ปรมาจารย์พิษเมิ่ง…ในยามนี้เป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งแล้ว
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเห็นปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยที่มีพรสวรรค์สามคนกระโดดไปอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มที่เขาไม่แยแสด้วยสีหน้าตื่นเต้นยิ่ง ราวกับกำลังรอให้ชายหนุ่มผู้นั้นชื่นชมพวกเขา
ไม่คิดถึงฐานะของตนเสียเลย!
แน่นอนว่าอาเว่ยไม่ได้ชม มีสิ่งใดน่าชื่นชม ก็แค่พาเจ้าพวกขี้แพ้เข้าไปวิ่งเล่นเท่านั้น ต้องชื่นชมด้วยหรือ?
อาเว่ยนำนมแพะที่ต้มทิ้งไว้จนเย็นแล้ว เทใส่ขวดและยื่นให้พวกเขา
ทั้งสามรับขวดนมเล็กๆ ของตนเองด้วยสองมือมาดื่มอึกๆ
อาเว่ยเก็บข้าวของเสร็จแล้ว จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งถือห่อผ้า อีกมือหนึ่งจูงแพะ พาพวกขี้แพ้ทั้งสามเดินจากไป
“ช้าก่อน”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งอดไม่ได้ที่จะเดินตามไป
อาเว่ยหันตัวกลับมา ไข่ดำทั้งสามที่ยังอมปากขวดนมอยู่เพียงปรายตามองเขาอย่างมิได้สนใจเพียงแวบหนึ่งและดื่มนมต่อ
ที่แท้ปรมาจารย์พิษอาวุโสที่แย่งความโดดเด่นไปจากเขาก็คือเด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม สิ่งนี้ทำให้จิตใจของปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งไม่เป็นสุขอย่างมาก แต่อย่างไรเขาก็ไม่อาจก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่ได้ สถานที่แห่งนี้แม้กระทั่งจวนของประมุขหญิงก็ยังต้องหลีกเลี่ยง เขาเป็นเพียงที่ปรึกษาของจวนประมุขหญิง จะมีคุณสมบัติใดไปทำได้?
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยถามอาเว่ยด้วยสีหน้าเหมือนปกติ “เจ้าคือผู้ใด? แล้วพวกเขาคือผู้ใด?”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งมีความสงสัยว่าคนพวกนี้เล่นไม่ซื่อ ทว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีหลักฐาน
หากปรมาจารย์พิษขั้นสูงใช้วิธีแกมโกงเพื่อเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสได้อย่างง่ายดาย แล้วปรมาจารย์พิษขั้นสูงที่ไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอจะใช้วิธีพิเศษช่วยให้คนอื่นผ่านการทดสอบปรมาจารย์พิษอาวุโสได้อย่างไร?
“แล้วเกี่ยวอันใดกับเจ้า?” อาเว่ยตอบอย่างไม่เกรงใจ
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งผงะ เป็นแค่ปรมาจารย์พิษขั้นสูง กล้าวางตัวหยิ่งผยองอวดดีต่อหน้าปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งเยี่ยงเขา หากเป็นเมื่อก่อน ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือเอง คนของวิหารพิษก็คงมาสั่งสอนบทเรียนให้สักบทแล้ว ทว่านี่คือชายหนุ่มผู้อยู่ข้างกายปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งทั้งสาม สามต่อหนึ่ง เขาไม่กล้ามีเรื่อง
ไข่ดำน้อยทั้งสามหมดความอดทนที่จะเสวนากับตาแก่ผู้นี้ รีบดึงมืออาเว่ยเดินจากไป
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งยังใคร่จะถามต่อ แต่กลับต้องหยุดชะงักเพราะสายตาที่ไร้ความสนใจใยดีของอาเว่ย
ปรมาจารย์พิษอาวุโสทุกคนคือบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นของหนานจ้าว ไม่เพียงแต่ได้รับเงินรางวัล แต่ยังมีเบี้ยเลี้ยงรายเดือน และเรือนพักอันกว้างขวางใหญ่โตอีกหนึ่งหลัง เป็นผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากทางการเป็นอย่างดี
ปรมาจารย์พิษอาวุโสของหนานจ้าวมีค่ามากกว่าจ้วงหยวนของจงหยวน จะดีจะร้ายอย่างไรจ้วงหยวนก็มีอย่างน้อยหนึ่งคนในรอบสามปี ทว่าสำหรับปรมาจารย์พิษอาวุโส หากโชคไม่ดีในรอบสามสิบปีก็อาจไม่มีสักคน ทว่าวันนี้กลับออกมาทีเดียวถึงสามคน!!!
และทั้งสามก็เป็นพี่น้อง…พี่น้องที่ยังไม่หย่านม ยากที่จะแยกกันอยู่ หลังจากท่านอาจารย์ของพวกเขายินยอม จึงมอบเรือนอีกสองหลังให้อยู่ในการดูแลของวิหารพิษชั่วคราว และพวกเขาก็ย้ายเข้าไปอยู่เรือนหลังที่ทำเลดีที่สุด
ดีที่สุดเมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ในความเป็นจริงเรือนทั้งสามล้วนตั้งอยู่ในทำเลทองในเมืองหลวงทั้งสิ้น รายล้อมไปด้วยที่อยู่อาศัยของเจ้าหน้าที่และขุนนางระดับสูง
ในขณะที่บิดามารดาแท้ๆ ของพวกเขายังต้อง ‘อาศัยใต้ชายคาคนอื่น’ ไข่ดำทั้งสามกลับเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทำเลทองในเมืองหลวงถึงสามแห่ง
“ใต้เท้าอาเว่ย นี่คือเงินเดือนของใต้เท้าปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยทั้งสาม ไม่ทราบว่าควรนำไปไว้ที่ใดดีหรือขอรับ?” ผู้ดูแลวิหารพิษที่ติดตามมาผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นขณะชี้ไปยังกล่องใบใหญ่สองกล่องที่มีคนนำมา
เขาก็เป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูงผู้หนึ่งเช่นกัน มีอายุมากกว่าอาเว่ยราวสิบกว่าปี มีประสบการณ์มากกว่า แต่ผู้ใดให้อาเว่ยสอนลูกศิษย์ทั้งสามมาเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเล่า? ไม่ว่าจะเพราะโชคช่วยหรือสิ่งใด เขาก็ไม่กล้าทำตัวไม่เคารพอาเว่ยแม้แต่น้อย
อาเว่ยชี้ไปที่ห้องห้องหนึ่งอย่างลวกๆ “นำไปไว้ในห้องนั้นแล้วกัน”
“ขอรับ!” ผู้ดูแลวิหารพิษรีบสั่งการให้นำกล่องเข้าไปไว้ที่นั่น
อาเว่ยและลูกศิษย์ทั้งสามอยู่กันอย่างมีความสุข
มีความสุขคือศิษย์ตัวน้อย ทว่าหาใช่อาเว่ย
เขาคือจอมวายร้าย วายร้ายไม่ชอบเด็ก
ลูกศิษย์ทั้งสามเดินเข้ามาหา และเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาลูกแกะน้อย
หิวแล้ว…
อาเว่ยรีบเดินเข้าห้องครัวไปทำอาหารโดยทันที!
ณ วิหารพิษ ปรมาจารย์พิษอาวุโสฮือฮากับการค้นพบปรมาจารย์พิษผู้มีพรสวรรค์ทั้งสามคน ทว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งกลับไม่อาจรู้สึกยินดีแม้แต่น้อย มิใช่เพราะเหตุผลใด แต่เพราะวันนี้ควรจะเป็นวันที่น่าจดจำและมีหน้ามีตาที่สุดในชีวิตของเขา ทว่าผู้ใดจะคิดว่า กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มาแสดงความยินดีกับเขา กระทั่งตะวันใกล้ลับฟ้า ถึงมีสตรีพิษคนหนึ่งเอ่ยเตือนบรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโส “ไอ้หยา ไม่ใช่ว่ามีปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งอีกคนหนึ่งหรอกหรือ? เขาไปที่ใดแล้วละ?”
ในที่สุด ก็เริ่มมีคนนึกถึงปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่ง
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งรับป้ายหยกที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันด้วยความหดหู่ ทว่ากลับอดกลั้นที่จะโยนมันทิ้งแทบไม่ไหว
เขาเอาแต่คิดว่ามันไม่ใช่ความจริง จะมีปรมาจารย์พิษอาวุโสที่อายุน้อยได้อย่างไร? เขาสงสัยยิ่งนักว่าคนพวกนั้นใช้กลวิธีบางอย่าง ทว่าผู้คนในวิหารพิษล้วนเชื่อมั่นว่าทุกอย่างคือความประสงค์ของเทพกู่ เทพกู่ได้ประทานพรให้แก่พวกเขา ดังนั้นพิษกู่ที่เข้าไปจึงไม่อาจทำอันตรายพวกเขาได้
พวกเขาใช้ศาสตร์กู่ได้หรือไม่ ไม่สำคัญ เพียงแค่พวกเขาเป็นคนที่เทพกู่ประทานพรให้ก็เพียงพอแล้ว
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งยังหมายจะโต้แย้งบางอย่าง ปรมาจารย์พิษอาวุโสก็เอ่ยปากขึ้น “เจ้าอย่าลืมละว่าประมุขหญิงก็เป็นคนที่เทพกู่ประทานพรให้เช่นกัน หากเจ้าบอกว่าเทพกู่ประทานพรเป็นเรื่องเท็จ เช่นนั้นอีกนัยหนึ่งก็คือ ของศักดิ์สิทธิ์ของประมุขหญิงก็มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลกระมัง?”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งหุบปากลงในทันที
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งนั่งรถม้ากลับไปที่จวนประมุขหญิง
ประมุขหญิงทราบว่าวันนี้เขาไปที่วิหารพิษ จึงรอฟังข่าวดีอยู่ในจวนแต่เช้าตรู่ วิหารพิษได้ชื่อว่าเป็นดินแดนต้องห้ามแห่งหนานจ้าว เพราะนอกจากองค์ประมุขก็ไม่มีผู้ใดที่เข้าไปได้ ผลการทดสอบเป็นเช่นไร ประมุขหญิงไม่อาจทราบได้เลย
หลังจากปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งลงจากรถม้า ก็ถูกหญิงรับใช้ของประมุขหญิงนำทางไปยังโถงบุปผา
“กระหม่อมเมิ่งคารวะฝ่าบาท” ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งโค้งกายคารวะ
สายตาของประมุขหญิงจ้องมองไปที่ตราสัญลักษณ์ปรมาจารย์พิษอาวุโสบนเสื้อคลุมของเขา รอยยิ้มค่อยๆ เผยออกจากดวงตา “ยินดีกับใต้เท้าเมิ่ง ไม่ทราบว่าใต้เท้าเมิ่งเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสกี่จั้ง?”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเอ่ย “กระหม่อมเมิ่งไม่สามารถ ทำได้เพียงเจ็ดจั้งเท่านั้น”
ประมุขหญิงลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น “ใต้เท้าเมิ่งสมกับเป็นปรมาจารย์พิษอันดับหนึ่งแห่งหนานจ้าว แม้แต่บรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสที่วิหารพิษก็ไม่อาจเทียบเทียมท่านได้”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งค้อมกาย “ฝ่าบาทกล่าวชื่นชมเกินไปแล้ว กระหม่อมมิกล้ารับ”
หากเป็นอดีต นี่ก็เป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นวาจาที่ออกมาจากใจจริงๆ เขาพ่ายแพ้ให้กับศิษย์อาจารย์ไร้นามทั้งสี่ แล้วจะยังเรียกว่าเป็นปรมาจารย์พิษอันดับหนึ่งแห่งหนานจ้าวได้อย่างไร?
เขาไม่ต้องการเอ่ยถึงเรื่องนี้ จึงไม่ได้บอกกับประมุขหญิง ทว่าเมื่อผ่านไปเพียงสามวันห้าวัน คนของวิหารพิษก็เดินทางมาเข้าเฝ้าองค์ประมุข ย่อมเป็นธรรมดาที่ประมุขหญิงก็จะรับรู้ด้วยเช่นกัน
เมื่อประมุขหญิงเห็นว่าเขาดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ก็คิดว่าเขาคงจะเหนื่อยมากเกินไป ไม่ได้คิดสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ จึงรีบเจรจาเรื่องสำคัญและให้เขากลับไปพักผ่อนที่ห้องเร็วกว่าปกติ “ใต้เท้าเมิ่งในเมื่อบัดนี้ท่านเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าไปยังเขาพิษได้แล้ว ไม่ทราบว่าใต้เท้าคิดว่ามีโอกาสที่จะจับคางคกหิมะกลับมาได้มากน้อยเพียงใดหรือ?”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งตอบด้วยความมั่นใจ “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมมั่นใจสิบในสิบส่วนว่าต้องช่วยพระองค์นำคางคกหิมะกลับมาได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ประมุขหญิงยกมือของเขาขึ้นมาตบเบาๆ ด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าเป็นหนี้ใต้เท้าเมิ่งแล้ว”
…………..
ด้านไข่ดำทั้งสามที่ได้ทานข้าวหอมกรุ่นที่อาเว่ยเป็นคนปรุงจนอิ่มหนำสำราญ หน้าท้องก็เริ่มปูดออกมา อาเว่ยเข้าครัวไปล้างจาน ไข่ดำทั้งสามก็ออกไปเดินเล่นในลาน
พวกเขาป้อนหญ้าแม่แพะเสียจนตัวมันอ้วนกลม จากนั้นก็ลากมันไปเดินเล่น
เดินเล่นไปเดินเล่นมาก็เดินออกไปนอกเรือน
ทว่าเรื่องนี้จะตำหนิพวกเขาก็ไม่ได้ แท้จริงแล้วยามที่พวกเขาอยู่หมู่บ้านเหลียนฮวาก็มักจะเดินเตร่ไปทั่วหมู่บ้าน ไม่มีผู้ใดจับกุมพวกเขา เดินเล่นได้ไม่หมดไม่สิ้น ทว่าที่นี่น่าอึดอัดเกินไปแล้วมิใช่หรือ?
ไข่ดำทั้งสามจูงแม่แพะออกไปบนถนนซึ่งรายล้อมไปด้วยจวนของคนใหญ่คนโตมากมาย ระหว่างเรือนแต่ละหลังกั้นด้วยตรอกเล็กๆ
คนสามคนแพะหนึ่งตัวเดินเข้าออกตรอกไปมา เดินไปเดินมาจนกระทั่งหาทางกลับเรือนของตนไม่เจอ
อาเว่ยกล่าวว่า หากหาทางกลับเรือนไม่ได้ ก็ให้รอเขาอยู่ตรงนั้นอย่าไปที่ใด เขาจะออกไปตามหาเอง
ไข่ดำทั้งสามจึงมองหาประตูเรือนหลังที่ปิดสนิท และเมื่อเดินไปถึงขั้นบันไดก็ทิ้งตัวลงนั่ง
ทีแรกพวกเขายังคงตื่นตัวเต็มที่ ทว่าจากความเหนื่อยล้าในตอนกลางวัน ไม่นานพวกเขาก็นั่งพิงกำแพงและผล็อยหลับไป
สายจูงแม่แพะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ทว่าแม่แพะกลับไม่ได้วิ่งหนีไปที่ใด มันคุกเข่าลงและใช้ขนยาวๆ มอบความอบอุ่นแก่ไข่ดำทั้งสาม
ฮูหยินผู้เฒ่าที่กลับมาจากการเยี่ยมเยียนนางหลี่ เดินออกมาจากจวนตะวันตกได้มองเห็นฉากนี้
เดิมทีจวนตะวันออกเชื่อมต่อกับจวนตะวันตก สามารถเดินไปถึงกันได้จากด้านใน แต่ด้วยจวนทั้งสองกว้างใหญ่มาก เส้นทางภายในจึงซับซ้อนห่างไกล ไม่สะดวกเหมือนการเดินทะลุตรอก
หญิงรับใช้ที่คอยพยุงฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น “โอ้ นั่นเด็กบ้านใดกัน? เหตุใดจึงมาหลับอยู่ที่ประตูด้านหลังจวนตะวันออกของพวกเราได้?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปข้างหน้าเพื่อมองดูพวกเขา ไอ้หยา เด็กพวกนี้ผิวดำยิ่งนัก! แต่เหตุใดถึงดำได้ดูดีเช่นนี้? ดูใบหน้าเจ้าเนื้อนั่นสิ เหมือนกับหนิวตั้นตอนเด็กๆ ไม่มีผิด!
“ฮูหยินผู้เฒ่า เรา…อ๊ะ!” หญิงรับใช้เอ่ยได้เพียงครึ่งหนึ่งก็มองเห็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ต้องใช้คนพยุงเดินเหวี่ยงไม่เท้าทิ้ง ไม่อาจรู้ได้ว่าเอาแรงมาจากที่ใด ก้มลงอุ้มหนึ่งในเด็กอ้วนทั้งสามขึ้นมา
หญิงรับใช้ตกใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านจะทำสิ่งใดเจ้าคะ?”
“ชู่ว~” ฮูหยินผู้เฒ่าบอกให้นางหุบปาก พลางมองไปรอบๆ ด้วยคิ้วมุ่นขมวดและเอ่ยว่า “เร็วเข้า อุ้มมาให้หมด ขโมยกลับไปเป็นเหลนข้า!”
…………………………………………