การตายของเห้อเหลียนฉีเกี่ยวโยงกับจวนคุณชาย ถ้าหากตนเองตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเห้อเหลียนเป่ยหมิงละก็ จุดจบจะเป็นอย่างไรคงเดาได้ไม่ยาก
“สาเหตุการตายของเห้อเหลียนฉีนั้นคิดว่าพวกเจ้าคงเดาได้ จวนคุณชายมีความแค้นกับสกุลเห้อเหลียน ตอนนี้คนสกุลเห้อเหลียนมาซีเฉิง น่ากลัวว่า…”
ชิงเหยียนกล่าวว่า “พระชายาไม่ต้องกังวลไป ข้าได้ยินผู้คนบนถนนคุยกันว่า เห้อเหลียนเป่ยหมิงมาที่นี่เพื่อรับหลานชาย ประเดี๋ยวก็กลับแล้ว ขอเพียงเจ้าหน้าที่ไม่พบตัวพวกเรา เขาก็จะไม่รู้”
“มารับหลานชายหรือ? ไม่สิ เขามาไหว้ใครสักคน”
“หืม?” ชิงเหยียนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “เขาเป็นคนเมืองหลวง จะมาไหว้คนที่ซีเฉิงทำไมหรือ?”
“ที่จริงก็มีอยู่คนหนึ่ง” อาม่าเอ่ยขึ้น
ทุกคนหันไปมองเขาด้วยความงงงวย
อาม่าค่อยๆ เล่าว่า “เห้อเหลียนเป่ยหมิงมีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เกิดมาได้ไม่นานก็ตกเขาไป ไม่พบศพแต่อย่างใด เหมือนว่าจะหายไปที่ซีเฉิงกระมัง”
“เรื่องตั้งแต่เมื่อไรกัน? ทำไมพวกข้าไม่รู้?” ชิงเหยียนถาม
อาม่าตอบว่า “สามสิบกว่าปีก่อน เจ้ายังไม่เกิด กว่าเจ้าจะโตพอรู้เรื่องก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้แล้ว”
อวี๋หวั่นจมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่ง “แต่ข้าว่าท่าทางเขาลับๆ ล่อๆ เหมือนไม่อยากให้คนรู้”
เรื่องนี้จะเรียกว่าเป็นธรรมเนียมของหนานจ้าวก็ได้ ที่หนานจ้าวนั้น ผู้ที่ตายด้วยอุบัติเหตุจะไม่สามารถนำไปฝังในหลุมศพทั่วไปได้ และห้ามมีป้ายหลุมศพด้วยซ้ำไป ผู้ตายตายที่ไหน ก็ต้องนำไปฝังที่นั่น ไม่สามารถเซ่นไหว้ได้ มิเช่นนั้นผู้ไหว้จะได้รับความเศร้าโศกของผู้ตาย และนำพาความอัปมงคลกลับบ้านมา
เรื่องนี้เป็นเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความเชื่อของผู้คนได้
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นถึงแม่ทัพเทพแห่งหนานจ้าว เมื่อเขาได้รับความอัปมงคลมา ไม่ใช่เพียงสกุลเห้อเหลียนที่ได้รับผลกระทบ แต่อาณาจักรหนานจ้าวซึ่งอยู่ใต้ความคุ้มครองของเขาก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
เพื่อป้องกันราษฎรแตกตื่น เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่อาจไปไหว้หลุมฝังศพน้องชายซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอย่างเปิดเผยได้
อวี๋หวั่นเท้าคาง “เช่นนั้นก็หมายความว่าแม่ทัพใหญ่คนนี้ให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก”
เช่นนั้นเรื่องการตายของเห้อเหลียนฉีคงไม่จบลงง่ายๆ
สวรรค์โปรดเมตตา อย่าให้แม่ทัพใหญ่พบพวกเขาเลย
เมื่อนึกบางอย่างออก อวี๋หวั่นก็ถามว่า “น้องชายของเขาตกเขาไปในปีไหนหรือ?”
“เมื่อสามสิบห้าปีก่อน”
อาม่าตอบ
ที่อาม่าจำได้อย่างแม่นยำก็เพราะในปีนั้น เขาเพิ่งได้ขึ้นเป็นนักบวชของเผ่า ได้ยินว่าสกุลเห้อเหลียนแห่งอาณาจักรหนานจ้าวได้บุตรชาย เดิมทีจะเป็นตัวแทนของเผ่าไปแสดงความยินดี ทว่ากลับได้ยินข่าวร้ายเสียก่อน เขาไม่ต้องไป เนื่องจากบุตรชายคนรองของสกุลเห้อเหลียนได้จากไปแล้ว
“สามสิบห้าหรือ…”
อวี๋หวั่นพึมพำ
เกิดปีเดียวกับท่านพ่อของเธอสินะ
……
พวกเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมต่ออีกหนึ่งคืน
ต้องขอบคุณเห้อเหลียนเป่ยหมิง ที่ว่าการเมืองมิได้ตามจับพวกเขา ถ้าหากปล่อยให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้ว่าที่ว่าการเมืองจัดการนักโทษคดีซื้อหนังสือผ่านทางปลอมไม่ได้ ตำแหน่งของพวกเขาก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน
เพียงแต่การตรวจตราหนังสือผ่านทางก็เข้มงวดกว่าเดิมมาก เงินมหาศาลก็ไม่อาจซื้อหนังสือผ่านทางได้เสียแล้ว
อาม่าถอนหายใจ “ตอนนี้เหลือเพียงแผนการเดียวเท่านั้น”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาอยู่ที่หน้าเรือนหลังหนึ่งด้านทิศใต้ของเมือง
อวี๋หวั่นมองไปยังตัวอักษรบนป้าย ซึ่งเขียนว่า ‘สถานีคุ้มกันสินค้าหลงเหมิน’
อาม่าบอกว่า “ที่หนานจ้าว มีเพียงคนประเภทเดียวที่ไม่ต้องใช้หนังสือผ่านทาง”
“ผู้คุ้มกันสินค้า?” อวี๋หวั่นพูด
“ปรมาจารย์วิชาพิษ” อาม่าตอบ
สถานีคุ้มกันสินค้าของหนานจ้าวไม่ได้คุ้มกันสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังคุ้มกันปรมาจารย์พิษอีกด้วย เนื่องจากหนานจ้าวบูชาวิชาพิษ เพราะฉะนั้นปรมาจารย์พิษย่อมมีสถานะสูงส่งไม่ต่างกัน ขอเพียงพวกเขาโชคดีพอ ก็จะสามารถได้งานคุ้มกันปรมาจารย์พิษ เช่นนั้นก็จะรอดพ้นจาการตามล่าของทางการได้แล้ว
อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วถามว่า “พวกเขากล้าใช้งานคนที่ไม่มีหนังสือผ่านทางหรือ?”
อาม่าตอบว่า “ปรมาจารย์พิษจะใช้พิษกับผู้คุ้มกัน เมื่อถึงที่หมายแล้วจึงถอนพิษให้”
“เป็นเช่นนี้เอง” อวี๋หวั่นกระจ่างทันที
“ปรมาจารย์พิษนั้นสูงส่ง แต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนแอ” ยอดฝีมือแข็งแกร่งอย่างอาเว่ยนั้นร้อยปีจะหาได้สักคนหนึ่ง เวลาที่ปรมาจารย์เลือกผู้คุ้มกัน พวกเขาจะเลือกเพียงผู้ที่มีวรยุทธ์เก่งกล้า มิได้สนใจว่าเป็นใคร
ในตอนนี้อาม่าเริ่มนึกเสียดายที่ไม่ได้พาอาเว่ยมาด้วย การมีปรมาจารย์พิษในณะที่อยู่ที่หนานจ้าวนั้นนับว่าเป็นโชคเหลือเกิน
พวกเขาก็นับว่าโชคเข้าข้าง ได้พบกับปรมาจารย์พิษซึ่งกำลังจะเดินทางไปเมืองหลวงพอดี
ปรมาจารย์พิษผู้นี้ได้รับคำเชิญจากตระกูลหนึ่งในเมืองหลวง เดิมทีพวกเขาส่งองครักษ์มาอารักขา ทว่าระหว่างทางกลับปะทะกับเหล่าโจรจนองครักษ์ได้รับบาดเจ็บ ปรมาจารย์พิษไม่ปรารถนาให้ล่าช้า จึงมาหาองครักษ์ที่สถานีคุ้มกันสินค้าหลงเหมิน
วิทยายุทธ์ของเจียงไห่ ชิงเหยียน และเยว่โกวโดดเด่นว่าคนอื่น ปรมาจารย์พิษจึงตัดสินใจเลือกพวกเขา
แต่ทั้งสามคนยื่นข้อเสนอว่าต้องพาคนในครอบครัวของพวกเขาไปด้วย ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ตอบรับการว่าจ้างในครั้งนี้
ปรมาจารย์พิษตอบตกลง
เพียงแต่ปรมาจารย์พิษก็ยื่นข้อเสนอให้พวกเขาเช่นกันว่าทุกคนที่เดินทางไปด้วยจะต้องรับหนอนพิษชนิดพิเศษของเขา
เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “พวกเจ้าวางใจได้ ขอเพียงข้าเดินทางไปถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ข้าก็จะให้ยาถอนพิษแก่พวกเจ้า”
พวกเขาขึ้นไปบนรถม้า
ปรมาจารย์พิษคือบุคคลที่สกุลชั้นสูงมักจะแย่งชิงกัน ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินปรมาจารย์พิษ เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าปรมาจารย์พิษท่านนี้มีสกุลใหญ่สกุลใดหนุนหลังอยู่หรือไม่
ขณะที่เดินทางออกจากเมือง เมื่อทหารเห็นปรมาจารย์พิษ ก็หลีกทางให้ขบวนของพวกเขาอย่างเคารพนบนอบ
“หึ”
รถม้าเคลื่อนไปตามเส้นทางของทางการ ในรถม้าคันที่สอง เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นถึงซื่อจื่อ เมื่อก่อนรถม้าของเขาจะนำเป็นคันแรกอย่างสง่าผ่าเผยเสมอ ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นปรมาจารย์พิษเส็งเคร็งมานำหน้า ทำให้รถม้าของเขากลายเป็นคันที่สอง ไม่น่าแปลกใจที่เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งไม่เคยตามหลังผู้ใดจะกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์
อวี๋หวั่นปอกลำไยสดให้เขา ช่วงเดือนแปดกลางสารทฤดู เมืองหลวงก็ไม่มีลำไยลูกอวบอิ่มเช่นนี้ให้กินแล้ว แต่ที่หนานจ้าวยังคงหาซื้อได้อยู่บ้าง
อวี๋หวั่นป้อนลำไยที่ปอกเสร็จให้เยี่ยนจิ่วเฉากิน
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่กิน
ผู้ชายคนนี้ ยังโกรธอยู่เหรอเนี่ย
คิดดูแล้ว จะโทษเขาก็ไม่ได้
ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวา เยี่ยนจิ่วเฉาเคยพบกับปรมาจารย์พิษมาก่อน ปรมาจารย์พิษคนนั้นละโมบโลภมาก ทั้งยังหลอกลวงพวกเขา ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาเกิดความรู้สึกไม่ชอบ เรื่องนั้นพักไว้ก่อน ปรมาจารย์พิษอายุน้อยตรงหน้าผู้นี้ดูไม่ใช่คนที่น่าคบหาด้วยเท่าไรนัก เจียงไห่ ชิงเหยียนและเยว่โกวเป็นคนที่เขาจ้างมาแท้ๆ แต่กลับเรียกให้เยี่ยนจิ่วเฉาทำนู่นทำนี่อยู่เรื่อย
เยี่ยนจิ่วเฉาโตมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีใครกล้าเรียกใช้เขาเลย!
หากไม่ใช่เพราะชิงเหยียนเข้ามาขวางไว้อย่างรวดเร็ว คุณชายเยี่ยนก็คงจะแหวกกะโหลกปรมาจารย์คนนั้นออกมาแล้ว
อวี๋หวั่นกระซิบว่า “สามีข้าใจกว้างกว่าผู้ใด ไม่มานั่งโกรธเคืองคนแบบนี้หรอกใช่ไหม?”
คิ้วโก่งได้รูปของเยี่ยนจิ่วเฉาขมวดเล็กน้อย “อวี๋อาหวั่น เจ้าไม่ได้กำลังแอบด่าว่าข้าใจแคบหรอกใช่ไหม?”
“ข้าเปล่าสักหน่อย”
“หึ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาทิ้งตัวลงบนเบาะ ม้วนตัวเข้าไปในผ้านวม แล้วหันก้นให้อวี๋หวั่น!
อวี๋หวั่นเข้าไปหอมแก้มเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อวี๋อาหวั่น!”
“ข้าอยู่นี่ไง”
หมัดของเยี่ยนจิ่วเฉาต่อยลงบนหมอนนุ่ม แก้มของเขาพองด้วยความเดือดดาล จากนั้นจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้านอน
อวี๋หวั่นจับไหล่ของเขา แล้วกล่าวปลอบเบาๆ ว่า “เขาไม่ใช่เป็นเจ้างั่งคนหนึ่งหรือ? พวกเราไม่สนใจเขา ไม่พูดกับเขาก็พอแล้ว”
แต่เพียงครู่เดียว อวี๋หวั่นก็ตระหนักได้ว่าตนนั้นไร้เดียงสาเกินไป มีคนบางประเภทที่ต่อให้เราไม่ไปหาเรื่องเขา แต่เขาก็อยากมีเรื่องกับเราอยู่ร่ำไป
ปรมาจารย์พิษผู้นี้อายุน้อย แต่ไม่รู้ว่าไปมีนิสัยน่ารำคาญเช่นนี้มาได้อย่างไร ตอนกลางคืนพักอยู่ในสถานีส่งสาร เขาไม่ยอมเผาหญ้าไล่ยุง แต่กลับให้เจียงไห่จับยุงในห้องจนหมด ห้ามเหลือแม้แต่ตัวเดียว
ตกดึกรู้สึกหิวขึ้นมา ไม่ยอมกินอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับเรียกเยว่โกวให้ไปซื้อเหลียงเฝิ่นจากร้านซึ่งปิดไปแล้วในตำบลเล็กๆ ที่ห่างออกไปยี่สิบหลี่
ชิงเหยียนซื้อขนมเกาลัดมาให้อวี๋หวั่นกล่องหนึ่ง ยังไม่ทันเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมก็ถูกปรมาจารย์ผู้นั้นแย่งไปเสียแล้ว
“แล้วก็ มีผ้าที่ต้องซักอีก”
พูดจบ เขาก็ชิมขนมเข้าไปหนึ่งคำ ทำท่าทำทางว่ารสชาติแย่ จากนั้นก็คายขนมใส่กล่องแล้วส่งคืนให้ชิงเหยียน
ชิงเหยียนโมโหจนนึกอยากอัดเขาให้เละ!
เป็นแค่ปรมาจารย์พิษระดับล่าง เทียบไม่ได้แม้แต่นิ้วโป้งเท้าของอาเว่ย อาเว่ยยังไม่กล้าทำกับพวกเขาเช่นนี้ เจ้าคนเส็งเคร็งนี่กลับกล้า?!
ไม่ได้มีเพียงพวกชิงเหยียนเท่านั้นที่ถูกกลั่นแกล้ง แม้แต่จื่อซูและฝูหลิงก็ยังหลบหลีกเคราะห์ร้ายนี้ไม่พ้น ทว่าเรื่องชวนโมโหที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกันแต่อย่างใด