสังหารคนอื่นๆ
คนอื่นๆในป่าอาถรรพ์ยังคงจมอยู่ในภาพลวงตาในขณะที่จอมยุทธที่อ่อนแอก็เริ่มเป็นบ้าไปแล้วกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งในป่า แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกฆ่าตายแต่ในที่สุดพวกเขาก็จะตายจากความบ้าคลั่ง ดังนั้นหญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเยว่เหล่านี้จึงไม่มีความเมตตาใดๆเมื่อพวกนางลงมือสังหาร
หนึ่งชั่วโมงต่อมา จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่หลายพันคนถูกเด็ดหัวไปหมดแล้ว และป่าแห่งนี้ได้กลายเป็นป่าอาถรรพ์อย่างแท้จริง โดยเหลือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมากกว่ายี่สิบคนเท่านั้นที่ถูกนำตัวมา
“เอาล่ะ เริ่มกันเถอะ!”
เจียงอี้จ้องไปที่หยุนเฟย ขณะที่ไข่มุกวิญญาณไฟของเขาส่องสว่างเพลิงโลกาที่เหลืออยู่หน่อยนึงเริ่มปกป้องเจ้าของ มันรีบออกมาดูดซับเพลิงโลกาทันที มันค่อนข้างโชคดีที่มีเพลิงโลกาก้อนสุดท้ายเหลืออยู่ มิเช่นนั้นเจียงอี้คงต้องสิ้นเปลืองใช้หินวิญญาณเพลิงของเขา
เจียงอี้ควบคุมพลังงานลึกลับนั้นและแตะไปที่หัวของนายน้อยผู้มีผมหยิกและใส่ต่างหู เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เจียงอี้ก็กระแทกขาของเขาอย่างแรงและกดไหล่ของเขาลงในขณะที่วางดาบเกล็ดทมิฬไว้ที่คอของเขาแล้วพูดอย่างเยือกเย็นว่า “มีสองทางเลือกให้เจ้าเลือก ส่งผนึกแห่งดวงจิตให้องค์หญิงของเจ้าหรือไม่ก็ตาย!”
ดวงตาของกู่เท่อกำลังกะพริบไปมาขณะที่เขาเห็นศพเกลื่อนอยู่รอบๆและหมิงฮุ่ย หั่วซู่และคนอื่นๆถูกจับตัวไว้โดยคนจากหอดาราสุ่ยเยว่ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้ว่าเขามีสองทางเลือกให้เลือกเท่านั้น
ในฐานะนายน้อยของตระกูลขุนนางชั้นสูง เขามองหยุนเฟยและพูดว่า “องค์หญิง ข้าสามารถให้ผนึกแห่งดวงจิตของข้าได้ แต่หลังจากที่องค์ชายหยุนเสียนเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ท่านต้องส่งผนึกแห่งดวงจิตคืนแก่ข้า มิฉะนั้นแล้ว ข้าคงขอตายเสียดีกว่า“
หยุนเฟยพยักหน้า “ตกลงตามนั้น!”
เขาเผยรอยยิ้มอันขมขื่นและปิดตาของเขา หลังจากนั้นแสงสีทองเปล่งออกมาจากจุดเทียนหลิงภายในร่างกายของเขา
“คนต่อไป!”
เจียงอี้ถอนขาและดาบเกล็ดทมิฬของเขาออกแล้วเดินไปที่หั่วซู่ และทำสิ่งเดียวกัน เขาควบคุมพลังงานลึกลับในฝ่ามือของเขาและปลุกบุคคลผู้นี้ เมื่อเจียงอี้เห็นว่าบุคคลนี้ขัดขืนขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ เขาตวัดดาบเกล็ดทมิฬของเขาไปที่ศีรษะของหั่วซู่และกดไปที่พื้น จากนั้นเจียงอี้ก็กดดันเขาด้วยดาบเกล็ดทมิฬและพูดอย่างเยือกเย็น “กู่เท่อได้มอบผนึกแห่งดวงจิตของเขาให้กับหยุนเฟยเพื่อเป็นบรรณาการแล้ว เจ้ารู้ใช่ไหมว่าต้องทำอย่างไร?”
หั่วซู่เหลือบมองไปที่กู่เท่อและเห็นใบหน้าที่มืดมนของเขาและตระหนักได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาค่อนข้างเป็นคนตรงไปตรงมา เขาหลับตาและสร้างผนึกแห่งดวงจิตและส่งมอบให้กับหยุนเฟย “ข้าเต็มใจรับใช้องค์หญิง“
“คนที่สาม! หมิงฮุย?”
เจียงอี้เดินไปที่ชายผู้แข็งแกร่งและดุร้ายในขณะที่หมุนเวียนพลังงานเพื่อปลุกเขาขึ้นมา ดวงตาของหมิงฮุยหันกลับมา ขณะที่เขาเห็นกู่เท่อและหั่วซู่ เขาแผ่ความเย็นชาออกมาในขณะที่เขาหลับตาแล้วพูดว่า “อยากให้ข้าส่งผนึกแห่งดวงจิต? ฝันไปเถอะ! ฆ่าข้าเสีย“
“เช่นนั้นก็ส่งเขาไปตามทางของเขา!” ดวงตาของหยุนเฟยเย็นชา นางพูดออกมาอย่างไม่แยแส
เจียงอี้ไม่อยากเปลืองน้ำลายพูดเรื่องไร้สาระเช่นกัน ดาบเกล็ดทมิฬของเจียงอี้ส่องประกาย ขณะที่มันกำลังจะตัดหัวหมิงฮุยเขาก็เปิดตาของเขาในขณะที่เขากัดฟันและตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน!”
ดาบยาวของเจียงอี้ไม่ได้หยุดแม้แต่เพียงครู่เดียว มันเฉือนไปบนคอของหมิงฮุยและทำให้หัวใหญ่ๆของเขาปลิวออกไป เจียงอี้ห่อหุ้มดาบยาวของเขาและถากถางไปที่ดวงตาที่ยังไม่ปิดสนิทของหมิงฮุย “เจ้าปฏิเสธโอกาสที่มอบให้เจ้าไปแล้ว ข้าเกลียดคนขี้ขลาดเช่นเจ้าที่ทำตัวเหมือนคนแกร่งเสียเหลือเกิน”
คนที่เหลือนั้นง่ายขึ้น เมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่เหลือรู้สึกตัว พวกเขาเห็นการจำนนของกู่เท่อและหั่วซู่ และศพของหมิงฮุยที่ถูกแยกออกเป็นสองส่วนไม่มีใครกล้าพูดไร้สาระและมอบผนึกแห่งดวงจิตให้หยุนเฟยเป็นบรรณาการทันที