บทที่ 104 การครอบครอง
Ink Stone_Romance
เยี่ยนไหวจิ่งไม่ใช่เหยียนหรูอวี้ อย่างน้อยเมื่ออยู่ในกำมือของเขา อวี๋หวั่นก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะเอาชีวิตเธอ แน่นอนเธอไม่อาจเบาใจได้ อย่างไรเสียชายโสดหญิงหม้ายอยู่ในห้องเดียวกันสองต่อสอง ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่า เขาจะไม่หุนหันพลันแล่นทำบางสิ่งบางอย่างกับเธอที่มิอาจย้อนกลับไปแก้ไข ดังนั้นหลังจากการเผชิญหน้ากันสั้นๆ อวี๋หวั่นก็ตัดสินใจไม่ทำอะไรที่ยั่วยุอารมณ์เขา เขาให้เธออยู่ห้องไหนเธอก็อยู่ห้องนั้น เขาให้คนยกอาหารเข้ามา เธอก็ทานอย่างเชื่อฟัง
ท่าทีเชื่อฟังของอวี๋หวั่นอยู่ในสายตาของเยี่ยนไหวจิ่ง เขาเดาว่าเธอกำลังรอให้เยี่ยนจิ่วเฉามาช่วย แต่ขณะเดียวกันลึกๆ ในใจก็รู้สึกโชคดีอย่างไม่คาดฝัน บางทีเธออาจไม่ได้ต่อต้านเขาอย่างที่คิด เมื่ออยู่กับเขา เธอก็คงรู้สึกสบายใจเช่นกันกระมัง…
อาหารมื้อเย็นมี รังนกเป็ดหั่นซอย หน่อไม้ฝรั่งผัดหมู ไข่นกพิราบผัดเส้น น้ำแกงปลาหลีฮื้อ หมูสามชั้นน้ำแดง น้ำพริกครกมะเขือยาว และผักตามฤดูกาลอีกสองสามอย่าง อย่างแรกเป็นอาหารพิเศษของราชสำนัก อวี๋หวั่นไม่เคยกินมาก่อน คำแรกที่ได้ลิ้มลอง รสชาติดีอย่างคาดไม่ถึง จนทำให้อยากเติมข้าวอีกสักชาม
เมื่อคนรับใช้เห็นว่าเธอมีความอยากอาหารมากถึงเพียงนี้ ก็เกือบจะสงสัยว่าเธอไม่ได้ถูกองค์ชายรองของพวกนางลักพาตัวมา
เมื่อเห็นเธอกินอย่างออกรส อารมณ์ของเยี่ยนไหวจิ่งก็ดีขึ้นมาก หลังจากอวี๋หวั่นวางชามและตะเกียบลง เยี่ยนไหวจิ่งก็ยกน้ำแกงกุหลาบให้เธออีกหนึ่งชาม อวี๋หวั่นผลักชามออก “ทานไม่ไหวแล้วเพคะ”
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยเบาๆ “เช่นนั้นข้าจะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
กระเพาะทำงานอย่างหนัก อันที่จริงเธอก็ควรจะไปเดินย่อยสักหน่อย แต่อวี๋หวั่นไม่อยากอยู่กับเขา จึงกล่าวว่า “เดินไม่ไหวแล้วเพคะ หม่อมฉันนั่งสักพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น องค์ชายรองไปทำกิจธุระของฝ่าบาทเถิด มิจำเป็นต้องเฝ้าดูหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่หนีหรอกเพคะ”
เขาลึกป่าใหญ่เช่นนี้เดินเล่นตอนกลางวันก็พอแล้ว ผีเท่านั้นที่จะรู้ว่าต้องพบกับสิ่งใดในตอนกลางคืน เธอจะไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์
“เรื่องในเมืองหลวงเจ้าไม่ต้องกังวล”
“องค์ชายรองหมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
“เจ้าไม่ต้องกลับไปที่เมืองหลวงชั่วคราว จนกว่า…” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยนไหวจิ่งกลับชะงักไป
ข้อมูลที่เขาให้มาน้อยเกินไป อวี๋หวั่นใช้เวลาสักพักในการปะติดปะต่อสิ่งที่เขาต้องการจะบอก วันนี้เป็นวันแต่งงานของเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉา เธอถูกลักพาตัวไปกลางคัน ถึงแม้ว่าเธอจะกลับไปได้อย่างปลอดภัย แต่เกรงว่าในสายตาของใครหลายคน เธอได้สูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือแม้แต่เยี่ยนจิ่วเฉาก็สงสัยว่าเธอถูกเยี่ยนไหวจิ่งทำอะไรแล้ว หากในฐานะหญิงจากสกุลดีเกรงว่ามาถึงจุดนี้เธอคงจะกลับไปเมืองหลวงไม่ได้แล้ว
แต่ไม่รู้ว่า ‘จนกว่า’ ของเขาหมายถึงอะไร จนกว่าเรื่องราวจะสงบลง หรือว่าจนกว่าเขาจะได้สถาปนาเป็นฮ่องเต้?
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่ามันควรจะเป็นอย่างหลัง
เธอชี้แนะอย่างจริงใจ “ฝ่าบาท เยี่ยนจิ่วเฉายังต้องการหม่อมฉันหรือไม่ หม่อมฉันไม่กล้าเอ่ย แต่ท่านลักพาตัวเจ้าสาวของเขาไปในวันแต่งงาน ท่านคงไม่คิดว่าเขาจะปล่อยท่านไว้เฉยๆ หรอกกระมัง? หรือท่านคิดว่าเขาจะหาตัวท่านไม่เจอ?”
“ข้าไม่กลัวเขา” เยี่ยนไหวจิ่งกล่าว
อวี๋หวั่นไม่ได้มีเจตนายั่วยุเขา เธอกล่าวพอเป็นพิธีแล้วก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
เมื่อเยี่ยนไหวจิ่งเห็นว่าจู่ๆ เธอก็เงียบไป จึงเอ่ยด้วยแววตาวูบไหว “เจ้าโกรธข้าหรือ?”
“เปล่าเพคะ” อวี๋หวั่นส่ายศีรษะ ไม่ได้บอกว่า หากเขาคิดถึงเธอจริงๆ เขาก็ไม่ควรลักพาตัวเธอมาตั้งแต่แรก
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน “ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรทำแบบนี้ เจ้ามีสิทธิ์ที่จะตำหนิข้า ข้าเป็นคนเห็นแก่ตัว”
แต่?
อวี๋หวั่นคิดว่าต้องมีจุดหักเหที่นี่
เป็นดังที่คาด เยี่ยนไหวจิ่งกล่าวต่อ “แต่ข้าก็ไม่ได้ทำทั้งหมดเพื่อตัวข้าเอง”
“แล้วองค์ชายรองทำเพื่อหม่อมฉันหรือ” อวี๋หวั่นหัวเราะด้วยความโกรธจัด “หม่อมฉันขอกล่าวตามตรง หม่อมฉันยังไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะมีสิ่งใดดีกับตัวหม่อมฉัน นอกจากนี้ หม่อมฉันก็มีวาสนาพบกับองค์ชายรองเพียงไม่กี่ครั้ง แล้วเหตุใดองค์ชายจึงไล่จับหม่อมฉันไม่ปล่อยครั้งแล้วครั้งเล่า?”
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยตามความจริง “เพราะหากไม่ใช่เจ้า ข้าคงต้องตายอยู่ที่สวี่โจวไปเมื่อสามปีก่อนแล้ว”
อวี๋หวั่นประหลาดใจ
ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?
เยี่ยนไหวจิ่งกล่าว “ข้าบาดเจ็บสาหัสและคิดว่าตัวเองต้องตายอยู่ข้างถนน แต่แล้วเจ้าก็มาพบข้า ตอนนั้นเจ้าตั้งครรภ์ ข้างกายเจ้ามีมามาที่ดูดีอยู่ผู้หนึ่ง มามาผู้นั้นพยายามโน้มน้าวไม่ให้เจ้าเข้าไปยุ่ง แต่เจ้าไม่ฟัง”
มิน่าละ ครั้งแรกที่พบกันในหมู่บ้านเหลียนฮวา เยี่ยนไหวจิ่งจึงถามเธอว่าเคยไปที่นั่นหรือไม่ แล้วยังบอกว่าตนเองจำคนผิด
เยี่ยนไหวจิ่งกล่าวต่อ “ตอนแรกข้าก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเจ้า ใช้เวลาสืบหาอยู่นาน จึงรู้ว่าเจ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นไม่ได้แล้ว”
สิ่งนี้อธิบายว่าเหตุใดอวี๋หวั่นจึงจำเขาไม่ได้ที่หมู่บ้านเหลียนฮวา
หากเพราะเยี่ยนไหวจิ่งซาบซึ้งที่เธอเคยช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อสามปีก่อน จึงจดจำเธอได้ไม่ลืมเลือนก็สมเหตุสมผล แต่…ไม่ใช่ตอนนั้นเธอหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์หรือ?
“ช้าก่อน ตอนที่ท่านเจอข้า ข้าเป็นอย่างที่ข้าเป็นอยู่ตอนนี้หรือ?” อวี๋หวั่นชี้ที่ใบหน้าของตัวเอง
เยี่ยนไหวจิ่งคิดว่าเธอกำลังสงสัยว่าเขาจำผิด จึงเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ตอนนั้นกลมกว่าตอนนี้สักหน่อย แต่ข้าจำไม่ผิดแน่”
แค่กลมกว่าสักหน่อย เช่นนั้นก็ยังเป็นใบหน้านี้ เช่นนั้นผื่นแดงบนใบหน้าของเธอที่หอนางโลมและต่อหน้าเหยียนหรูอวี้กับสวี่ส้าวคือเรื่องอะไรกัน? เป็นเรื่องราวของเจ้าของร่างเดิมหรือ? อวี๋หวั่นคิดว่าความเป็นไปได้นี้สูงมาก ดังนั้นดูเหมือนว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่ได้ไร้สมองเสียทีเดียว ความโง่เขลาเดียวของนางคือจ้าวเหิง
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หากก่อนหน้านี้อวี๋หวั่นยังโชคดีสามารถรีบกลับไปร่วมงานแต่งงาน เช่นนั้นในตอนนี้เธอก็คงสิ้นหวังแล้ว ต่อให้ชั่วยามนี้เธอจะกลับไปที่เมืองหลวง งานเลี้ยงก็คงเลิกรา และแขกก็คงกลับกันหมดแล้ว
สิ่งที่ทำให้เธอกังวลที่สุดคือเด็กๆ หากพวกเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าเธอไม่อยู่ พวกเขาจะร้องไห้งอแงเหมือนกับเมื่อเช้านี้หรือไม่?
เมื่อคิดถึงเสียงร้องไห้ของลูกๆ หัวใจของอวี๋หวั่นก็แทบแตกสลาย
“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่?” เยี่ยนไหวจิ่งมองใบหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อยของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นสูดหายใจ “ถ้าฝ่าบาทไม่ถือสา หม่อมฉันอยากจะพักผ่อนแล้ว”
เยี่ยนไหวจิ่งยังไม่ไป เธอกังวลว่าจะควบคุมตัวเองไม่ให้ตีเขาไม่ได้
“ได้ เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนเร็วสักหน่อย แล้วพรุ่งนี้ข้าจะส่งเข้าไป…” เยี่ยนไหวจิ่งชะงัก หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินจากไปโดยไม่บอกชื่อสถานที่
อวี๋หวั่นเรียกรั้งเขา “ฝ่าบาทตั้งใจจะซ่อนหม่อมฉันไว้นานเพียงใด? หากท่านไม่ได้ขึ้นบัลลังก์ในหนึ่งปี ข้าก็ต้องรอท่านหนึ่งปี หากท่านไม่ได้ขึ้นบัลลังก์ในสิบปี ข้าก็ต้องรอท่านสิบปีหรือ?”
“ใช้เวลาไม่นานนัก” เยี่ยนไหวจิ่งกล่าว
อวี๋หวั่นกล่าวอีกครั้ง “เช่นนั้นฝ่าบาทยังสามารถแต่งงานกับบุตรีของจวนอัครมหาเสนาบดีหรือไม่? ในใจของฝ่าบาทข้าเป็นสิ่งใด? เป็นภรรยาที่คู่ควรที่ท่านจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้อง หรือแค่ของรักของหวงที่มีไว้เพื่อสนองความปรารถนาจะได้ครอบครองกันแน่?”
“เจ้าไม่ใช่ของรักของหวง!” เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดแน่น หันกลับมาเอ่ยด้วยท่าทีเย็นชา
“แต่ก็มิใช่ภรรยาเช่นกัน” อวี๋หวั่นมองเขาแน่นิ่ง
เยี่ยนไหวจิ่งพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมอารมณ์ของตนเอง “สิ่งที่เจ้าต้องการ…ข้าก็ให้เจ้าได้”
อวี๋หวั่นยิ้มบางๆ “ฝ่าบาทจะละทิ้งบุตรีจวนอัครมหาเสนาบดี และแต่งตั้งหม่อมฉันขึ้นเป็นฮองเฮา หลังจากขึ้นครองราชย์หรือ? ฝ่าบาทไม่กลัวคนทั้งโลกหัวเราะเยาะหรือ?”
อวี๋หวั่นเอ่ย โดยไม่รอให้เยี่ยนไหวจิ่งตอบ “แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ”
เยี่ยนไหวจิ่งไม่ได้ถามว่าอวี๋หวั่นต้องการสิ่งใด และเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “สิ่งที่เยี่ยนจิ่วเฉาให้เจ้าได้ ข้าให้เจ้าได้สองเท่า! บุตรของเจ้า…ข้าก็จะทำเหมือนเกิดจากข้า!”
อวี๋หวั่นหัวเราะเย้ยหยัน “เช่นนั้นบนเรือของเหยียนหรูอวี้ เหตุใดฝ่าบาทจึงทิ้งบุตรชายของข้าไว้? นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวว่าจะทำเหมือนเกิดจากข้าหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งบีบกำปั้น “เรื่องในอดีตผ่านไปแล้ว จากนี้ไป ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท!” คนรับใช้ที่แต่งกายด้วยชุดยาวเดินเข้ามาในห้องและมองไปที่ อวี๋หวั่นที่อยู่ด้านหลังเยี่ยนไหวจิ่งด้วยความประหม่า สีหน้าของเขาลังเล
เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้ว “ว่ามา!”
“เพคะ” คนรับใช้ค้อมกายและเอ่ยว่า “คุณหนูหันป่วยเพคะ อยากพบหน้าฝ่าบาท”
คุณหนูหัน บุตรีจวนอัครมหาเสนาบดี คู่หมั้นที่สวี่เสียนเฟยเลือกให้เยี่ยนไหวจิ่ง
ร่องรอยของความอับอายปรากฏบนใบหน้าของเยี่ยนไหวจิ่ง
อวี๋หวั่นเห็นท่าทีของเขาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ป่วยจริงๆ และไม่น่าใช่ครั้งแรกที่เยี่ยนไหวจิ่งมองออกว่านางแกล้งป่วย
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยท่าทีสบายๆ “ฝ่าบาทต้องไปหรือ?”
แต่เดิมอุปสรรคขัดขวางเส้นทางของเยี่ยนไหวจิ่งมีเพียงองค์ชายไม่กี่คน แต่ตอนนี้เขาได้ลักพาตัวภรรยาที่เพิ่งแต่งงานของเยี่ยนจิ่วเฉามา เยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีทางปล่อยเขาไป เยี่ยนจิ่วเฉารับมือยากกว่าองค์ชายมาก เขาไม่อาจทำได้โดยปราศจากการสนับสนุนจากจวนอัครมหาเสนาบดี
เยี่ยนไหวจิ่งระงับความไม่พอใจของตนเอง “ข้าไปไม่นานก็กลับ”
อวี๋หวั่นยกมุมปาก “ฝ่าบาทไม่กลัวว่าข้าจะหนีไปหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยกับคนด้านนอกประตู “ฉางอัน เจ้าอยู่ที่นี่”
จวินฉางอันเดินเข้ามา
อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจเขา หันตัวไปเปิดฉากกั้น และเอนกายพักผ่อนลงบนเตียง
เยี่ยนไหวจิ่งรีบไปที่จวนอัครมหาเสนาบดีโดยเร็วที่สุด
คู่หมั้นของเขาคือหันจิ้งซู คุณหนูสามแห่งจวนอัครมหาเสนาบดี เป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก นางเป็นที่รักของอัครมหาเสนาบดีคนเก่า หันจิ้งซูมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์ รู้วิธีทำให้ผู้คนพอใจ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยกย่องนางมาก สิ่งเดียวที่ทำให้เยี่ยนไหวจิ่งปวดหัว คือบุตรีผู้นี้ค่อนข้างติดคน
“คุณหนูหัน” ในสวนเล็กๆ ของจวนอัครมหาเสนาบดี เยี่ยนไหวจิ่งพบหันจิ้งซูในชุดสีชมพูราวกับเทพธิดาใต้แสงจันทร์
ใบหน้าหันจิ้งซูเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ไม่มีอาการป่วยแม้แต่น้อย นางบอกให้คนรับใช้ถอยออกไป และเดินมาพร้อมกับตะกร้าดอกไม้ด้วยท่าทางที่แสนน่ารัก “พี่จิ่ง! ในที่สุดท่านก็มา ข้ารอท่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว”
เยี่ยนไหวจิ่งรักษาความสุภาพ “มิใช่ว่าคุณหนูหันไม่สบายหรือ? ไยไม่พักผ่อนอยู่ในห้อง?”
หันจิ้งซูยิ้มอย่างขี้เล่น “ได้พบพี่จิ่ง อาการป่วยของข้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง! อ้อจริงสิ พี่จิ่ง เมื่อครู่ท่านไปที่ใดมาหรือ? ไยมาหาข้าช้าเยี่ยงนี้? คงไม่ใช่ว่าท่านไปมีส่วนตัวกับสตรีคนใดหรอกกระมัง?”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าเล็กๆ ของนางก็บูดเบี้ยวราวกับได้รับความไม่เป็นธรรม
เยี่ยนไหวจิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อย เขากระแอมในลำคอก่อนจะเอ่ย “ราชกิจในมือล่าช้า”
“โอ้ ข้าคิดว่าพี่จิ่งไปร่วมงานแต่งของจวนคุณชายเสียอีก อันที่จริงข้าอยากไป แต่ท่านแม่ของข้าบอกว่า ข้ากำลังจะแต่งงาน ไม่ควรปรากฏตัวในวงสังคม ข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว!” หันจิ้งซูพึมพำ เมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ นางก็ยื่นตะกร้าในมือให้คนตรงหน้า “ดอกไม้ที่ข้าเก็บมา พี่จิ่งช่วยเลือกดอกไม้มาทัดผมให้ข้าทีสิ”
เยี่ยนไหวจิ่งหยิบดอกโบตั๋นทัดมวยผมของนางอย่างไม่ได้ใส่ใจ
“ข้าสวยหรือไม่ พี่จิ่ง?” หันจิ้งซูถามด้วยรอยยิ้ม
ในความคิดของเยี่ยนไหวจิ่งฉายภาพใบหน้าสงบนิ่งไม่ยินดียินร้ายหนึ่งขึ้นมา “…สวย”
หันจิ้งซูยิ้มหวาน