ไม่มีผู้ใดอยู่ตรงนั้น เฟ่ยหลัวหมดความอดทนไปแต่แรกแล้ว ที่ยังอดทนมาได้จนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะแม่นางคนนี้แตกต่างกับคนอื่นๆ ทว่าต่อให้แตกต่างกันอย่างไร นางก็ยังเป็นสตรี บัดนี้ความอดทนของเฟ่ยหลัวได้หมดลงแล้ว
“แม่นางจื่อซู”
เฟ่ยหลัวเอนกายเข้าใกล้จื่อซู
ดวงตาอันงดงามดังผลซิ่งของจื่อซูจับจ้องไปที่เขา “ใต้เท้าเฟ่ยหลัว ท่านเคยเห็นพระสวามีหรือไม่? เขาหน้าตาเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
เฟ่ยหลัวถูกดวงตากลมโตสีดำขลับคู่นั้นทำให้พูดไม่ออก เขาระงับไฟโทสะแล้วกล่าวว่า “ว่ากันว่าใบหน้าของ
พระสวามีถูกทำลาย หลายปีมานี้ใส่หน้ากากอยู่เสมอ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร?”
“ใส่ หน้า กาก?” จื่อซูพึมพำ
“นี่ก็ช้ามากแล้ว เรื่องของจวนประมุขหญิงไว้พรุ่งนี้ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด” เฟ่ยหลัวมองจื่อซูอย่างมีเลศนัย แล้วยื่นมือประหนึ่งกรงเล็บสุนัขป่าไปหาจื่อซู
เมื่อเห็นว่ามือนั้นกำลังเอื้อมมายังร่างกายของตน จื่อซูก็คว้ามันเอาไว้ทันที
เฟ่ยหลัวนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายยั่วยวนตนเอง จึงยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่หลังจากนั้นก็ยิ้มไม่ออกอีก
มือของจื่อซูออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเขารู้สึกราวกับข้อมือจะหัก
เขาดึงมือออกตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่าตนขยับมือไม่ได้
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
เฟ่ยหลัวตะลึง
“มะ…แม่นางน้อย?”
เฟ่ยหลัวลองเรียก
“อืม” อีกฝ่ายขานรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แต่กลับมิใช่น้ำเสียงอ่อนหวานเฉกเช่นก่อนหน้านี้ แต่กลับเป็นเสียงซึ่งตอบอย่างมิได้ใส่ใจเท่าไรนัก
เฟ่ยหลัวเคยพบจื่อซูมาก่อน เคยสนทนากับจื่อซูมาก่อน เขาไม่ได้เอะใจว่าอีกฝ่ายจงใจกดเสียงให้ทุุ้มต่ำลง แต่ทันทีที่ปรับกลับมาเป็นเสียงเดิม เฟ่ยหลัวจึงฟังออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทันใดนั้นเฟ่ยหลัวก็ตื่นตะลึง “เจ้าไม่ใช่จื่อซู!”
“เจ้าเพิ่งรู้เรอะ?” อีกฝ่ายยิ้มจางๆ แล้วค่อยๆ ถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าซึ่งงดงามกว่าจื่อซูอีกสิบเท่า
เฟ่ยหลัวตกตะลึง
อวี๋หวั่นลูบแก้มของตน ความรู้สึกของการสวมหน้ากากนั้นไม่ได้ดีเท่าไรนัก ไม่รู้ว่าชุยเฒ่าใช้วัสดุอะไรทำ ไม่เพียงไม่ระบายอากาศ ยังบีบหน้าเธอเสียแน่นเชียว อันที่จริงหน้ากากหนังมนุษย์นี้ทำออกมาได้เหมือนกับใบหน้าของจื่อซูเพียงเจ็ดแปดส่วน คนที่คุ้นเคยกับจื่อซูย่อมมองออกถึงความผิดปกติ แต่ใครให้ปรมาจารย์พิษไม่คุ้นเคยกับจื่อซูเล่า แม้แต่เขายังมองไม่ออก เฟ่ยหลัวซึ่งเคยพบหน้าจื่อซูบนถนนเพียงครั้งเดียวยิ่งมองไม่ออกเข้าไปใหญ่
“เจ้า…เจ้า…”
“เจ้าอะไรหรือ? ปรมาจารย์พิษผู้ยิ่งใหญ่แห่งจวนประมุขหญิงถึงกับพูดจาตะกุกตะกักเชียวหรือ? เช่นนั้นไม่สู้ข้าพูดแทนเจ้าดีกว่า เจ้าอยากถามข้าใช่ไหมว่าปลอมเป็นจื่อซูได้อย่างไร? แน่นอนว่าข้าตีแผนชั่วของพวกเจ้าแตกด้วย ส่วนเรื่องที่ข้ารู้ได้อย่างไรนั้น…” อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “คนแซ่อวี๋นั่นทำเป็นหยุดระหว่างทาง เขาคิดว่าการแสดงของเขาแนบเนียนมากหรืออย่างไรกัน?”
ช่วงเช้าเขาจงใจเร่งรถก็ชวนให้พวกเขาสงสัยมากพอแล้ว ระยะทางจากโรงเตี๊ยมเดิมไปถึงเมืองหลิ่วนั้นไม่จำเป็นต้องเร่งรีบก็สามารถเข้าเมืองได้อย่างราบรื่น เขากลับแสร้งทำเป็นรีบร้อนให้ทุกคิดว่าเขาเร่งเข้าเมืองมากเพียงใด เพื่อให้ไม่มีผู้ใดนึกสงสัยในตอนที่เขาแกล้งทำเป็นท้องเสีย โดยที่ไม่รู้ว่าในบรรดาพวกเขาทั้งแปดคน มีหมออยู่สองคน ป่วยจริงหรือแกล้งป่วย พวกเขามองเพียงนิดเดียวก็รู้แล้ว
แผนซึ่งปรมาจารย์พิษอวี๋ให้สารถีสะกดรอยตามจื่อซูยิ่งนับว่าเป็นช่องโหว่ คิดว่ายอดฝีมือสามคนจะถึงกับไม่รู้เชียวหรือว่าจื่อซูถูกสารถีตามมา?
สารถีคิดว่าตนนั้นโชคดีเสียยิ่งกระไร แต่ไม่รู้ว่าที่จริงเป็นแผนการที่นายบ่าวได้ตกลงกันไว้ดิบดีตั้งแต่แรก
คนที่ไปพบปรมาจารย์พิษในครั้งแรกคือจื่อซู ทว่าครั้งที่สองกลับเป็นอวี๋หวั่น
“ไข่มุกกระจอกๆ ลูกหนึ่งจะนำไปใช้หาราชันสัตว์พิษได้จริงหรือ?” อวี๋หวั่นหัวเราะค่อนแคะ
ช้าก่อน ไข่มุกกระจอกๆ ราชันสัตว์พิษ…
เฟ่ยหลัวถลึงตา “ราชันสัตว์พิษอยู่ที่เจ้ารึ?! ”
อวี๋หวั่นยิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้ว อยู่ที่ข้าเอง มีความสามารถพอก็มาเอาไปสิ”
แม้แต่มือ เฟ่ยหลัวยังสลัดไม่หลุด นับประสาอะไรกับราชันสัตว์พิษ?
เฟ่ยหลัวนัยน์ตาเย็นเยียบ แล้วพูดขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “ใครก็ได้ มานี่หน่อย!”
อวี๋หวั่นยิ้ม
จุดไท่หยางที่หางคิ้วของเฟ่ยหลัวเต้นตุบๆ “ใครก็ได้ มานี่หน่อย!”
อวี๋หวั่นขี้คร้านจะจับแขนเขาแล้ว จึงเหวี่ยงเขาลงกับพื้น
เฟ่ยหลัวล้มหน้าคะมำ “ใครก็ได้ มานี่เร็วววว”
อวี๋หวั่นมองลงต่ำ “ไม่ต้องร้องหรอก องครักษ์ของเจ้าถูกคนของข้าจัดการหมดแล้ว”
เฟ่ยหลัวไม่ยอม “เป็นไปไม่ได้! พวกเขาเป็นองครักษ์ของประมุขหญิง! แต่ละคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือ…”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “จริงหรือ? เจ้าเรียกอยู่นานถึงเพียงนั้น ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยเจ้าเลยสักคนเลยละ?”
เฟ่ยหลัวชะงักไป
นั่นน่ะสิ หากพวกเขายังอยู่ ต่อให้เขาไม่ร้องเรียก พวกเขาก็ต้องรีบเข้ามาทันทีที่ได้ยินความเคลื่อนไหว…นานโขถึงเพียงนี้ยังไม่ใครเข้ามาเลยสักคน…ก็หมายความว่าพวกเขาทั้งกองล้วนแต่ถูกกำราบไปแล้ว
แต่เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?
เมื่อครู่เขาไม่ได้ยินเสียงต่อสู้ด้วยซ้ำไป ไหนเลยจะมียอดฝีมือที่เก็บกวาดฝ่ายตรงข้ามได้ในพริบตาเดียวเช่นนี้?
เมื่อความคิดนี้แล่นปราดเข้ามาในสมอง เฟ่ยหลัวสัมผัสได้ถึงความเย็นวาบไปทั้งสันหลัง
เมื่อเห็นนางเด็กนั่น เขาไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะเจอกับงานยากเข้าเสียแล้ว
ได้ยินเจ้าเวรแซ่อวี๋นั่นบอกว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีผู้ใดเป็นชาวยุทธภพ เพราะฉะนั้นจะมียอดฝีมือที่เก่งกาจถึงเพียงนี้
ได้อย่างไร?
หลังจากที่ประหลาดใจไปชั่วขณะหนึ่ง เฟ่ยหลัวก็เยือกเย็นลง เก่งกาจกว่านี้แล้วอย่างไร? เขาเป็นถึงปรมาจารย์พิษ! หนอนพิษของเขาสามารถสังหารได้ทุกคน!
“ย่อมได้ เดิมทีข้าคิดว่าต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ราชันสัตว์พิษมา ในเมื่อเจ้ามาหาถึงที่นี่ ก็อย่ามาโทษข้าว่าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
เฟ่ยหลัวพูดจบก็หยิบคางคกทองพิษออกมาจากแขนเสื้อ
คางคกทองพิษของเขาหิวแล้ว ได้เวลากินอาหาร สตรีผู้นี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็มาเป็นอาหารจานโอชะของคางคกทองพิษซะดีๆ!
คางคกพิษพุ่งออกมา!
ทว่ามันไม่ได้พุ่งเข้าใส่อวี๋หวั่น แต่พุ่งออกจากปากประตูกระโจม
คางคกทองคำมัน…มันหนีออกไปแล้ว?!
เฟ่ยหลัวทำหน้าตาอย่างเหลือเชื่อ
วินาทีต่อมา สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าก็บังเกิดขึ้น แสงสีขาวสว่างวาบพุ่งออกจากแขนเสื้อ เฟ่ยหลัวยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองว่าเกิดอะไรขึ้น คางคกทองพิษก็ร้องโหยหวน มันถูกแสงสีขาวกลืนกินไปเสียสิ้น
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเท่ากับประกายไฟติด แม้แต่อวี๋หวั่นเองก็ยังตะลึงไป
ถ้าเธอไม่ได้ตาฝาดไปละก็
เมื่อครู่คือสัตว์พิษตัวน้องของเธอสินะ?
สุดยอดไปเลย!
รวดเร็วปานประหนึ่งสายฟ้า!
อวี๋หวั่นมองไปยังแขนเสื้อของเธอ
น่าเสียดายที่ไม่เห็นเจ้าสัตว์พิษตัวน้อยแล้ว
อวี๋หวั่นดีใจจนหัวเราะออกมา
ในตอนที่เฟ่ยหลัวเรียกสิ่งนั้นออกมา อวี๋หวั่นก็ยังวิตกจนมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้เห็นทีคงจะไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นแล้ว สัตว์พิษตัวน้อยน่ารักของเธอโหดเหี้ยมเหลือเกิน กินเจ้าสัตว์พิษง่อนแง่นนั่นไปด้วยหรือ?
เฟ่ยหลัวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ต่อให้เป็นราชันพันสัตว์พิษก็ไม่เก่งกาจถึงเพียงนี้…หรือว่านางจะมี…
“ฮูหยิน” เจียงไห่เดินเข้ามา เมื่อเห็นเฟ่ยหลัวถลึงตาจ้องอวี๋หวั่นด้วยความตกใจ นัยน์ตาของเขาก็ปรากฏความขยะแขยง จากนั้นก็เข้าไปขวางหน้าอวี๋หวั่น
ชิงเหยียนและเยว่โกวเลิกม่านเข้ามา
บ่าวซึ่งอยู่โดยรอบถูกจัดการไปแล้ว
“จะจัดการเจ้านี่อย่างไร?” ชิงเหยียนถาม
อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วตอบว่า “เขาเป็นคนของจวนประมุขหญิง ปล่อยไว้ก็จะเป็นภัย ปล่อยเสือเข้าป่าไป ไม่สู้ตัดไฟแต่ต้นลม”
“พวกเขาไม่กล้าฆ่าข้าหรอก! อาจารย์…อาจารย์…อาจารย์ข้าเป็น…”
เฟ่ยหลัวยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเสียดสีดังมา ทั้งสามยื่นดาบยาวใส่ตรงมาที่อกของเขา
ว่ากันว่าคนเขลาสามคนเหนือกว่าขงเบ้งเพียงคนเดียว[1] บ่าวของคนอื่นสามารถใช้เหตุผลมาประนีประนอม แต่พวกเจ้าสามคนเห็นพ้องกันน่ะหรือ…
เฟ่ยหลัวก้มหน้ามองดาบที่ชี้มายังหน้าอกของตน ศีรษะของเขาเอียงลง จบสิ้นแล้ว
ไม่มีผู้ใดนึกสงสารเฟ่ยหลัว คนผู้นี้บีบบังคับผู้อื่น ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวสาวใช้ ทั้งยังต้องการครอบครองราชันสัตว์พิษของอวี๋หวั่น…ใช่สิ บัดนี้พวกเจียงไห่และชิงเหยียนล้วนแต่รู้แล้วว่าอวี๋หวั่นมีสิ่งนี้ไว้ในครอบครอง หากจะตกใจก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก กระนั้นพวกเขาก็บังเกิดเจตนารมณ์ร่วมกันว่าในเมื่อของสิ่งนี้ตกอยู่ในมือของอวี๋หวั่น ก็นับว่าเป็นของอวี๋หวั่น ใครก็ไม่อาจแย่งไปได้
อวี๋หวั่นร้อง ‘เฮ่อ’ ออกมา “ครานี้พวกเรานับว่าแตกหักกับจวนประมุขหญิงแล้วสินะ”
ยังไม่ทันได้ยา ก็ล่วงเกินสกุลเห้อเหลียนและประมุขหญิงแห่งหนานจ้าว โชคของพวกเขาไม่ได้ดีเหมือนปกติ
ชิงเหยียนและเยว่โกวมองอวี๋หวั่นด้วยความเห็นใจ เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าตนเองได้บาดหมางต่อจวนประมุขหญิงไปแล้ว? เจ้าคิดว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นี้หลุดรอดมาจากใครกัน…เฮ่อ บางครั้งสติปัญญาของฮูหยินก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน…
เมื่อจัดการเรื่องของเฟ่ยหลัวเสร็จ พวกเขาต่างก็เตรียมตัวออกเดินทาง ไหนเลยจะรู้ว่าในเวลานี้ ปรมาจารย์พิษอวี๋ซึ่งเดิมทีถูกมัดอยู่ในกระโจมก็หนีออกมาได้
พวกเยว่โกวกำลังสังหารเฟ่ยหลัว จึงไม่มีผู้ใดไล่ตามเขาไป
ทำไมไม่ตามไปฆ่าเขาน่ะหรือ แน่นอนว่าเพื่อใช้เขานำทาง
ปรมาจารย์พิษหนีไปแล้ว
พวกเจียงไห่ไล่ตามไปทัน
ด้วยความสามารถของทั้งสาม ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ปรมาจารย์พิษหลุดมือไปได้ กระนั้นไม่รู้ว่าปรมาจารย์พิษผู้นี้โชคดีมาจากไหน จึงไปพบกองทัพที่เคลื่อนทัพยามดึกบนเส้นทางของทางการ!
ปรมาจารย์พิษพุ่งเข้าไปหากองทัพด้วยน้ำตาไหลนองหน้า “ช่วยด้วยยยย ช่วยด้วยยย”
กองทัพหยุดลง
ปรมาจารย์พิษวิ่งหัวหกก้นขวิดเข้าไป “ข้าเป็นปรมาจารย์พิษแห่งซีเฉิง! ข้าแซ่อวี๋! มีคนจะฆ่าข้า!”
สถานะของปรมาจารย์พิษสูงส่ง การสังหารปรมาจารย์พิษนับเป็นโทษที่ไม่อาจละเว้นได้ ทหารซึ่งเป็นหัวหน้าพลิกตัวลงจากหลังม้า ตรวจตราหนังสือผ่านทาง เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นปรมาจารย์พิษแห่งซีเฉิง จึงหันหลังเดินตรงไปนั่งรถม้า จากนั้นก็คุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า “รายงานท่านแม่ทัพใหญ่ มีปรมาจารย์พิษถูกตามสังหารขอรับ”
ปรมาจารย์พิษตะลึงไป
มะ…แม่ทัพใหญ่?
เมื่อพวกเจียงไห่ตามมา ปรมาจารย์พิษก็ได้รับการอารักขาจากองครักษ์ของทหารของแม่ทัพใหญ่เรียบร้อยแล้ว
ปรมาจารย์พิษรออยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเห็นเงาของทั้งสาม เขาก็รีบร้องว่า “นั่น…พวกเขาอยู่นั่น!”
เมื่อเจียงไห่มองไปยังคู่ต่อสู้ ก็ลอบอุทานว่าแย่แล้ว ทว่าหากจะถอยหลังกลับก็สายไปเสียแล้ว
ชิงเหยียนเห็นเหตุการณ์ ก็รีบชักดาบออกมา ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายล้มได้ทันที
เยว่โกวมีพลังมหาศาล จึงเข้าไปรับหมัดของอีกฝ่าย แต่เมื่อถึงหมัดที่สี่ก็ถูกอีกฝ่ายอัดจนจมดิน
ไม่ไกลออกไป มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ อวี๋หวั่นตาลุกด้วยความตกใจ “เป็นไปได้ยังไง? เขาเป็นใครกัน?”
อาม่าตอบว่า “หน่วยกล้าตายหน้ากากทอง”
……………………………………..
[1] คนเขลาสามคนเหนือกว่าขงเบ้งเพียงคนเดียว เปรียบเปรยว่าคนเราแม้จะไม่เก่งกาจ แต่หากร่วมด้วยช่วยกัน ก็จะหาทางออกได้