อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าเด็กๆ นอนหลับไปเมื่อไร เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ก็พบว่าทั้งสามนอนพาดอยู่บนตัวเธอและเยี่ยนจิ่วเฉาคนละทิศละทาง เสี่ยวเป่ากอดขาเอ้อร์เป่า เท้าแหย่เข้าปาก อวี๋หวั่นหาวหวอด จับเด็กน้อยทั้งสามนอนให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนต่อ
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เช้ามืดแล้ว และเป็นไปดังคาด ที่นอนข้างเธอว่างเปล่า
“คุณชายมีธุระ ออกไปแล้วเจ้าค่ะ” หลีเอ๋อร์เลิกม่านพลางเอ่ยขึ้น
ราชทูตจากหนานจ้าวเดินทางมา แม้จะเห็นว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ไปออกหน้า แต่เขาก็เตรียมการป้องกันเอาไว้ลับๆ อวี๋หวั่นพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง? เด็กทั้งสามก็ไม่อยู่แล้ว?
หลีเอ๋อร์เข้าใจในทันที จึงรีบบอกว่า “คุณชายกลัวว่าคุณชายน้อยจะตื่นมาทำเสียงดังจนฮูหยินตื่น จึงให้แม่นมมาอุ้มคุณชายน้อยกลับห้องไปแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นอีกครั้งที่อวี๋หวั่นรู้สึกอบอุ่นหัวใจเพราะสามีของตน แม้ปากจะไม่ค่อยพูดคำดีๆ ออกมา แต่การกระทำล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยความเอาใจใส่
เมื่อคืนถูกขัดจังหวะ ยังคิดว่าเขาจะโกรธเด็กๆ อยู่ เห็นทีเธอคงจะคิดมากไปเอง เขาเป็นบิดาของพวกเขา เขารักพวกเขาไม่น้อยกว่าเธอ จะไปโกรธได้อย่างไร?
หลีเอ๋อร์พูดต่อ “อ้อ ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายยังบอกอีกว่าอิงเถาที่จวนสุกอีกแล้ว สามารถนำไปให้บ้านท่านแม่ฮูหยิน และจะพาคุณชายน้อยไปส่งด้วย ท่านยายกับท่านตาของคุณชายน้อยต้องคิดถึงพวกเขาเป็นแน่ ให้คุณชายน้อยไปอยู่ที่หมู่บ้านสักพักเจ้าค่ะ”
ประโยคหน้าฟังดูเป็นเรื่องหนึ่ง ประโยคหลังกลับฟังดูแปลกๆ ท่านพ่อบังเกิดเกล้าน่ะหรือ? อยู่ๆ ก็จะส่งลูกชายไปไว้ที่ชนบท?
“ได้บอกหรือเปล่าว่าจะออกกี่โมง?” อวี๋หวั่นถาม
หลีเอ๋อร์หยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้อวี๋หวั่น “เห็นบอกว่าจะรอให้องครักษ์อิ่งกลับมาก่อนเจ้าค่ะ องครักษ์อิ่งออกไปพร้อมกับคุณชายเจ้าค่ะ”
อย่างนั้นก็หมายความว่าจะพาเด็กๆ ไปตอนเย็น ให้อิ่งสือซันเดินทางตอนกลางคืน ผู้ชายคนนี้จะรีบร้อนอะไรขนาดนี้นะ…
เมื่ออวี๋หวั่นสวมเสื้อผ้าเสร็จ จื่อซูก็เข้ามาพอดี ฝางมามาจะเดินทางกลับบ้าน อวี๋หวั่นจึงให้จื่อซูศึกษาเรื่องต่างๆ ในจวนกับฝางมามา จื่อซูจึงมารายงานความคืบหน้า
อวี๋หวั่นคิดว่าจื่อซูไม่มีความจำเป็นต้องรายงานทุกวัน แต่จื่อซูคงทำอย่างครั้นตนอยู่ในจวนและต้องการให้สาวใช้ของตนเป็น
“…วั่นมามาบอกว่าเดิมทีบัญชีของเรือนชิงเฟิงรวมกับส่วนกลาง แต่ในตอนนี้คุณชายและฮูหยินน้อยยังไม่ได้เข้ามาอยู่ วั่นมามาหมายถึงเรือนชิงเฟิงสามารถแยกบัญชี…”
จื่อซูค่อยๆ พูดไปเรื่อยๆ อวี๋หวั่นก็ตั้งใจฟังอย่างใจเย็น
“ฮูหยินมีคำแนะนำหรือไม่เจ้าคะ?” จื่อซูรายงานจบ ก็ถามความเห็นของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ไม่มี ทำตามที่ฝางมามาบอกเถอะ”
“เจ้าค่ะ” จื่อซูตอบรับ กำลังจะเดินออกไป
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็เรียกนางเอาไว้ “อีกเรื่องหนึ่ง เสื้อผ้าของพวกเจ้าที่ก่อนหน้านี้มีฤดูละสี่ชุด เปลี่ยนเป็นฤดูละแปดชุด” ก่อนหน้านี้ฝางมามาและเหล่าบุรุษไม่สนใจเสื้อผ้าอาภรณ์ บัดนี้มีสาวใช้เพิ่มมาอีกหลายคน ต้องแต่งตัวให้สวยๆ งามๆ จึงจะจิตใจผ่องแผ้ว
“เจ้าค่ะ” ผู้หญิงล้วนแต่ชอบเสื้อผ้าใหม่ๆ จื่อซูก็มิใช่ข้อยกเว้น คำว่า ‘เจ้าค่ะ’ ของนาง เห็นได้ชัดว่ากำลังดีใจ
ยังมีเวลาก่อนเริ่มเรียน อวี๋หวั่นนั่งอยู่ในห้องครู่หนึ่ง เมื่อคิดว่าเด็กๆ คงตื่นแล้ว อวี๋หวั่นจึงเดินไปยังห้องของพวกเขา
มีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังมาจากในห้อง ทั้งยังมีเสียงเด็กๆ กระโดดบนเตียงเสียงดังปึงปังด้วยความตื่นเต้นมา
อวี๋หวั่นเพียงได้ยินเสียงของพวกเขา มุมปากก็ยกขึ้นทันที
อวี๋หวั่นเดินไปยังประตูด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูก็เห็นซูมู่ยืนอยู่ข้างเตียง ทั้งสามคนยกมือขึ้นปิดใบหน้าน้อยๆ จ้องมองซูมู่ หันหลังอย่างขวยเขิน ชั่วประเดี๋ยวหนึ่งก็หันหน้ากลับมามองซูมู่
ท่าทางน่ารักซุกซนเช่นนี้ ทำให้คนทั้งห้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้
อวี๋หวั่นมองไปยังซูมู่ ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงรู้สึกยิ้มไม่ออก
อวี๋หวั่นกินอาหารเช้ากับเด็กน้อยทั้งสาม ก่อนหน้านี้พวกเขาจะติดเธอแจ ไม่ยอมให้ไปเรียนกับวั่นมามา หรือมักจะเกาะแข้งขาเธอ ร้องจะตามไปเรียนด้วย แต่วันนี้กลับกินข้าวแล้ววางชามและตะเกียบลงอย่างรู้ความ จากนั้นก็วิ่งเตาะแตะออกไปเล่นที่ลานบ้าน
ที่แท้ก็เป็นเพราะซูมู่ทำชิงช้าสามตัว ที่นั่งทำจากหนัง ผูกกับเชือก และยังพันรอบตัวพวกเขาด้วย ต่อให้จับเชือกไม่แน่น พวกเขาก็จะไม่ถูกเหวี่ยงหลุดลงจากชิงช้า
เด็กน้อยทั้งสามโบยบินขึ้นบนฟ้า แล้วค่อยๆ กลับลงมาบนพื้น พวกเขาหัวเราะเสียงหมูออกมา
บรรดาบ่าวต่างก็มีความสุข เรือนชิงเฟิงไม่เคยครึกครื้นถึงเพียงนี้มาก่อน
อวี๋หวั่นเบนสายตากลับมา พยายามระงับความรู้สึกเศร้าที่ถาโถมเข้ามาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เธอถอนหายใจแล้วเดินไปหลันฟางเก๋อ
ทว่ายังไม่ทันได้เริ่มเรียน ก็มีคนมารายงานว่าแม่นางชุยมาหา
แม่นางชุยนำคำพูดของฮองเฮามาแจ้ง “…ฮองเฮากำลังจัดการงานแต่งของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนู ฮองเฮาทรงบอกว่านางอายุมากแล้ว ตามรสนิยมของคนหนุ่มสาวไม่ทัน จึงขอเชิญฮูหยินน้อยเข้าวังไปช่วยออกความเห็น…หากคุณชายน้อยไม่ติดอะไรก็เข้าวังไปเดินเล่นสักหน่อย ฮองเฮาทรงยังไม่เคยพบหน้าพวกเขา จึงทรงอยากพบ”
อวี๋หวั่นรู้ว่าฮองเฮาเห็นจวนคุณชายเป็นมิตร ก่อนหน้านี้ก็มีสวี่เสียนเฟย จากนั้นก็คณะราชทูตหนานจ้าว ทั้งศึกนอกและศึกใน พวกเขาล้วนต้องพึ่งฮองเฮา
อวี๋หวั่นรีบตอบรับอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นก็ขอวั่นมามาลาหยุด และกลับไปยังเรือนชิงเฟิงเพื่อพาเด็กน้อยทั้งสามเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮา
เข้าวังครั้งก่อน เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์กลัวจนใบหน้าซีดเผือด ทั้งสองยังเด็กและเห็นโลกมาไม่มาก อวี๋หวั่นจึงไม่พาพวกนางไปด้วย เธอให้จื่อซูเตรียมตัวพาเด็กน้อยทั้งสามไปด้วย
เด็กทั้งสามจูงมือซูมู่ ไม่ยอมเดินไปกับจื่อซู
อวี๋หวั่นมองพวกเขา
พวกเขาก็มองอวี๋หวั่นด้วยใบหน้าไร้เดียงสา ราวกับกำลังถามว่า ทำไมไม่พาซูมู่ไป?
อวี๋หวั่นลูบศีรษะน้อยๆ ของพวกเขา “เจ้าก็ไปด้วย”
“เจ้าค่ะ” ซูมู่ค้อมกาย
“ฝูหลิงก็ไปด้วย” อวี๋หวั่นบอก
ฝูหลิงส่วนสูงเจ็ดฉื่อราวกับบุรุษ เดินด้วยท่าทางน่าเกรงขามตามไป
ทั้งหมดเดินทางเข้าวัง
ฝูหลิงมีสมาธิมิได้สนใจภายนอก จึงไม่รู้สึกวิตก จื่อซูเห็นโลกมามาก ความกังวลจึงไม่ปรากฏบนใบหน้า ส่วนซูมู่สงบนิ่งเหลือเกิน สาวใช้ที่ติดตามเข้าวังในวันนี้ล้วนไม่ทำให้จวนคุณชายเสียหน้า
เหล่าสาวใช้รออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักเจาหยาง ส่วนอวี๋หวั่นจูงเด็กน้อยทั้งสามเข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮา
ท่าทางคำนับเงอะๆ งะๆ ของเด็กๆ ทำให้ฮองเฮามีรอยยิ้มขึ้นมา จวนองค์ชายใหญ่มีเด็กๆ แต่เป็นองค์หญิง ผู้สืบสกุลก็มีเพียงเด็กน้อยทั้งสามคนนี้
ฮองเฮาให้กุญแจอายุยืนแก่พวกเขาคนละลูก เด็กน้อยถือของแล้วโค้งคำนับ มีความหมายว่าขอบคุณ
“ยังพูดไม่ได้หรือ?” ฮองเฮาเอ่ยถาม “สองขวบแล้วกระมัง?”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เดือนหน้าก็สองขวบครึ่งแล้วเพคะ”
ฮองเฮายิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เด็กฉลาดมักพูดช้า ข้าว่าเด็กทั้งสามฉลาดหลักแหลม ผ่านไปสักพักก็คงเริ่มพูดบ้างแล้ว”
“น้อมรับคำอวยพรของฮองเฮา” แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่อวี๋หวั่นก็ฟังออกว่าฮองเฮากังวลว่าลูกๆ ของเธอจะบกพร่องทางสติปัญญา เธออยากบอกนางไปว่าลูกๆ ของเธอไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด แต่ก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร
เด็กทั้งสามเตาะแตะไปนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย
ฮองเฮาให้แม่นางชุยพาพวกเขาไปเดินเล่น วันนี้องค์หญิงตัวน้อยจากจวนองค์ชายใหญ่ก็มาที่นี่ องค์หญิงโตกว่าเด็กน้อยทั้งสามสองปี คงจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้
หลังจากนั้นฮองเฮาก็ตรัสกับอวี๋หวั่นเรื่องงานแต่ง “ข้าคิดไว้ว่าจะตั้งเวทีการแสดงที่ตำหนักเฟยหลวน คณะการแสดงก็เชิญมาเป็นพิเศษเพื่อแขกจากหนานจ้าว ฝ่าบาททรงมีดำริว่าอาณาจักรหนานจ้าวเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพื่อสานสัมพันธ์อันดีกับต้าโจว พวกเราไม่อาจเพิกเฉย การแสดงแต่ละชุดจะอ้างอิงตามความชอบของคณะราชทูตหนานจ้าว เจ้าช่วยข้าเลือกหน่อย”
เธอจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? ไปถามทูตที่หงหลูซื่อไม่ดีกว่าหรือ?
ฮองเฮาแตะมือของอวี๋หวั่นเบาๆ แล้วยิ้มอย่างอบอุ่น “ข้าจะพาเจ้าไปฟัง”
คณะการแสดงที่มาเป็นคณะการแสดงของราษฎรทั่วไป อวี๋หวั่นไม่เคยดูการแสดงสมัยโบราณ เธอรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง จึงลุกขึ้นแล้วเดินตามฮองเฮาไป
“เรียกคุณชายน้อยและองค์หญิงมาด้วยเถิด” ฮองเฮาบอกกับแม่นางชุย
“เพคะ” แม่นางชุยอุ้มองค์หญิง ส่วนฝูหลิงอุ้มเด็กน้อยทั้งสาม
เมื่อเห็นร่างกำยำสูงใหญ่ของฝูหลิง คิ้วของฮองเฮาก็กระตุกเล็กน้อย แต่นางก็มิได้กระโตกกระตากแต่อย่างใด นางจูงมืออวี๋หวั่นเดินเข้าไปยังโรงละครของตำหนักเจาหยาง
เวทีตั้งเกือบเสร็จแล้ว นักแสดงต่างก็กำลังเตรียมตัวอยู่ด้านหลังเวที หัวหน้าคณะแสดงเดินมาคำนับฮองเฮา
ฮองเฮาโบกมือ แล้วพาอวี๋หวั่นไปนั่ง
องค์หญิงนั่งข้างฮองเฮา เด็กน้อยทั้งสามนั่งข้างอวี๋หวั่น พวกเขาไม่เคยชมการแสดงมาก่อน จึงจับจ้องบนเวทีไม่ยอมละสายตา การแสดงชุดแรกเกี่ยวกับการต่อสู้ มีเสียงกลองรัวราวกับเสียงฟ้าฝ่า จากนั้นก็มีคนชุดดำตีลังกาออกมาจากหลังเวที
‘ฟ้าฝ่า’ และ ‘คนชุดดำ’ เด็กน้อยทั้งสามตกใจกลัวในทันใด อวี๋หวั่นรู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีแล้ว จึงรีบรุดไปหาลูกๆ แต่กลับพบว่าซูมู่เข้ามาอยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว
เด็กทั้งสามโผเข้าหาซูมู่ กอดคอของนางไว้แน่น
อวี๋หวั่นยืนค้างอยู่เช่นนั้น
……………………………………….