จื่อซูนึกถึงใบหน้าไร้ความรู้สึกใต้แสงจันทร์ในคืนนั้น ใบหน้านั้นราวกับทับซ้อนใบหน้าของซูมู่ในตอนนี้ ทว่าเพียงชั่วลัดนิ้วมือหนึ่งก็เท่านั้น ทันทีที่นางตระหนักได้ว่าตนคงคิดไปเอง ซูมู่ก็กลับมามีสีหน้าอ่อนแรงดังเดิม
“วางเอาไว้เถอะ อีกสักพักข้าค่อยกิน” ซูมู่บอกอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
จื่อซูกำผ้าเช็ดหน้าแน่น แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ฮูหยินให้พวกข้าดูเจ้ากิน”
ซูมู่ขมวดคิ้ว
ฝูหลิงหมดความอดทนเสียแล้ว นางเกาหัวเล็กน้อย บีบแก้มของซูมู่ ตักโจ๊กเต็มช้อนแล้วกรอกใส่ปาก “ให้เจ้ากินเจ้าก็กินเข้าไป! พูดพล่ามอยู่ได้!”
ยังไม่กินอีก!
ในโจ๊กใส่พุทรา ทั้งยังใส่น้ำตาลทรายแดง ทั้งหอมทั้งหวาน
ฝูหลิงน้ำลายสอ แต่นางก็เชื่อฟังคำสั่งของฮูหยิน กรอกโจ๊กใส่ปากซูมู่จนหมด
……
จื่อซูกลับไปรายงานภารกิจที่เรือนชิงเฟิง อวี๋หวั่นไม่ได้พูดอะไร แล้วบอกให้นางออกไป
novel-lucky
เยี่ยนจิ่วเฉามีธุระนอกจวน อวี๋หวั่นนั่งอยู่ในเรือนรอเขากลับมากินข้าว ทว่ารอจนฟ้ามืดก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะกลับมา ในตอนนั้นเอง เจียงไห่ก็เข้ามารายงานว่าคุณชายจะไปงานเลี้ยงข้างนอก เชิญฮูหยินน้อยไปด้วยกัน
งานเลี้ยง?
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว ในเมื่อเป็นงานเลี้ยง ก็ต้องสวมชุดสำหรับงานเลี้ยง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นงานเลี้ยงอะไร เธอจึงไม่กล้าสวมชุดที่เลิศหรูจนเกินไป อวี๋หวั่นเปิดประตูตู้เสื้อผ้า หยิบชุดยาวแขนกว้างออกมา ให้ปั้นซย่าซึ่งมือไม้คล่องแคล่วเกล้ามวยผมทรงก้นหอยให้ ปักด้วยปิ่นทองคำลายหงส์ประดับมุุก ประดับศีรษะด้วยเตี่ยนชุ่ย[1] ดูหรูหราแต่ไม่ขาดความสง่า วิจิตรแต่ไม่เกินพอดี ดวงตาเป็นประกาย ฟันเรียงสวย ดูงดงามเหลือเกิน
สาวใช้ในห้องล้วนตกตะลึง พวกนางรู้แต่แรกแล้วว่าฮูหยินน้อยนั้นรูปโฉมงดงาม แต่ก็ไม่รู้ว่านางจะงดงามได้ถึงเพียงนี้
“ฮูหยินน้อย” จื่อซูส่งกระดาษชาดสีแดงสดให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเม้มปากเบาๆ
ริมฝีปากของเธอเป็นสีแดง
อวี๋หวั่นพาจื่อซูเดินทางออกจากจวนคุณชาย
เมื่อเจียงไห่เห็นอวี๋หวั่นก็ตกตะลึงไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แต่เขาก็หลุบตาลงอย่างรวดเร็ว พร้อมบอกกับอวี๋หวั่นว่า “ฮูหยินน้อยเชิญขึ้นรถขอรับ”
เจ้านายและบ่าวขึ้นรถม้าไป
อวี๋หวั่นถามขึ้นว่า “คุณชายบอกหรือไม่ว่างานเลี้ยงที่ไหน?”
“คุณชายบอกว่าที่ทะเลสาบลี่ขอรับ” เจียงไห่ตอบ
“อ้อ” อวี๋หวั่นร้องขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เดิมทีเธอก็คิดว่าบ้านใครตั้งอยู่กลางทะเลสาบ เมื่อไปถึงแล้วจึงรู้ว่าจะเป็นบ้านใครเสียอีก ก็บ้านเธอนี่แหละ
เรือหรูประดับประดาอย่างวิจิตรงดงาม เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งงดงามยิ่งกว่า กำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือ
แม้ว่าจะนั่งอยู่บนรถเข็น แต่ผู้ชายคนนี้ก็ยังคงมีรังสีแห่งความเย่อหยิ่งแผ่ซ่านออกมา
อวี๋หวั่นพาจื่อซูขึ้นไปบนเรือ
เรือลำนี้อวี๋หวั่นคุ้นเคยดี ในวันที่ถูกเหยียนหรูอวี้ลักพาตัว เขามาหาเธออย่างรวดเร็วด้วยเรือสีทองลำนี้ แต่ในตอนนั้นด้านหลังของเขามีทหารเรือนับพันคนคอยอารักขา
เขาในตอนนั้น นับว่าเล่นใหญ่พอสมควร
แม้ว่าจื่อซูจะเกิดในตระกูลข้าราชการ แต่ข้าราชการไหนเลยจะเทียบได้กับเชื้อพระวงศ์? ทันทีที่นางขึ้นเรือไปก็ต้องตกตะลึงกับความหรูหราอลังการของเรือ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าดาดฟ้าของเรือทำจากทองคำหรือไม่
“ชู่ว” ทันใดนั้นเอง อิ่งลิ่วก็หยุดจื่อซูเอาไว้ แล้วบุ้ยใบ้ไม่ให้จื่อซูส่งเสียง
จื่อซูจำต้องกลืนเสียงหวีดร้องกลับลงคอไป
อิ่งลิ่วขยิบตาให้นาง จื่อซูเข้าใจในทันที แล้วเดินไปยังร้านน้ำชาซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปพร้อมกับเขา
อวี๋หวั่นยิ้ม มิได้รังเกียจรังงอนที่สาวใช้ของเธอถูกอิ่งลิ่วพาตัวไป เธอเดินมาหยุดข้างเยี่ยนจิ่วเฉา ซ้ายมือเป็นรั้วทำจากไม้หนานมู่เนื้อทอง สูงประมาณครึ่งคนเห็นจะได้ แกะสลักเป็นลัญจกรลายเมฆาของจวนเยี่ยนอ๋อง
ว่ากันว่าไม้หนานมู่เนื้อทองพันปีไม่ผุ หมื่นปีไม่พัง เป็นไม้ที่ฮ่องเต้ทรงใช้
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่านี่เป็นการกล่าวเกินจริงหรือไม่ แต่นอกจากในวังหลวงแล้ว เธอไม่เคยเห็นใครใช้ไม้ชนิดนี้เลย
เยี่ยนจิ่วเฉาสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีฟ้าอ่อน ผมดำขลับรวบไว้บนศีรษะ สวมกวนหยกขาว เขามีใบหน้างดงามไร้ที่ติ ประณีตดุจหยก สง่าดุจดวงจันทร์ ไม่ต้องทำอะไรก็หล่อเหลาจนไม่อาจละสายตาได้
อวี๋หวั่นคุกเข่าลงตรงหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา มองหน้าเขาพลางยกมือขึ้นเท้าคาง “งานเลี้ยงนี้มีแค่พวกเราหรือ?”
“น้อยไปรึ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามเธอด้วยสีหน้าเย็นชาดังก้อนน้ำแข็ง
อวี๋หวั่นไม่ได้รู้สึกโกรธ เธอยกยิ้มมุมปาก “เยี่ยนจิ่วเฉา ท่านอยากอยู่กับข้าสองต่อสองใช่ไหมละ?”
“ไปกินข้าวเถอะ!” เยี่ยนจิ่วเฉาผลักรถเข็นไปยังโต๊ะ
อวี๋หวั่นมองตามแผ่นหลังของเขา ลอบยิ้มมุมปาก “อยากอยู่กับข้าสองต่อสอง ยังไม่ยอมรับอีก”
อวี๋หวั่นเดินตามไป นั่งลงตรงข้ามเขา
เขาหันหน้าไปมองทัศนียภาพของทะเลสาบ แต่อวี๋หวั่นจ้องมองเขา
ห้องครัวเริ่มยกอาหารมาจัดวาง มีอาหารหลากหลายกว่าที่คิด จัดปริมาณที่พอเหมาะ อาหารแต่ละจานมีขั้นตอนการทำซับซ้อน กระนั้นเมื่อเทลงในจานแล้วกลับเหลือเพียงสองสามช้อนเท่านั้น
พ่อครัวค่อยๆ นำอาหารทั้งหมดสามสิบชนิดมาจัดวางจนเต็มโต๊ะยาว อาหารส่วนใหญ่นั้นอวี๋หวั่นไม่รู้จักชื่อ มีบ่าวบนเรือคอยคีบอาหารให้ อาหารแต่ละชนิดกินเพียงคำเดียว เมื่อกินเข้าไปแล้วก็อยากกินอีก แต่จานต่อๆ ไปกลับน่ากินยิ่งกว่า
“นี่คืออะไรหรือ?” อวี๋หวั่นมองไปยังชามใส่…ลูกชิ้น…พลางเอ่ยถาม
“ลูกชิ้นเจ้าค่ะ” สาวใช้ซึ่งทำหน้าที่คีบอาหารตอบ
แต่ว่าทำจากเห็ดสามสิบชนิด อาหารทะเลสิบห้ารสชาติ ทอดในน้ำบัวหิมะและไขมันห่าน คำพูดนี้สาวใช้มิได้พูดออกไป
“ทำไมของเขาเป็นสีขาวเล่า?” อวี๋หวั่นมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาแล้วเอ่ยถาม
“นั่นเป็นลูกชิ้นปลา[2]เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
“อ้อ”
ทำไมเขาต้องกินลูกชิ้นปลาด้วย?
novel-lucky
เธอเองก็อยากกินเหมือนกัน
ท่วงท่ายามกินอาหารของเยี่ยนจิ่วเฉานั้นเจริญหูเจริญตาเหลือเกิน เป็นความสง่างามของคนชั้นสูง ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถลอกเลียนได้
แต่ว่าท่าทางการกินของอวี๋หวั่นก็ไม่ได้เลวร้าย ไม่ได้เหนียมอาย แต่ก็ไม่ได้เสแสร้ง ดูเธอกินแล้วรู้สึกว่าอาหารนั้นเอร็ดอร่อยยิ่งนัก
อาหารมีหลากหลายจนอวี๋หวั่นคิดว่าเป็นงานเลี้ยงจริงๆ เธอกินอิ่มจนรู้สึกราวกับว่าท้องขยายออกมาเพิ่มอีกห้าส่วน สาวใช้ยกบะหมี่ชามเล็กมาให้อวี๋หวั่น และยกโจ๊กข้าวเจ้ามาให้เยี่ยนจิ่วเฉาหนึ่งชาม อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว แล้วก้มหน้าก้มตากินบะหมี่จนหมดชาม
อาหารมื้อนี้ใช้แรงกายแรงใจทุ่มเททำออกมา เธอรู้สึกว่าตนกำลังลิ้มลองอาหารไปไม่น้อย แต่ก็ไม่นับว่าอิ่มจนเกินไป
เมื่อกินข้าวเสร็จ อวี๋หวั่นก็นั่งชมทิวทัศน์ข้างๆ เยี่ยนจิ่วเฉา
เดิมทีคิดว่าไม่มีอะไรให้ดูมาก ไหนเลยจะรู้ว่าทันใดนั้นก็มีเรือของชาวบ้านลำหนึ่งแล่นมา แล้วเริ่มร้องบทละคร อวี๋หวั่นดูละครไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่กลับรู้สึกว่าน่าสนใจกว่าการแสดงของคณะการแสดงที่ฮองเฮาเชิญมาเสียอีก
หลังจากนั้นก็มีการบรรเลงผีผาและระบำ ผีผาอ่อนโยน ระบำงามสง่า ไม่นานเรือลำอื่นๆ ก็เคลื่อนเข้ามาชมการแสดงเช่นกัน ทว่าเรือของพวกเขาอยู่ในทำเลที่ดีที่สุด อยู่ตรงกันข้ามและตรงกลางของการแสดงพอดิบพอดี เสียงของดนตรีและการแสดงก้องกังวาน ได้ยินอย่างชัดเจน
“นี่คือวงดนตรีของชาวบ้านหรือ?” อวี๋หวั่นถามด้วยความสงสัย
“ชอบหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม
อวี๋หวั่นดูอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้สนใจว่าเขาจะตอบหรือไม่ตอบคำถาม เธอพยักหน้าน้อยๆ
ข้ามมิติมาอยู่โลกนี้ตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นการแสดงและความคึกคักอย่างนี้ หลังจากการแสดงชุดแรกจบลง ก็มีระบำหูและระบำจิงหง การแสดงเหล่านี้แตกต่างจากที่เคยเห็นในโลกก่อนหน้ามาก ทั้งยังมีการขับร้อง เสียงของนักร้องนั้นกังวานใสอย่างเหลือเชื่อ
อวี๋หวั่นชอบมาก
แต่ความตื่นเต้นของวันนี้ดูเหมือนจะมิได้จบลงเพียงบนเรือ ทันใดนั้นเองก็มีคนร้องว่า “โคมดอกบัว!”
เมื่ออวี๋หวั่นหันไปมองตามเสียงนั้น ก็เห็นว่ามีคนจุดโคมขึ้นมาจากด้านทิศใต้ของทะเลสาบ จากนั้นก็มีดวงที่สอง ดวงที่สาม…โคมดอกบัวอีกจำนวนมาก
โคมดอกบัวส่องสะท้อนราวกับทะเลสาบกำลังเรืองแสง ผิวน้ำกระเพื่อมน้อยๆ ทะเลสาบดูกว้างไกล ไร้ที่สิ้นสุด
อวี๋หวั่นตื่นตะลึงกับความงามตรงหน้า
อวี๋หวั่นช่างโชคดีเหลือเกิน มากินข้าวกับเยี่ยนจิ่วเฉาสองต่อสอง แต่กลับได้ชมการแสดง ทั้งยังมีโคมให้ดู…
ทันใดนั้นเองอวี๋หวั่นก็นึกบางอย่างออก เธอหันหน้าไป สายตาจับจ้องไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉากำลังมองเธอ สายตาของเขาแฝงความอ่อนโยน “อวี๋อาหวั่น สุขสันต์วันเกิด”
……
มะ…ไม่ได้บอกว่าอีกสองสามวันหรอกหรือ?
อวี๋หวั่นตะลึงงัน
หัวใจพองโต เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เธอลืมไปหมดแล้วว่าจะพูดอะไร ได้แต่ยืนทึ่งอยู่เช่นนั้น ราวกับเป็นกระต่ายโง่งมตัวหนึ่ง ไม่รู้จะวิ่งไปที่ใด
อวี๋หวั่นจำไม่ได้ว่าตนดึงเขาเข้าห้องไปตั้งแต่เมื่อไร เธอรู้สึกร้อนรน ปลดกระดุมไม่ออก เธอจึงฉีกเสื้อผ้าออกให้รู้แล้วรู้รอด คุณชายแห่งเมืองเยี่ยนคงไม่มานั่งเสียดายเสื้อผ้าหรอกใช่ไหมเล่า
สายลมเหนือทะเลสาบเย็นเยือก แต่หัวใจของเธอกลับเร่าร้อน ผู้คนด้านนอกต่างหัวเราะกันครื้นเครง แต่ในห้องกลับเงียบสงัด
เธอจับมือของเขา
เธอคิดว่าชีวิตนี้ จะไม่ยอมปล่อยมือผู้ชายคนนี้ไปเด็ดขาด
………………………………………………
[1] เตี่ยนชุ่ย คือเครื่องประดับศีรษะสตรีสมัยโบราณชนิดหนึ่ง ทำจากขนนกกระเต็นติดลงบนเครื่องโลหะ
[2] ลูกชิ้นปลา ภาษาจีนใช้คำว่าอวี๋หวั่น (鱼丸) พ้องเสียงกับชื่อของอวี๋หวั่น