ท่ามกลางหุบเขาที่ใดที่หนึ่ง มันมีทุ่งสมุนไพรทอดยาวออกไปไกลจนสุดขอบสายตา
กลางทุ่งสมุนไพรมีตึก 3 ชั้นที่สูงกว่า 100 เมตรอยู่
หุบเขาแห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่สูงเสียดฟ้า หากมีใครเงยหน้าขึ้นมองพวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าภูเขาลูกนี้สูงแค่ไหน
หลิงฉีบนภูเขาลูกนี้หนาแน่นมาก เนื่องจากมันมีเส้นเลือดจิตวิญญาณขนาดใหญ่วิ่งอยู่ด้านล่าง สวนสมุนไพรถูกจัดเรียงอย่างระเบียบโดยมีต้นสมุนไพรจิตวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักปลิวไปตามสายลม
คลื่นของกลิ่นหอมหวนของสมุนไพรกระจายไปตามอากาศ
สัตว์อสูรนับร้อยเดินไปตามสวนเพื่อดูแลสวนสมุนไพรจิตวิญญาณแห่งนี้ มีถ้ำขนาดใหญ่หลายสิบถ้ำอยู่ในหุบเขาลึก ซึ้งถ้ำมันมืดจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด ๆ ได้
“ตู้ม ! ตู้ม !”
เสียงราวกับฟ้าร้องดังขึ้นในถ้ำพร้อมกับสายลมโหมกระหน่ำ
ทุกครั้งที่เกิดเสียงดัง มันจะทำให้สัตว์อสูรระดับร้อยปีที่อยู่บริเวณรอบ ๆ หวาดกลัวราวกับจะมีบางอย่างออกมาจากถ้ำ
“ท่านอาจารย์ เราได้ตรวจสอบแล้วพบว่าราชาสัตว์อสูรส่วนใหญ่ได้ย้ายไปอยู่ที่ใจกลางเทือกเขาร้อยทำลายแล้ว ที่หลงเหลือในตอนนี้มีแค่ราชาสัตว์อสูรเพียงตัวเดียวเท่านั้น” เด็กหนุ่มสวมชุดคลุมลายเมฆพูดด้วยความเคารพ แรงกดดันของเขาหนักหน่วงซึ้งบ่งบอกได้ดีว่าเขามีพลังอยู่ที่ราชาพันปี
ชายชราสวมชุดเต๋าพร้อมกับมงกุฏสีทองม่วงบนหัว เขาหัวเราะอย่างมีความสุข “ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม กว่า 20 ปีที่ข้าเจอสถานที่แห่งนี้ ! ในที่สุด เจ้าพวกราชาสัตว์อสูรทั้งหลายก็ออกไปจนหมด !”
เขาคือซู่หยุนจง ผู้อาวุโสของนิกายสิบเส้นทาง ความแข็งแกร่งของเขานั้นมาถึงราชาพันปีขั้นแปด !
20 ปีที่แล้ว ซู่หยุนจงพบสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ อย่างไรก็ตาม เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่อันตรายมากทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้
สมบัติธรรมชาติแห่งนี้มันน่าหลงใหลจนซู่หยุนจงแทบจะอดใจไม่ไหว สมุนไพรจิตวิญญาณแต่ละต้นมันมีอายุสูงมาก นอกจากนี้พวกมันยังเป็นสมุนไพรจิตวิญญาณที่ล้ำค่า พวกมันมีค่ามากสำหรับราชาพันปี
เขาได้ส่งเหล่าศิษย์ของนิกายมาคอยจับตามองสถานที่แห่งนี้เอาไว้ แต่ใครจะไปคิดกันว่ามันจะลากยาวไปถึง 20 ปี ในขณะที่ซู่หยุนจงกำลังจะยอมแพ้และเรียกเหล่าศิษย์ของนิกายกลับมานั้น เขาก็ได้ข่าวว่าราชาสัตว์อสูรทั้งหลายได้ออกไปจากที่นี่แล้ว !
“ฮวงหลิน เวลาหลายปีที่ผ่านมามันช่างยาวนานนัก มันคงลำบากสำหรับเจ้ามาก” ซู่หยุนจงถอนหายใจในขณะมองเด็กหนุ่มสูงใหญ่ข้าง ๆ เขา
“ด้วยคำสั่งของอาจารย์ มันจึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ”
ฮวงหลินก้มหัวลงในขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งประกายเย็นชา
“หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ข้าจะใช้ความสามารถที่ดีที่สุดของข้าเพื่อช่วยให้เจ้าพัฒนาไปได้มากกว่านี้”
ซู่หยุนจงมีใบหน้าที่ซับซ้อน ศิษย์คนนี้เป็นคนที่ภักดีต่อเขาอย่างมาก ย้อนกลับไปในตอนที่เขาพามาครั้งแรก เขารู้ได้ทันทีว่างานนี้เป็นงานที่ยากมากที่จะต้องคอยจับจามองสัตว์อสูรเหล่านี้และต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ แต่ฮวงหลินก็ยังยอมรับมันโดยไม่ลังเล
ในพริบตาก็ผ่านไป 20 ปี ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ฮวงหลินเป็นผู้ที่ฝึกฝนได้ก้าวหน้าได้มากที่สุดในหมู่ศิษย์ด้วยกัน เขาก้าวล้ำแม้แต่เหล่าศิษย์พี่ของเขา ตอนนี้เขามาถึงราชาพันปีขั้นสองแล้ว แม้แต่ศิษย์หลักหลายคนก็ไม่สามารถมาถึงขั้นราชาพันปีนี้ได้ พูดได้ว่าเพียง 20 ปี มันทำให้เขาแซงหน้าคนอื่น ๆ ไปไกลมาก
“ศิษย์พี่ใหญ่ หลายปีมานี้มันคงลำบากท่านไม่น้อย” เสียงดังขึ้นจากหญิงสาวอายุ 20 ปีคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ไหล่ของฮวงหลินก็สั่นเล็กน้อย เขามองขึ้นแล้วพูด “ศิษย์น้อง …”
“มันคงลำบากมากสำหรับศิษย์พี่ที่ต้องอยู่ในสถานที่ที่ถูกทอดทิ้งแห่งนี้มานานกว่า 20 ปี สุดท้ายท่านก็อดดื่มเหล้าสาบานในงานแต่งงานของข้ากับซินยี่ ไม่เป็นไหร่ เมื่อกลับไปแล้วเราค่อยมาดื่มกันดีกว่าศิษย์พี่ใหญ่ !” โดยไม่ต้องรอให้ฮวงหลินตอบกลับ แรงกดดันที่หนาวเย็นก็กระจายออกมาจากเด็กหนุ่มที่เหมือนงูพิษคนหนึ่ง เขาก้าวออกมาแล้วใช้แขนของเขาโอบเอวซู่ซินยี่
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์น้องด้วย” อารมณ์ก่อนหน้านี้ของฮวงหลินหายไปพร้อมกับตอบกลับอย่างสงบ เขาไม่พูดอะไรต่อไป เขาค่อย ๆ กลับไปยืนข้างหลังซู่หยุนจง
ในขณะเดียวกัน เขาก็กำหมัดจนเล็บของฮวงหลินฝังลึกลงไปในฝ่ามือของเขา
มีเพียง 7 คนที่ยืนอยู่ที่นี่ และแม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีพลังขั้นราชาพันปี พวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของซู่หยุนจง
ไม่ไกลจากหุบเขาแห่งนี้ มีสัตว์อสูรตัวหนึ่งกำลังวิ่งผ่านป่า แม้แต่ต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้าก็ยังถูกทุบตีเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยการเคลื่อนไหวของมันแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปไกลหลายสิบเมตรก็ตาม ในขณะเดียวกันบนหัวของมันมีกระต่ายสีแดงตัวหนึ่งยืนอยู่
ยิ่งพวกมันเข้าใกล้หุบเขามากเท่าไหร่ เจ้ากระต่ายก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น มันกระโดดขึ้นลงบนหัวเจ้าตัวใหญ่ไปมา
กลิ่นหอมของสมุนไพรจิตวิญญาณจำนวนมากกระจายอยู่รอบ ๆ แม้ว่ามันจะถูกปิดกันจากภูเขาสูง แต่กลิ่นก็ยังกระจายออกมา
แต่สิ่งที่แปลกคือมันกลับไม่มีราชาสัตว์อสูรที่มีพลังขั้นราชาพันปีเลยแม้แต่ตัวเดียวในรัศมี 500 ลี้ สำหรับสัตว์อสูรขั้นร้อยปีนั้นมันมีเยอะมากและดูเหมือนพวกมันไม่ได้สังเกตถึงกลิ่นของสมุนไพรจิตวิญญาณ
ในขณะที่เข้าใกล้มากขึ้น เจ้าตัวใหญ่ที่เจ้ากระต่ายขี่อยู่ก็เริ่มช้าลงเพราะไม่ต้องการสร้างเสียงรบกวนและความโกลาหลมากเกินไป
ยิ่งพวกมันเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ หลิงฉีก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น หลิงฉีของที่นี่มันทรงพลังกว่าข้างนอกมาก !
ที่เชิงเขาสามารถมองเห็นหมอกสีเทาดำจำนวนมากลอยอยู่ในอากาศ นี่คือฉีแห่งความตาย มันเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากตายเท่านั้น !
ฉีแห่งความตายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกตนมากนัก แต่สำหรับคนธรรมดาแล้วหากพวกเขาเข้าใกล้พวกเขาจะตายทันที
ในที่สุดเจ้ากระต่ายก็เข้าใจว่าทำไมสัตว์อสูรรอบ ๆ ถึงไม่สังเกตถึงกลิ่นหอมของสมุนไพรเพราะมันมีฉีแห่งความตายจำนวนมากอยู่ที่นี่ นอกจากนี้มันยังมีแรงกดดันฉีบางอย่างของสัตว์อสูรที่ทรงพลังอยู่ในหุบเขาซึ้งทำให้พวกมันหวาดกลัวอยู่ในนั้นด้วย
นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้อีกว่าสัตว์อสูรที่ทรงพลังที่ตายแล้วกลายเป็นฉีแห่งความตายได้ทิ้งพลังงานบางอย่างไว้อีกอย่าง ด้วยสัญชาตญาณของพวกมันจะทำให้พวกมันไม่เต็มใจที่จะเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้
ดูเหมือนสถานที่แห่งนี้จะไม่ได้มีสัตว์อสูรตายแค่ ตัวหรือสองตัว แต่จากการประมาณดูแล้วมันอาจจะมีเป็นแสนถึงล้าน !
กระต่ายนักเลงกระโดดออกจากเจ้าตัวใหญ่แล้วกักเก็บพลังทั้งหมด ดูผิวเผินตอนนี้มันดูไม่ต่างไปจากกระต่ายธรรมดา
สัตว์อสูรขนาดใหญ่ด้านหลังมันก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้ามันก็ก็เหลือสองขาแล้วค่อย ๆ ยืนขึ้น แต่ด้วยหัวที่เหมือนเต่าของมันทำให้มันดูตลกเล็กน้อย
ดวงตาของกระต่ายนักเลงสั่นไหวเล็กน้อยในขณะที่มองสัตว์อสูรที่เหมือนเต่า ในสายตาของมันเหมือนภูเขาไฟที่กำลังลุกโชน !
“กี้ กี้ !”
กลิ่นหอม ๆ ลอยมาทำให้น้ำลายของเจ้ากระต่ายไหลออกมา แม้ว่าจะรู้สึกได้ถึงสัตว์อสูรในหุบเขาแต่มันก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
“มออ !”
สัตว์อสูรที่เหมือนเต่ามีชื่อว่าฮานกุย ความสามารถของมันคือการทำให้อุณหภูมิในพื้นที่เพิ่มสูงขึ้น ในเวลาเดียวกันหูของมันกลับไวอย่างมาก แม้แต่เสียงกรอบแกรบเบา ๆ จากระยะไกลมันก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ในขณะเดียวกัน ฮานกุยวิ่งไปหากระต่ายนักเลงพร้อมกับท่าทางกระวนกระวาย
“ป้าป !”
เจ้ากระต่ายเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาจากนั้นหันมาใช้อุ้งเท้าของมันตบฮานกุยแล้วเตือนเงียบ ๆ “กี้ กี้ !”
ใบหน้าของฮานกุยขุ่นเขืองเล็กน้อย เสียงของแกยังดังกว่าของข้าซะอีก …
“มอ !” ฮานกุยทำเสียงไม่พอใจก่อนจะเดินไปข้างหน้า
หูของเจ้ากระต่ายกระดิกเบา ๆ ก่อนจะกระโดดตามหลังฮานกุยไป
“มออ !” ฮานกุยและกู่ฉีเดินมาถึงเชิงเขา หลังจากปัดก้อนหินขนาดใหญ่ที่ขวางทางเข้าถ้ำเอาไว้ ถ้ำที่ขนาดใหญ่กว่า 5 เมตรก็ปรากฏตรงหน้าพวกมัน
“กี้ กี้ !”
ดวงตาของเจ้ากระต่ายเปล่งประกาย ดูเหมือนถ้ำนี้จะถูกขุดขึ้นมาใหม่ !
จากความรู้สึกของมัน มันได้ยินเสียงของการขุดดังขึ้นในถ้ำ
“กี้ กี้ !”
เจ้ากระต่ายใช้อุ้งมือของมันตบหัวฮานกุยราวกับจะชมว่าทำได้ดีมาก
อันที่จริงกู่ฉีนั้นตกใจมาก เสียงที่อยู่ไกลขนาดนั้นแต่ฮานกุยยังสามารถหาเสียงได้อีก
ฮานกุยมองอุ้งมือของกู่ฉีบนหัวของมันด้วยใบหน้าขัดแย้ง มันกำลังคิดอยู่ว่าจะกัดอุ้งมือนั้นดีหรือไม่ !
ทันใดนั้นระฆังสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นรอบ ๆ ร่างของกู่ฉี ทำให้พลังของมันเพิ่มมากขึ้น ระฆังก็ดูชัดเจนและหนาแน่นมากขึ้น มันมองถ้ำก่อนจะกระโดดเข้าไปข้างใน
“เอ๊ะ ?”
ซู่หยุนจงขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เชิงเขา เขาส่ายหัวแล้วหันกลับมา
“ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้น ?” ศิษย์คนที่สองถามขึ้นในขณะมองซู่หยุนจง
ซู่หยุนจงส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่มีอะไร ข้าคงคิดไปเอง”
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกราวกับพบแรงกดดันที่แข็งแกร่ง แต่มันก็ปรากฏขึ้นชั่วครู่ก่อนจะหายไป เมื่อเขามองไปมันก็ไม่พบอะไรทั้งสิ้น
จริง ๆ แล้วมันคือแรงกดดันของเจ้ากระต่าย แต่เมื่อซู่หยุนจงหันกลับไปมองเขาก็เห็นเพียงก้อนหินขนาดใหญ่เท่านั้น
ซู่หยุนจงหุนกลับมามองศิษย์ของเขาทั้ง 6 แล้วพูดขึ้น “ช่างมัน ข้าจะไปจัดการกับเจ้าราชาสัตว์อสูรนั่นก่อน ส่วนพวกเจ้าที่เหลือก็รีบหยิบสมุนไพรพวกนี้แล้วมาช่วยข้า”
“ท่านพ่อ นั่นคือราชาสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากใช่หรือไม่ ? อย่าบอกนะว่าแม้แต่ราชาพันปีขั้นแปดก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้งั้นหรอ ?”
“พ่อก็ไม่มั่นใจมากนัก สัตว์อสูรตัวนี้น่าจะทรงพลังมากทีเดียวและโอกาสที่พ่อจะเอาชนะมันได้คงไม่สูงไปกว่า 50 % เจ้าต้องปกป้องซินยี่ให้ดี” ซู่หยุนจงอธิบายจากนั้นหันไปสั่งลูกศิษย์คนที่สามนั่นก็คือจี่ฉี
“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ มีข้าอยู่ทั้งคน มันจะไม่มีอะไรทำอันตรายศิษย์น้องได้” จี่ฉีตอบกลับพร้อมกับปลดปล่อยพลังออกมา
ที่ด้านล่างของภูเขา กู่ฉีวิ่งไปเห็นสัตว์อสูรสีขาวเงินตัวหนึ่งกำลังเหวี่ยงกรงเล็บของมันไปที่กำแพง การเหวี่ยงของมันแต่ละครั้งทำให้ก้อนหินขนาดใหญ่ถูกทุบทำลายทันที
“เอ๊ะ ?”
สัตว์อสูรที่เหมือนตัวนิ่มหยุดทันทีที่ได้ยินเสียง มันหันหน้าไปมองยังทิศที่มีเสียงดังขึ้น
ทันใดนั้นเจ้ากระต่ายก็ปรากฏตรงหน้ามันโดยไม่รอให้มันตอบสนอง
ฮานกุยเงียบอีกครั้ง นี่เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมนัก เจ้ากระต่ายตัวนี้ได้รังแกมันมาเป็นเวลานาน ตอนนี้หากมันจับมือกับสหายที่เหมือนตัวนิ่มและอาศัยพื้นที่แคบ ๆ นี้ ด้วยการโจมตีทั้งด้านหน้าและหลังเจ้ากระต่ายไม่มีทางหนีไปไหนได้แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นมันก็จะสามารถแก้แค้นที่เจ้ากระต่ายรังแกมันให้ทุกข์ทรมานได้ในที่สุด
ฮานกุยตกอยู่ในภวังค์การตัดสินใจ เมื่อมันนึกถึงภาพเจ้ากระต่ายถูกทุบตีมันถึงกับยิ้มมุมปากจนเห็นฟันสีเหลืองของมัน