“ต่ำช้า! เจ้ากล่าวอันใด!” อิ่งลิ่วเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว
รู้อยู่ว่าชายผู้นี้เป็นคนต่ำทราม ทว่าไม่คิดว่าจะต่ำทรามได้ถึงเพียงนี้ เซียวเจิ้นถิงเป็นบุรุษ แล้วเรื่องตบหน้าก็เป็นเรื่องระหว่างบุรุษด้วยกัน หากจะกล่าวให้ใหญ่กว่านี้ ก็คือเรื่องของขุนนางสองประเทศ ทว่ากลับใช้วาจาล่วงเกินอิสตรีย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
และวาจาเช่นนี้ก็ไม่ควรออกมาจากปากของขุนนาง
อิ่งลิ่วชักดาบเล่มยาวออกมาทันที
เห้อเหลียนฉีไม่แม้แต่เหลือบสายตา เขาเพียงเอื้อมมือออกไปจับใบมีดของอิ่งลิ่วไว้ได้อย่างแม่นยำ
ดาบเล่มยาวของอิ่งลิ่วถูกหนีบไว้แน่น สีหน้าของอิ่งลิ่วดูย่ำแย่เกินบรรยาย ทว่าเมื่อมองกลับไปที่เห้อเหลียนฉีซึ่งอยู่ด้านข้าง เขากลับมีท่าทีสงบนิ่งและสบายๆ
แม้วิทยายุทธ์ของอิ่งลิ่วจะไม่ดีเท่าอิ่งสือซัน ทว่าเขาก็เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่งเช่นกัน เห้อเหลียนฉีสามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเห้อเหลียนฉีก็มีความสามารถอยู่บ้าง
อิ่งสือซันแอบรวบรวมกำลังภายใน
เห้อเหลียนฉีเย้ยหยัน “ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าได้ทำผลีผลาม ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดมือเขา”
อิ่งสือซันกำหมัดแน่น
สีหน้าของเห้อเหลียนฉีตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ในสายตาของเยี่ยนจิ่วเฉา ไม่ว่ายามที่เอ่ยวาจาร้ายกาจ หรือหยุดยั้งดาบของอิ่งลิ่ว ในแววตาของเขาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ
เห้อเหลียนฉีคลี่ยิ้มเย็นชา “ไยไม่เอ่ยสิ่งใดต่อ? นี่เจ้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย? หากเจ้าอยากได้ชุดเกราะคืน ทว่าไม่ต้องการจ่ายสิ่งใด…มันคงเป็นไปไม่ได้ ช่างไม่มีเหตุผลเสียเลย”
เหตุผล? อิ่งลิ่วอยากตบเขาสักครา คนที่ไร้ศีลธรรมจรรยาเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉานเยี่ยงเขามีสิทธิ์เอ่ยคำนี้ด้วยรึ?
“แม่ทัพเห้อเหลียนจริงจังหรือไม่?” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวเบาๆ
เห้อเหลียนฉีหัวเราะ “โดยธรรมชาติข้าเป็นคนจริงจัง ทว่าไม่รู้ว่าคุณชายเยี่ยนจะจริงใจเพียงใด อย่างที่ทุกคนทราบดี แม่ทัพใหญ่เซียวเห็นเจ้าเป็นบุตรแท้ๆ ของเขา เพื่อเจ้าแล้ว หลายปีมานี้เขาไม่ต้องการมีบุตรของตนเองเลยสักคนเดียว เมื่อเทียบกับมารดาแท้ๆ ของเจ้าที่ทำได้แค่แต่งงานใหม่ พ่อเลี้ยงผู้นี้ยังดูมีประโยชน์มากกว่า เจ้าลองคิดดูสิ หากนำชุดเกราะไปเป็นเกียรติแก่เขาเพื่อแสดงความกตัญญู หลังจากเขาจากไปทุกอย่างของสกุลเซียวก็จะเป็นของเจ้าทั้งหมด”
อิ่งสือซันกำหมัดดังกร๊อก
เห้อเหลียนฉีชำเลืองมองเขา “ครึ่งหน่วยกล้าตาย ข้างกายคุณชายเยี่ยนไม่มีผู้ใดให้ใช้แล้วหรือ? ถึงได้เก็บขยะเช่นนี้ไว้ ให้ข้าส่งหน่วยกล้าตายไปให้สักสองสามคน เพื่อแสดงวามจริงใจในการทำข้อตกลงของเราดีหรือไม่?”
“ก็ลองดูสิ” เยี่ยนจิ่วเฉาข่มขู่
เห้อเหลียนฉีหัวเราะออกมา และยกมือขึ้นตบไหล่ของเยี่ยนจิ่วเฉา สายตาเยียบเย็นของเยี่ยนจิ่วเฉากวาดมอง แขนของเขาก็พลันหยุดชะงัก
เขาหัวเราะและละมือออก พลางเอ่ยกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “ข้าก็ไม่ได้บังคับ เอาแบบนี้แล้วกัน ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดสักสามวัน หลังจากสามวัน ข้าจะเอาชุดเกราะนั่น…ไปทำลายทิ้งด้วยตัวข้าเอง!”
เอ่ยจบ เขาก็ปล่อยอิ่งลิ่วแล้วเดินออกไป
กำลังภายในของคนผู้นี้ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แขนอิ่งลิ่วชาไปครึ่งหนึ่ง
อิ่งลิ่วถูแขนพร้อมกับก่นด่า “ไอ้แก่สมควรตาย ไม่ช้าก็เร็วข้าจะฆ่าเขา!”
สีหน้าอิ่งสือซันไม่สู้ดี
อิ่งลิ่วกำลังจะเอ่ยบางอย่างกับเขา ทว่าเขากลับมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ข้างๆ “คุณชาย วาจาของเห้อเหลียนฉีท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจ…”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “วางใจเถิด ข้าไม่ถูกยั่วให้โกรธง่ายเพียงนั้น”
หากคนเขลาทำให้เขาโกรธได้ ก็ไม่รู้ว่าปีนี้เขาจะโกรธไปกี่ครั้งแล้ว บางคนก็สมควรถูกจัดการ เรื่องธรรมดา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความโกรธของเขา
ตนเองอยากหาเหาใส่หัว เช่นนั้นก็โทษเขาไม่ได้
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินลงไปชั้นล่าง
หลังจากขึ้นรถม้า อิ่งลิ่วเห็นว่าสีหน้าของอิ่งสือซันไม่ค่อยดี จึงเริ่มดึงบังเหียน และถามเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ในรถม้า “คุณชาย ยามนี้จะกลับจวนเลยหรือไม่?”
“เข้าวังหลวง”
เมื่อก่อนอิ่งสือซันเป็นคนบังคับรถม้า อิ่งลิ่วบังคับรถม้าไม่เก่งเท่าเขา เส้นทางเป็นหลุมเป็นบ่อมาก โชคดีที่คุณชายไม่ได้สนใจ เยี่ยนจิ่วเฉาเดินออกจากรถม้าและตรงไปยังห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ อิ่งลิ่วจอดรถม้าที่ประตูวังด้านนอก
“เฮ้ เจ้าก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลย” อิ่งลิ่วใช้ศอกดันแขนของอิ่งสือซัน เขารู้ดีว่าอิ่งสือซันกำลังคิดสิ่งใด อิ่งสือซันเกิดมาเป็นหน่วยกล้าตาย สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตคือการถูกเรียกว่าครึ่งหน่วยกล้าตาย ไม่ต่างจากการด่าผู้ใดสักคนว่าเป็นหญิงก็ไม่ใช่เป็นชายก็ไม่เชิง
อิ่งลิ่วเอ่ยอีกครั้ง “ชายที่เอ่ยวาจาเหลวไหลนั่นจะไปรู้อะไร?”
อิ่งสือซันหลุบตาลง “ที่เขากล่าวก็ไม่ผิด ข้าเป็นครึ่งหน่วยกล้าตาย ข้าไม่ได้แข็งแกร่งเยี่ยงหน่วยกล้าตาย”
อิ่งลิ่วเอ่ย “เจ้าฆ่าหน่วยกล้าตายของสวี่ส้าวได้เลยนะ”
อิ่งสือซันกล่าว “นั่นเป็นเพียงกลุ่มหน่วยกล้าตายระดับแรกสุดเท่านั้น”
อิ่งลิ่วอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนเขาอย่างไร กล่าวตามตรงเขาก็เป็นหน่วยกล้าตายเช่นกัน ทว่าก็ไม่นานเท่าอิ่งสือซัน และไม่ได้มีอิทธิพลมากเท่ากับอิ่งสือซัน ดูจากภายนอกเหมือนอิ่งสือซันยอมรับตัวตนในปัจจุบันได้ ทว่าในใจกลับคิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่แข็งแกร่งพอ ทว่าหากเขากลายเป็นหน่วยกล้าตายอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีอิ่งสือซันในยามนี้
“หากได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง” อิ่งลิ่วกล่าวอย่างเบาใจ “ทว่าอย่างไร ข้าก็เชื่อว่าวันหนึ่ง เจ้าจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้”
ณ จวนคุณชาย
หลังจากที่อวี๋หวั่นทานมื้อกลางวันกับไป๋ถังและเด็กชายตัวอ้วนทั้งสามแล้ว ไป๋ถังก็เสนอว่าจะพาเด็กอ้วนทั้งสามไปเดินเล่น ร้านขนมแห่งใหม่ที่เปิดอยู่ตรงข้ามหอจุ้ยเซียนมีรสชาติดียิ่ง ทว่าทันใดนั้นจื่อซูก็เดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับถือกล่องขนมที่ทำสดใหม่จากครัว “ฮูหยินน้อย ของสำหรับคุณชายอวี๋พร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
พี่รอง?
อวี๋หวั่นตีหัวตนเอง พี่รองของเธออยู่ในสำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว วันนี้เป็นวันที่กั๋วจื่อเจียนจัดสอบประจำเดือน เธอบอกว่าจะไปเยี่ยมเขา ทว่าพอเกิดเรื่องของเห้อเหลียนฉี เธอก็ลืมไปเสียสนิท
“ข้าลืมแม้กระทั่งเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นพึมพำ
“เจ้าคงมิใช่ว่ามีแล้วกระมัง?” ไป๋ถังเอนตัวลงมาดูหน้าท้องแบนราบของเธอ “ท้องหนึ่งคนโง่สามปี”
อวี๋หวั่นแปลกใจ “แค่เดือนแรกจะท้องได้อย่างไร”
“เดือนแรกรึ” ไป๋ถังส่งสายตาที่แฝงรอยยิ้มให้อวี๋หวั่น แค่คืนแรกก็ท้องแล้ว ทว่ายามนี้ทั้งเดือน ยังไม่พอจะเก็บเกี่ยวผลผลิตอีกรึ?
อวี๋หวั่นลูบท้องของเธอ ช่วงนี้เธอเบื่ออาหาร คงไม่ใช่ว่ามีจริงๆ กระมัง? ระดูของเธอก็เหมือนจะไม่มา แต่รอบเดือนของเธอมักมาไม่สม่ำเสมออยู่แล้ว มาบ้างไม่มาบ้างก็คงไม่ได้ผิดปกติอะไร…
สรุปแล้วท้องหรือไม่ท้องเนี่ย?
เธอเป็นมารดาของบุตรสามคนแล้ว แม้พวกเขาจะน่ารักมาก ทว่าเธอก็ยังไม่พร้อมจะมีท้องที่สองจริงๆ…
เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเธอ ไป๋ถังก็หัวเราะเบาๆ “เอาละๆ ข้าแค่แกล้งเจ้า ไหนเลยจะไปท้องง่ายดายเพียงนั้น? เด็กๆ เป็นของขวัญจากสวรรค์ ให้มาตั้งสามคนแล้ว ควรจะให้คนอื่นบ้างนะ! รีบไปเยี่ยมพี่รองของเจ้าเถิด ไม่ต้องไปกับข้าละ”
โดยปกติ พวกนางก็ไปสำนักบัณฑิตด้วยกันได้ ทว่าไป๋ถังยังไม่ได้เข้าพิธีสมรส ดังนั้นการไปเยี่ยมน้องสามีในอนาคตจึงไม่ค่อยเหมาะสมนัก อาจกลายเป็นที่นินทาได้
แล้วยังมีหนุ่มน้อยอีกสามคน ซึ่งเธอสัญญาไว้แล้วว่าจะพาพวกเขาไปเที่ยว
อวี๋หวั่นมองบุตรชายของเธอ
ไป๋ถังเข้าใจดี พลางแย้มยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าจะพาพวกเขาไปซื้อขนม”
“ท่านไหวหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
ไป๋ถังจ้องกลับด้วยตากลมโต “ข้าจะไม่ไหวได้อย่างไร? อย่าได้ดูถูกข้า! แล้วอีกอย่างพวกเขาก็ว่าง่ายเพียงนี้ คงไม่มีทางวิ่งซุกซนได้หรอกกระมัง?”
นางเอ่ยพลางยิ้มและบีบแก้มเด็กอ้วนทั้งสาม
เด็กอ้วนพยักหน้าด้วยท่าทีบ้องแบ๊ว แสดงออกว่าพวกเขาว่านอนสอนง่ายยิ่งนัก
ไป๋ถังเป็นพี่สะใภ้ในอนาคตของเธอ หากจะให้บุตรชายตามนางไปข้างนอกก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ทว่าเพื่อไม่ให้เด็กๆ ดื้อรั้น อวี๋หวั่นจึงให้เจียงไห่กับจื่อซูติดตามไปด้วย
หลังจากนั้น อวี๋หวั่นก็นำขนมและผลไม้ที่เพิ่งเก็บมาเดินทางไปกั๋วจื่อเจียน ไป๋ถังก็พาเด็กน้อยทั้งสามขึ้นรถม้ามุ่งไปยังทางหอจุ้ยเซียน
ในที่สุดก็ฉกเด็กทั้งสามออกมาได้แล้ว ไป๋ถังอารมณ์ดียิ่ง!
“วันนี้พวกเจ้าเป็นของข้า!” ไป๋ถังบีบแก้ม บีบแก้ม แล้วก็บีบแก้มพวกเขาอย่างตื่นเต้น
ไม่นาน รถม้าก็มาถึงหอจุ้ยเซียน ผู้คนก็มากันแล้ว จึงไม่อาจไปทักทายนายท่านฉินได้ ไป๋ถังพาเด็กๆ ลงจากรถม้า ทว่าวันนี้นายท่านฉินไม่อยู่ ผู้จัดการรู้จักไป๋ถัง และรู้ว่านางเป็นคนสนิทของรองผู้ดูแล อีกทั้งยังพาบุตรของรองผู้ดูแลมาด้วย จึงรีบต้อนรับนางและพาไปยังห้องบัญชีของอวี๋หวั่น
ส่วนเจียงไห่ไปซื้อขนม
หลังจากชื่อเสียงของหอจุ้ยเซียนโด่งดังแล้ว แม้แต่ธุรกิจร้านค้าต่างๆ บนถนนก็รุ่งเรืองไปตามๆ กัน ร้านค้าร้านนั้นที่เปิดมาได้ไม่นาน ก็กลับมีคนต่อแถวยาวเหยียดเสียแล้ว
ไป๋ถังนั่งรออยู่เงียบๆ ในห้อง ทว่าเด็กอ้วนทั้งสามไม่อาจทนกับความเหงาที่ถาโถมได้ พวกเขานอนคว่ำหัวอยู่บนขอบหน้าต่าง หัวเล็กๆ ส่งสายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดเวลา
“ไอ้หยา! ระวังตก!” ไป๋ถังรีบก้าวไปข้างหน้าและดึงเด็กอ้วนทั้งสามออกมาทีละคน
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสามคนก็คลานขึ้นไปที่ขอบหน้าต่างอีกครั้ง
ไป๋ถังจ้องมองพวกเขาอย่างจนปัญญา “เอาละๆ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปเดินเล่นรอบๆ”
เด็กชายตัวอ้วนทั้งสามลงจากขอบหน้าต่างและจับมือไป๋ถัง
ไป๋ถังและจื่อซูพาทั้งสามลงไปชั้นล่าง
พวกเขาไม่ได้มาเดินเที่ยวนานแล้ว ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างและมองไปรอบๆ
“ถังหูลู่ ถังหูลู่หวานๆ ใหญ่ๆ จ้า”
ห่างออกไปไม่ไกล มีพ่อค้าเร่คนหนึ่งเดินผ่านมาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
เด็กอ้วนทั้งสามจ้องมองไม้ถังหูลู่ที่หวานเยิ้มพราวระยับ แล้วน้ำลายของพวกเขาก็ไหล “ซู้ด~”
ไป๋ถังหัวเราะเสียงดัง
จื่อซูก็ยิ้มและเอ่ยกับไป๋ถัง “ข้าน้อยจะไปซื้อมาสักสองสามไม้”
ไป๋ถังยิ้มอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ “ไปเถิด”
พ่อค้าเร่ขายถังหูลู่อยู่ห่างไปไม่ไกล จื่อซูเดินไปหาด้วยก้าวเล็กๆ แม้ว่าวันนี้จะมีลมแรง ทว่าแสงแดดก็ร้ายแรงไม่แพ้กัน หลังจากร่างรับแดด ไป๋ถังก็เริ่มรู้สึกร้อนเล็กน้อย นางใช้ผ้าเช็ดหน้าพัด พลันก้มมองลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ และเห็นเด็กทั้งสามที่ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ไป๋ถังจึงคุกเข่าลง และใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้พวกเขา
ทันใดนั้น รถม้าคันหนึ่งก็แล่นเข้ามา
ไป๋ถังไม่สนใจ ขณะที่รถม้าแล่นผ่านนาง ล้อรถก็ไปชนกับก้อนหิน จนเกิดเสียงดังลั่น ไป๋ถังตกใจ ผ้าเช็ดหน้าในมือปลิวเข้าไปในรถม้าที่มีม่านปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
รถม้าหยุดลง
ไป๋ถังลุกขึ้นยืนและกำลังจะขอผ้าเช็ดหน้าของนางอย่างสุภาพ ก็เห็นว่าม่านรถที่ปิดไม่ถึงครึ่ง ถูกเปิดออกด้วยฝ่ามืออันทรงพลัง ใบหน้าที่มีเครายาวปรากฏออกมาต่อหน้าไป๋ถัง
ไป๋ถังไม่ได้ตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ทว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาที่ดูดุร้าย เผยให้เห็นสายตาหยาบโลนจาบจ้วงที่ไม่อาจบรรยาย ไป๋ถังไม่ชอบ และไม่ต้องการผ้าเช็ดหน้าคืนแล้ว ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้ปักชื่อของนางไว้ แม้จะปลิวหายไปก็ไม่อาจทำลายชื่อของนางได้
ไป๋ถังพาเด็กๆ หมุนตัวเดินกลับไป
คนในรถกลับหัวเราะและเอ่ยปาก “แม่นางโปรดหยุดก่อน เมื่อครู่มีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งตกเข้ามาในรถ ไม่ทราบว่าเป็นของแม่นางใช่หรือไม่?”
ไป๋ถังหยุดชะงัก และมองจากหางตา เมื่อเห็นว่าเขายื่นผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้ว นางจึงเอื้อมมือไปหยิบ
โดยไม่รู้เลยว่า ทันใดนั้นอีกฝ่ายจะจับข้อมือของนางไว้
ไป๋ถังสีหน้าเย็นเยียบ “เจ้าจะทำอันใด ปล่อย!”
เห้อเหลียนฉียิ้มอย่างขี้เล่นและเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าได้ยินมาว่าในเมืองหลวงมีร้านอาหารที่ชื่อหอจุ้ยเซียน เป็นร้านอาหารชั้นหนึ่งในเมืองหลวง แม่นางถูกชะตากับข้า ข้าจึงอยากชวนแม่นางไปร่วมโต๊ะด้วย ไม่ทราบว่าแม่นางจะยินยอมหรือไม่?”
“ผู้ใดถูกชะตากับเจ้า เอามือสกปรกของเจ้าออกไป!” ในเมืองหลวง กลางวันแสกๆ ไป๋ถังไม่เคยเห็นผู้ใดไร้ยางอายถึงเพียงนี้ เขากล้าลวนลามสตรีกลางถนน! ไป๋ถังพยายามบิดข้อมือเล็กไปมา ทว่าดิ้นเท่าใดก็ดิ้นไม่หลุด
เห็นทีจะไม่ได้การ ชายผู้นี้มีวิชายุทธ์ ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือบนถนนหรือ? แล้วหากอันธพาลผู้นี้บอกว่าทั้งสองรู้จักกันเล่า? นางจะเอ่ยอันใดได้
ดวงตาของไป๋ถังสั่นไหว เกิดความคิดขึ้นในใจ พลันแย้มยิ้ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากเชิญข้าไปร่วมโต๊ะด้วย? ข้าไปกับเจ้าเฉยๆ ไม่ได้หรอก!”
เห้อเหลียนฉีหยิบแท่งทองคำออกมาจากแขน
ไป๋ถังทำทีฮึดฮัด “เจ้าขอทาน! ปิ่นปักผมทองบนหัวข้ายังมีทองมากกว่านี้!”
……………………………………