อีกฝ่ายสวมชุดยาว แต่ชุดของเขาขาดหลุดรุ่ยอยู่บ้าง ท่าทางของเขาสะบักสะบอม ใบหน้าเปรอะเปื้อน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ริมฝีปากแห้งแตก หนวดเคราขึ้นเต็มใบหน้า
มองคราแรกเยี่ยนจิ่วเฉาไม่รู้ว่าเจ้าอัปลักษณ์นี่คือใคร แต่เจ้าอัปลักษณ์กลับจำเยี่ยนจิ่วเฉาได้
เยี่ยนจิ่วเฉาหล่อเหลาเกินคนทั่วไปจนรู้สึกตราตรึงไม่อาจลืมได้ ได้พบครั้งแรกก็จดจำรูปร่างหน้าตาของเขาได้อย่างแม่นยำ
“เป็นเจ้า!” อีกฝ่ายขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “พวกเรารู้จักกัน?”
อีกฝ่ายเลิกผมเผ้ารุงรัง แล้วชี้ไปยังใบหน้าซึ่งดูชราลงดว่าเดิมไม่ต่ำกว่าสิบปี “เจ้าแหกตาดูให้ชัดๆ ว่าข้าเป็นใคร!”
เยี่ยนจิ่วเฉา: ข้าดูชัดแล้ว ไม่รู้จัก
อีกฝ่าย “!!!”
อีกฝ่ายระเบิดโทสะในทันใด “ซีเฉิง! สถานีคุ้มกันสินค้าหลงเหมิน! ปรมาจารย์พิษอวี๋! ยังกล้าบอกว่าเจ้าลืมอีกหรือ?!”
ปรมาจารย์พิษอวี๋แทบกระอักเลือด
เคยเจอคนที่ยั่วโมโห แต่ไม่เคยพบเคยเห็นคนที่ยั่วโมโหถึงเพียงนี้มาก่อน ลืมไปแล้วจริงๆ หรือว่าเจ้าสารเลวพวกนั้นทำอะไรกับเขาเอาไว้บ้าง? ถึงได้ถามขึ้นมาหน้าตาเฉยเช่นนี้!
ใช่สิ เขามันก็เป็นเพียงปรมาจารย์พิษที่อ่อนแอ ถูกทิ้งเอาไว้นอกเมืองหลิ่วกลางดึก ร้องเรียกก็ไม่มีใครช่วย ไม่ตายก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว!
ที่น่าเวทนายิ่งกว่าก็คือเขาทำป้ายหยกของปรมาจารย์พิษหายไป ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาเข้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร เขาไม่ได้เพียงต้องการพึ่งพาสกุลใหญ่ในเมืองหลวง! แต่เขายังต้องการแก้แค้น! เขาต้องล้างความอัปยศอดสูนี้ให้ได้!
“เจ้าพวกจอมหลอกลวง พวกเจ้าหลอกลวงคนอื่นได้แต่หลอกข้าไม่ได้ พวกเจ้าไม่ใช่คนสกุลเห้อเหลียน! แม่ทัพใหญ่เห้อเหลียนถูกพวกเจ้าหลอก! ข้าจะเปิดโปงพวกเจ้า!”
ในตอนที่อวี๋หวั่นพุ่งออกไปบอกว่าตนเองเป็นหลานของสกุลเห้อเหลียน ปรมาจารย์พิษอวี๋ถูกภาพเหตุการณ์ทำให้ตะลึงงัน แต่เมื่อตั้งสติได้และพิจารณาให้ถ้วนถี่ ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล หากพวกเขาเป็นหลานของแม่ทัพใหญ่เห้อเหลียนจริง เหตุใดไม่ไปตามหาเห้อเหลียนเป่ยหมิงตั้งแต่อยู่ในซีเฉิง? พวกเขาทำตัวไม่โดดเด่น เพราะว่ากลัวคนรู้ตัวตนของพวกเขา…นี่เป็นลักษณะของผู้ที่มีคนหนุนหลังอยู่จริงหรือ?
ปรมาจารย์พิษอวี๋ได้ข้อสรุปว่าพวกเขาหลอกลวงแม่ทัพใหญ่
เยี่ยนจิ่วเฉามิได้ยี่หระแต่อย่างใด “โอ้ อย่างนั้นหรือ?”
ปรมาจารย์พิษอวี๋มีสีหน้าดุดัน “เจ้าอย่ามาเสแสร้งว่าไม่สนใจ! ข้าจะไม่เพียงเปิดโปงพวกเจ้าต่อสกุลเห้อเหลียน! ข้าจะบอกจวนประมุขหญิงด้วย! เจ้าคิดว่าข้าหาที่นี่พบได้อย่างไร? ข้าไปจวนประมุขหญิงมาแล้ว! พวกเขาบอกข้าว่าปรมาจารย์พิษขั้นสูงเมิ่งออกเดินทางมาปี้ลั่วซานจวง! ประเดี๋ยวได้พบปรมาจารย์พิษขั้นสูงเมิ่ง ข้าจะบอกเขาว่าพวกเจ้าสังหารศิษย์รักของเขา!”
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้ว
ปรมาจารย์พิษอวี๋หัวเราะเย็นชา “อย่าบอกนะว่าเจ้าก็ลืมใต้เท้าเฟ่ยหลัว! ฮ่า! เขาก็คือผู้ที่ถูกใจสาวใช้นั่น! พวกเจ้าสังหารเขา! ปรมาจารย์พิษขั้นสูงเมิ่งไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่! จวนประมุขหญิงก็ไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปเช่นกัน!”
เยี่ยนจิ่วเฉามีสีหน้าไร้เดียงสา “โอ้ เจ้าแก่นั่นเป็นอาจารย์ของเจ้าขยะนั่นหรือ”
ปรมาจารย์พิษอวี๋หัวเราะลั่น “ฮ่า กลัวใช่ไหมเล่า? กลัวไปก็ไร้ประโยชน์! ต่อให้คุกเข่าอ้อนวอนข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดกลับไป! พวกเจ้าทั้งหมดไป…”
ไปตายซะ!
เยี่ยนจิ่วเฉาคว้ามือของเขาด้วยมือเดียว แล้วผลักเขาลงไปกับพื้น
ปรมาจารย์พิษอวี๋ตัวผอมแห้งราวกับฟักเหี่ยวๆ ลูกหนึ่ง เขากลิ้งกลุกๆ ลงไป ศีรษะกระแทกกับหิน ตายคาที่
สิ่งที่เรียกว่าเคลื่อนทัพไปยังไม่ทันคว้าชัยก็ตายเสียก่อนก็เป็นเช่นนี้แล
ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับบทละครเกี่ยวกับการตามล้างแค้นด้วยความอาจหาญ บีบบังคับให้คุณชายเยี่ยนรับบทเป็นวายร้าย อวี๋หวั่นซึ่งสังเกตการณ์จากระยะไกลทำได้เพียงหลั่งน้ำตาให้ปรมาจารย์พิษอย่างเวทนา
ขู่ใครไม่ขู่ ต้องมาขู่เยี่ยนจิ่วเฉา โทษใครได้เล่า?
อวี๋หวั่นไม่คิดว่าสามีของตนทำมากเกินไป เสี่ยงตายมาไม่รู้กี่รอบ ตอนนี้เธอไม่พูดว่า ‘โอ้ สวรรค์ ข้าไม่กล้ามอง’ มันก็น่าคลื่นไส้พอๆ กับการบอกว่า ‘กินกระต่ายได้อย่างไร กระต่ายน่ารักขนาดนี้’ ไม่ใช่หรือ?
คนผู้นี้มาเพื่อฆ่าพวกเขา เพียงแต่เขาไร้ความสามารถ และต้องการยืมมือปรมาจารย์พิษเมิ่งและจวนประมุขหญิงก็เท่านั้น
หากเขาไม่ตาย พวกเขาก็ต้องตาย เช่นนั้นเลือกให้เขาตายจะดีกว่า
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือที่จับปรมาจารย์พิษผู้นั้น
เขารังเกียจความสกปรก
เช็ดเสร็จเขาก็ไม่ต้องการผ้าเช้ดหน้าผืนนั้นแล้ว จึงโยนลงพื้นไปพร้อมกับหั่วเจ๋อจื่อเพื่อเผามัน
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินกลับไปยังศาลาริมน้ำด้วยสีหน้าเย็นชา
การแข่งขันยกที่สามเดินทางมาใกล้ถึงจุดจบ ทั้งสองฝ่ายใช้ราชันร้อยสัตว์พิษ สัตว์พิษของปรมาจารย์พิษ
เมิ่งกำลังได้เปรียบ องค์หญิงน้อยตะโกนเสียงแหลมว่า “กัดมันเลย! กัดมันเลย!”
เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะกัดราชันสัตว์พิษของผู้อาวุโสเยวี่ยตายจริงๆ ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อยู่ๆ ราชันสัตว์พิษของปรมาจารย์พิษเมิ่งก็ไม่ขยับ แม้ว่าจะไม่ขยับเพียงวินาทีเดียว ก็เพียงพอให้อีกฝ่ายโต้กลับได้
กว่าองค์หญิงน้อยจะตั้งสติได้ ราชันร้อยสัตว์พิษฝั่งของนางก็พลาดพลั้ง ถูกอีกฝ่ายกัดตายเสียแล้ว
องค์หญิงน้อยระเบิดโทสะขึ้นทันใด “ปะ…เป็นไปได้อย่างไร? เมื่อครู่เห็นอยู่ว่ากำลังจะชนะแล้ว! พวกเจ้าทำอะไรใช่ไหม?!”
นางเอ่ยขึ้นพลางตวัดสายตาไปมองผู้อาวุโสเยวี่ยและคนอื่นๆ
เจียงไห่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าก็มองอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ? พวกข้าทำอะไรเจ้าไม่รู้เชียวหรือ?”
“ใช่แล้ว หากยินดีจะวางเดิมพันก็ต้องยอมรับผล เจ้าคงไม่คิดตุกติกหรอกกระมัง?” น้อยครั้งนักที่ชิงเหยียนจะเห็นดีเห็นงามกับเจียงไห่
องค์หญิงน้อยอับอายจนโมโห นางถลึงตาใส่ปรมาจารย์พิษเมิ่ง “จวนประมุขหญิงอุ้มชูท่านมานาน ท่านมีฝีมือแค่นี้เองหรือ? แม้แต่ปรมาจารย์พิษขั้นสูงธรรมดาท่านยังสู้ไม่ได้! ไร้ประโยชน์!”
คำบริภาษรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อกล่าวท่ามกลางฝูงชน นับว่าเป็นการดูถูกก็ย่อมได้
ปรมาจารย์พิษเมิ่งขมวดคิ้ว ไม่นานก็ผ่อนคลายลง และไม่ได้ต่อปากต่อคำกับองค์หญิงน้อยอีก
ต่งเซียนเอ๋อร์ปรบมือด้วยความตื่นเต้น “จบการแข่งขันแล้ว สมกับที่เป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูง ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเหลือเกิน!”
ยอดเยี่ยมอะไรเล่า? นางแพ้แล้ว!
“เป็นความผิดของท่านคนเดียว!” องค์หญิงน้อยถลึงตาใส่ปรมาจารย์พิษเมิ่งด้วยความโกรธ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้มพลางมองอวี๋หวั่น “เช่นนั้น คุณชายไปรับเห็ดหลินจือกันดีหรือไม่?”
“ได้สิ” อวี๋หวั่นยิ้มแล้วเดินตามนางไป
ผู้อาวุโสเยวี่ยยกมือขึ้นประสานกัน “ขอบคุณศิษย์น้องที่อ่อนข้อให้ ทำให้ราชันหนอนพิษของศิษย์น้องเสียหายไปสองตัว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
แม้ว่าจะเป็นเพียงการแสดงให้องค์หญิงน้อยดู ทั้งสองยังไม่ได้สำแดงฝีมือที่แท้จริงออกมา กระนั้นราชันร้อยสัตว์พิษก็หาได้ยากยิ่ง เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ตายไปสองตัว เป็นใครก็ต้องรู้สึกเจ็บใจเป็นธรรมดา
ปรมาจารย์พิษเมิ่งกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “บุญคุณของศิษย์พี่ ข้าตอบแทนให้หมดแล้ว หลังจากนี้เราสองคนไม่มีเรื่องติดค้างกันอีก หากพบกันอีกครั้ง ข้าและท่านคงต้องเป็นอริกันแล้ว”
ผู้อาวุโสเยวี่ยพยักหน้าพลางทอดถอนใจ
ปรมาจารย์พิษเมิ่งหันหลังกลับ
“ศิษย์น้อง” ผู้อาวุโสเยวี่ยเรียกเขาไว้ “เจ้าทำให้องค์หญิงน้อยไม่พอใจ นางจะทำให้เจ้าลำบากหรือไม่? ก่อนหน้านี้ข้า…ไม่รู้ว่าเป็นเจ้า”
ปรมาจารย์พิษเมิ่งมิได้ตกใจที่อีกฝ่ายมองฐานะขององค์หญิงน้อยออก ถึงเด็กนั่นจะไม่ได้เขียนไว้บนใบหน้าว่านางเป็นองค์หญิงน้อย ก็มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่มองไม่ออก
เขาหันหลังกลับมา “ผู้ที่ข้าภักดีมีเพียงประมุขหญิงเท่านั้น เรื่องในวันนี้เป็นองค์หญิงน้อยที่ดื้อดึงสร้างขึ้นมาก็เท่านั้น ประมุขหญิงไม่มีทางถือโทษข้า ศิษย์พี่รักษาตัวด้วย”
ผู้อาวุโสเยวี่ยยกมือขึ้นประสาน “ศิษย์น้องรักษาตัวด้วย”
“ผู้อาวุโสเยวี่ย ขอบคุณ” ชิงเหยียนเดินเข้าไปพร้อมกับกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
ผู้อาวุโสเยวี่ยตอบอย่างมีมารยาทว่า “ไม่เป็นไร เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้ว ศิษย์น้องของข้าคนนี้เป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูงอยู่ในจวนประมุขหญิง ไม่ต้องเอ่ยถึงฐานะ วิชาพิษของเขามิใช่เพียงคำโอ้อวดแต่อย่างใด วันข้างหน้าไม่ว่าอย่างไร พวกเจ้าอย่าได้เป็นศัตรูกับเขาเด็ดขาด”
ชิงเหยียนพยักหน้า แม้ว่าพวกเขาไม่ใช่ปรมาจารย์พิษ แต่เมื่อคลุกคลีกับอาเว่ยนานวันเข้าก็พอจะมองออกอยู่บ้าง แม้ความสามารถของปรมาจารย์พิษขั้นสูงแซ่เมิ่งคนนั้นมิได้เป็นรองอาเว่ย พวกเขาก็ยังหวังว่าสักวันหนึ่งอาเว่ยจะอยู่เหนือกว่าเขา
ทันทีที่พวกเขาหาตัวยาได้ครบสองชนิดก็จะรีบกลับเผ่าทันที เรื่องทางนี้ก็จะไม่เกี่ยวกับพวกเขาอีก
ทางด้านอวี๋หวั่นนั้น เธอเดินไปยังเรือนหรูหราแห่งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ในสมองของเธอล้วนมีแต่เรื่องการต่อสู้ ไม่มีกะจิตกะใจชมบรรยากาศโดยรอบ ระหว่างทางมาที่นี่ เธอก็พบว่า มีโขดหินและน้ำใส ทิวทัศน์งดงาม กลิ่นหอมของดอกไม้ระคนในอากาศ ทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างไม่อาจพรรณนาได้
“คุณชายได้ยินเรื่องที่ที่นี่เคยมีคนโชคร้ายพำนักอยู่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นถูกขัดจังหวะการชื่นชมธรรมชาติ เธอหันมามองหน้านาง “หืม? อ่า แม่นางต่งหมายถึงเรื่องนี้ ทำไมหรือ แม่นางเชื่อเรื่องนี้หรือ?”
“คุณชายเชื่อหรือไม่?” ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้มแล้วถามกลับ
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ไม่เชื่อ”
สายตาของต่งเซียนเอ๋อร์แฝงไปด้วยความชื่นชม “สมแล้วที่เป็นคนที่ข้าต่งเซียนเอ๋อร์ถูกใจ”
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นถูจมูกด้วยความขุ่นเคือง
คำพูดนี้แม้ว่าจะกล่าวออกมาเล่นๆ แต่ถ้ารู้ไปถึงหูสามีของข้า จะต้องเป็นเรื่องแน่
บทสนทนานี้จบลงครึ่งๆ กลางๆ ก็เพราะคำว่า ‘ไม่เชื่อ’ อันไร้เยื่อไยของอวี๋หวั่น ต่งเซียนเอ๋อร์ก็มิได้ใคร่อยากต่อบทสนทนาอีก นางพาอวี๋หวั่นเดินอ้อมระเบียงทางเดินเข้าไปยังห้องปีกหรูหราห้องหนึ่ง “เห็ดหลินจืออยู่ในนี้”
ในที่สุดก็ได้ตัวยามา อวี๋หวั่นรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน
ต่งเซียนเอ๋อร์หันหลังให้อวี๋หวั่น นางค้อมกายเปิดหีบ บั้นท้ายงดงามของนางขยับเล็กน้อย อวี๋หวั่นมั่นใจว่านางกำลังยั่วยวนเธออยู่
“อะแฮ่ม!” อวี๋หวั่นหยิบพัดขึ้นมาพัด
“น่าเบื่อ” ต่งเซียนเอ๋อร์ถอนหายใจ พร้อมกับยกกล่องใบเล็กซึ่งประดับตกแต่งอย่างวิจิตรมาตรงหน้าอวี๋หวั่น “เห็ดหลินจือแดงอยู่ในนี้ ท่านเปิดดูด้วยตัวเองเถิด”
อวี๋หวั่นมองนาง “กล่องใบนี้คงไม่มีกลไกซ่อนอยู่ใช่ไหม?”
ต่งเซียนเอ๋อร์มองค้อนใส่เธอ นางถือกล่องด้วยมือเดียว แล้วเปิดกล่องต่อหน้าอวี๋หวั่น จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มีกลไกหรือไม่?”
อวี๋หวั่นยิ้ม แล้วยกมือขึ้นประสานกัน “เป็นข้าที่เอานิสัยคนโฉดมาตัดสินวิญญูชน ต้องขอโทษด้วย”
“คนงี่เง่า!” ต่งเซียนเอ๋อร์กลอกตา จากนั้นก็ยัดกล่องใส่มืออวี๋หวั่น
สิ่งที่อวี๋หวั่นมิได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นแม้แต่ในฝันก็คือ ภาพเหตุการณ์เหลือเชื่อได้เกิดขึ้นจริงๆ ไข่มุกซึ่งประดับอยู่ด้านนอกกล่องได้สว่างวาบขึ้นพร้อมกัน!
สมองของอวี๋หวั่นมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง เธอหลุดปากพูดออกไปว่า “ไข่มุกพิษ!”
…………………………….