เสียงอั้ยคำเดียวนี้ นอกจากทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาตะลึงงัน คนทั้งห้องก็ตกตะลึงเช่นกัน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเสียงหัวเราะของผู้ใดหลุดออกมา พลันทำให้คนทั้งห้องต้องหัวเราะออกมาตามๆ กัน
ทำไมถึงเป็นเด็กที่กล้าได้ถึงเพียงนี้? โอ๊ย ติดกับดักความน่ารักของเขาซะแล้วสิ!
เยี่ยนจิ่วเฉาแทบอดใจไม่ไหวที่จะหยิกเจ้าเด็กนี่ให้ตาย
เสี่ยวเป่าหาได้กลัวเขาหยิกไม่ เสี่ยวเป่าเพิ่งจะพูดได้ เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดีที่สุดในโลก!
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวในใจเป็นหมื่นรอบ ‘เจ้าเด็กนี่เกิดจากข้า’ ในที่สุดก็ระงับความรู้สึกชั่ววูบที่จะตีเขาลงไปได้ และให้โอกาสเขาครั้งสุดท้าย เยี่ยนจิ่วเฉาชี้ไปที่ดอกไม้ในขวด “ดอกไม้”
เสี่ยวเป่า “ดอกไม้”
เยี่ยนจิ่วเฉาชี้ไปด้านนอก “แพะ”
เสี่ยวเป่า “แพะ”
เยี่ยนจิ่วเฉา “น้า”
เสี่ยวเป่า “น้า”
เยี่ยนจิ่วเฉา “ย่าทวด”
“ย่าทวด”
“พ่อ”
“อั้ย!” เสี่ยวเป่าที่ต่อต้านขัดขืนสำเร็จ
เยี่ยนจิ่วเฉาที่ใบหน้ามืดมนอีกครั้ง “…..”
ไอสังหารพวยพุ่งออกจากร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉา เสี่ยวเป่าดิ้นรนเอาชีวิตรอด ยื่นแขนเล็กๆ ไปทางฮูหยินผู้เฒ่า “ย่าทวด——”
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบพุ่งไปคว้าเสี่ยวเป่าไว้ในอ้อมแขนด้วยความเร็วเฉกเช่นเครื่องปั่นอาหาร ยืนหันหลังให้เยี่ยนจิ่วเฉ่า และกล่าวอย่างขมขื่น “ไม่อนุญาตให้รังแกเหลนของข้า”
เยี่ยนจิ่วเฉาใบหน้าซีดเซียวด้วยความหดหู่ “เช่นนั้นท่านยังจำหลานชายที่น่ารักของท่านได้อยู่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นได้ฟังน้ำเสียงที่เจือปนความคับแค้นใจอย่างหาที่สุดมิได้ของสามี คำพูดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในใจ ‘พระองค์ทรงจำเซี่ยอวี่เหอที่ริมทะเลสาบต้าหมิงหูเมื่อคราวนั้นได้หรือไม่เพคะ[1]’
มีฮูหยินผู้เฒ่าคอยปกป้อง การต่อสู้ไม่อาจลงเอย อย่ามองว่าเสี่ยวเป่าอายุเพียงสามขวบ ยังมีสิ่งที่ไม่เข้าใจอีกมาก แต่ในใจกลับรู้ดีว่าผู้ใดเป็นใหญ่ ผู้ใดเป็นรอง เฉกเช่นเดินตามย่าทวดก็ไม่ต้องเกรงฟ้ากลัวดินอีกต่อไป
แม้แต่ทานอาหาร เสี่ยวเป่าก็ยังทานอาหารในอ้อมแขนของฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าป้อนสิ่งใดก็กินสิ่งนั้น ช่างแสนน่ารัก นุ่มนวล และเชื่อฟังยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบเขามากจนยิ้มไม่หุบตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ละเลยต้าเป่ากับเอ้อร์เป่า นางล้วนโปรดปรานเหลนทั้งสามของนาง เพียงแต่พวกเขาตัวหนักเกินไป แค่กอดพวกเขาทีละคน มือเท้าก็ชาไปหมด…
แต่ถึงจะชาก็ชอบ ฮูหยินผู้เฒ่าหลงใหลคลั่งไคล้สุดหัวใจ
ตั้งแต่เห้อเหลียนเซิงถูกขับออกจากบ้าน นางถานโกนผมบวชชี ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่นั่งทานข้าวกับผู้ใดอีก เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ทานอาหารอยู่ที่เรือนของตน ทว่านับตั้งแต่วันแรกที่เด็กทั้งสามมาถึง แค่ได้ยินว่าอยากกินข้าว ก็พาผู้ใหญ่ในบ้านมารวมกันหมด
ในหมู่บ้านเหลียนฮวาก็เป็นแบบเดียวกัน พวกเขาคุ้นชินกับการทานอาหารร่วมกับคนในบ้านทั้งหมด คิดว่าที่นี่ก็เช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เช่นกัน
ดังนั้น อาหารขึ้นโต๊ะเป็นครั้งที่สอง พวกเขาก็เรียกผู้ใหญ่มารวมกันอีกครั้ง
ทานข้าวแบบนี้มาสองสามครั้ง สองแม่ลูกไม่พูดจา แต่ปริมาณข้าวที่ทานกลับมากกว่าเมื่อก่อนเป็นเท่าตัว
“ดังนั้นอย่างไรในบ้านก็ต้องมีเด็ก” ข้ารับใช้คนหนึ่งแอบเอ่ยเบาๆ
เพื่อนอีกคนกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าเป็นเด็กเช่นไร คุณชายน้อยทั้งหลายเป็นเด็กดีและน่ารักยิ่ง หากลองเปลี่ยนเป็นเด็กซุกซนคงไม่ใช่เช่นนี้”
คุณชายน้อยที่แสนน่ารักและเชื่อฟังอาบน้ำ ดื่มนมเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัวเข้านอน
“นอนกับแม่!”
คำตอบนี้ จื่อซูถามในขณะที่อาบน้ำให้เขา เสี่ยวเป่าชอบนอนกับท่านพ่อหรือท่านแม่? เสี่ยวเป่าโอ้อวดสิ่งที่เพิ่งร่ำเรียนมาอย่างเด็ดขาด!
ผู้ใดจะกล้าปฏิเสธความต้องการของเด็กน้อยที่เพิ่งจะพูดได้กัน? อย่างไรอวี๋หวั่นก็ทำไม่ได้
อวี๋หวั่นโอบบุตรชายคนเล็กไว้ในอ้อมกอด
เยี่ยนจิ่วเฉากลับมาที่ห้องหลังจากอาบน้ำก็เห็นเจ้าเด็กเหลือขอถูตัวไปมาในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น เขาก้มหน้าลงในทันใด “ไม่อายบ้างหรือ? เล็กๆ ก็นอนกับแม่ ทว่าโตขนาดนี้ก็ควรนอนเองได้แล้ว”
เสี่ยวเป่าเพิ่งเอ่ยปากพูด ยังไม่สามารถพูดประโยคที่ซับซ้อนได้ ทว่าดวงตากลับฉายทุกอย่างออกมาจนหมดสิ้น
เห็นชัดๆ ว่าข้าเด็กที่สุดในบ้าน! หากเทียบกัน ท่านน่ะแก่แล้ว! ยังนอนกับแม่ข้าอีก! ผู้ใดกันแน่ที่หน้าไม่อาย?
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีทางให้หนี…
อวี๋หวั่นกุบขมับ ไม่อาจทนมอง…
เจ้าช่วยเหลือตัวเองเถิดลูก แม่ก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว…
ในเช้าตรู่ของวันถัดไป เสี่ยวเป่าจับก้นเล็กๆ ของเขา เดินโซซัดโซเซไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าโอดครวญเศร้าสร้อย…
อีกด้านหนึ่ง เจียงไห่กับพวกอาเว่ยทั้งสามได้เดินลึกเข้าไปในเขาพิษ คางคกหิมะเป็นสัตว์พิษที่มีจิตวิญญาณบางอย่าง และไม่ได้อาศัยอยู่ในป่าตื้นใกล้กับวิหารพิษ ที่มาของมันถูกกล่าวขานแตกต่างกันไปหลากหลายรูปแบบ ว่ากันว่ามันถูกกลั่นโดยผู้อาวุโสท่านหนึ่งในข่าวลือ และยังกล่าวอีกว่ามันดูดซับสารของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จนกลั่นตนเองให้กลายเป็นสัตว์พิษ ผู้คนพูดกันไปต่างๆ นานา แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่สอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดใจจากทุกคำพูด นั่นคืออานุภาพของมันร้ายกาจ เป็นรองจากสัตว์พิษที่เป็นของศักดิ์สิทธิ์
ปรมาจารย์พิษในใต้หล้าต่างอยากครอบครองมัน อย่างไรเสียคนธรรมดาก็ไม่อาจเข้าไปที่เขาพิษได้ ผู้ที่เข้าไปได้อย่างปรมาจารย์พิษและปรมาจารย์พิษอาวุโสก็อาจไม่ได้โชคดีพบมัน และแม้จะโชคดีได้พบมัน ก็อาจไม่สามารถพอที่จะจับมันได้อยู่ดี
แต่ยามนี้แตกต่างกัน ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้ง เขาไม่ได้แปดเปื้อนกลิ่นอายของศักดิ์สิทธิ์ เขาเดินมาถึงเจ็ดจั้งด้วยกำลังของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าการมาเขาพิษในครั้งนี้ ต้องไม่กลับไปมือเปล่าเป็นแน่
คนที่ขึ้นเขามาพร้อมกับเขาเป็นปรมาจารย์พิษแปดคนที่ครอบครองป้ายหยก ตามแผนเดิม เขาไม่ได้พาคนกลุ่มนี้มาด้วย ทั้งหมดที่พามาต่างเป็นปรมาจารย์พิษที่แท้จริง ทว่าประมุขหญิงให้ปรมาจารย์พิษตัวปลอมปะปนมาด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด แม้พวกเขาจะไม่ใช่หน่วยกล้าตาย ทว่าก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุทธภพ ฝีมือของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าหน่วยกล้าตายทองคำ
วิธีการที่ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งใช้ไม่แตกต่างจากอาเว่ย ที่ใช้ราชันสัตว์พิษเป็นเหยื่อ ล่อให้คางคกหิมะเข้ามาหาอาหาร สัตว์พิษตัวนั้นแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ยิ่งชอบกินประเภทเดียวกับตนเอง หากเทียบกับราชันสัตว์พิษ หนอนพิษในป่าดูน่าเบื่อไปเลย แต่ทว่า ลมหายใจที่ราชันสัตว์พิษปล่อยออกมาได้นั้นมีข้อจำกัด ต้องอยู่ในระยะหนึ่งร้อยก้าวเพื่อให้คางคกหิมะรับรู้ถึงมัน
คราแรกอาเว่ยคิดจะใช้ราชันสัตว์พิษของตัวเอง แต่เมื่อเห็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งทำแบบเดียวกัน เขาก็เก็บราชันสัตว์พิษ และติดตามไปโดยรักษาระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล
ในที่สุดคืนวันที่สามคางคกหิมะก็ปรากฏตัว
มันคือคางคกตัวเล็กที่ดูราวกับหยกขาวกำลังส่องแสงโอดโฉมอยู่ใต้แสงจันทร์
เห็นเช่นนี้ ผู้ใดจะเชื่อว่ามันเป็นเพียงสัตว์พิษ มันดูเหมือนกับเทพธิดาตัวน้อยๆ ที่บริสุทธิ์งดงามเสียมากกว่า
มันงับเข้ากับราชันสัตว์พิษตัวหนึ่ง
ยอดฝีมือทั้งหลายรีบชักดาบออกมาทันควัน
“อย่าขยับ! ข้าจัดการเอง!”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเกรงว่าพวกเขาจะพลาดทำให้คางคกหิมะบาดเจ็บ จึงสั่งให้พวกเขาถอยไป
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งยังประเมินความสามารถของคางคกหิมะต่ำเกินไป มันยากกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก ราชันสัตว์พิษทั้งหมดที่เขานำมาถูกคางคกหิมะกำจัดราบคาบ ทางเลือกสุดท้าย เขาจำต้องนำราชันพันสัตว์พิษที่ใช้รักษาชีวิตออกมาสังเวย
เมื่อราชันพันสัตว์พิษตาย คางคกหิมะก็มาตกอยู่ในมือของเขา
ร่างกายปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก ไม่ว่าราชินีสัตว์พิษตัวนี้จะล้ำค่ามากเพียงใด ก็เป็นเพียงราชันพันสัตว์พิษเท่านั้น แต่เพื่อจับมัน ราชันพันสัตว์พิษของตนเองกลับไม่มีอีกแล้ว
“เอาละ ทั้งหมดนี้เพื่อความรุ่งเรืองขององค์ประมุขหญิง”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา บุรุษสวมหน้ากากสีดำก็กระโดดลงมาจากท้องฟ้าและคว้าคางคกหิมะที่เขาจับมาด้วยความยากลำบากไปในที่สุด
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งตกใจหน้าถอดสี “เจ้าเป็นใครกัน!”
บุรุษสวมหน้ากากไม่ตอบ พลันหันหลังคิดจะเดินจากไป
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งตะโกนเสียงดังลั่น “เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้น! สัตว์พิษตัวนั้นข้าพบก่อน! ส่งมันคืนให้กับข้า!”
บุรุษสวมหน้ากากส่งสายตาเหยียดหยาม
ไม่ยอมคืนให้
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งตะโกนดังขึ้นกว่าเดิม “ได้ สวรรค์มีทางเจ้าไม่เดิน กลับบุกเข้าประตูนรกที่หาได้เปิดรับเจ้าเสียเอง หากเจ้ายอมคืนให้ข้าดีๆ เสียแต่แรก ข้าจะให้อภัยและไม่ฆ่าเจ้า แต่เจ้ารนหาที่ตายเอง อย่ามาโทษข้าแล้วกัน! เด็กๆ! ไปฆ่ามัน!”
ไม่มีใครตอบรับ
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งยิ่งเพิ่มระดับเสียง “หูหนวกรึไง? ยามไม่ให้ยุ่งพวกเจ้ากลับแทรกแซง ยามที่ควรลงมือก็ตายกันไปหมดแล้วหรือ?!”
ขณะที่กล่าว ก็หันกลับไปมองด้วยความโกรธ
เอ๊ะ…คงไม่ใช่ตายกันหมดแล้วจริงๆ กระมัง…
เขาหันกลับไปเห็นร่างไร้วิญญาณที่ไม่อาจรู้ว่านอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นตั้งแต่เมื่อใด พลันตกใจร่างกายแข็งเป็นหิน
ที่นี่…ที่นี่มียอดฝีมือที่เปรียบได้กับหน่วยกล้าตายทองคำถึงสี่คน อสูรแบบใดกันที่ปลิดชีวิตพวกเขาได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้?
“หึ” ชายสวมหน้ากากเยาะเย้ย
นรกว่างเปล่า อาเว่ยก็ยังอยู่ในโลกมนุษย์
อาเว่ยเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา หลังจากกลับมารวมตัวกับชิงเหยียนและเจียงไห่อีกครั้ง ก็ไม่รอช้าอยู่นานให้มากอุปสรรค รีบเดินทางกลับจวนในทันที
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา เขาครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก็นึกถึงคนสี่คนที่เข้ามาที่เขาพิษพร้อมกับเขาในวันนี้ ปฏิกิริยาแรกของเขาคือคนพวกนั้นเล่นลูกไม้! ปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยต้องการแมลงพิษเป็นเรื่องลวง หากแต่ต้องการคางคกหิมะต่างหากที่เป็นจริง!
เสียสละราชันพันสัตว์พิษไปแล้ว ทว่าตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง[2] ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งไม่อาจยอมรับมันได้ รีบเร่งฝีเท้าตามไป
หูทั้งสองข้างของชิงเหยียนขยับ “เขามาแล้ว! หนึ่ง สอง สาม ล้ม!”
คนทั้งสี่ล้มลงอย่างรู้ดี!
เมื่อปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งมาถึง ก็เห็น ‘ปรมาจารย์พิษ’ สี่คนที่กำลังหายใจแผ่วๆ อาเว่ยกับโกวเยว่ ‘สลบไปแล้ว’ เจียงไห่ ‘บาดเจ็บสาหัสไม่อาจยื้อชีวิต’ ชิงเหยียนก็เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งผงะ
ช้าก่อน เหตุใดไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาคิด?
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเดินมาด้านหน้าชิงเหยียนที่ดูราวกับยังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย และถามเขาว่า “เกิดอันใดขึ้น?”
“เมื่อครู่…เมื่อครู่บุรุษผู้หนึ่ง…จู่โจม…พวกเรา…ข้าเพียง…เห็นเขา…ถือสัตว์พิษ…สัตว์พิษที่ดู…แปลกมากๆ…เมื่อมอง…มากเข้า…ก็ถูกเขา….”
คำพูดด้านหลัง ชิงเหยียนหมดแรงจะพูดต่อ
ทว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าต้องเป็นชายสวมหน้ากากที่ถูกพบเข้าโดยบุรุษเคราะห์ร้ายทั้งสี่ในระหว่างการหลบหนีจากการชิงคางคกหิมะ ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งคิดว่าพวกเขารู้เรื่องคางคกหิมะ จึงต้องฆ่าปิดปากเพื่อไม่ให้ข่าวแพร่งพรายออกไป
แต่ช้าก่อน ตนเองก็เป็นผู้ที่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน แต่เหตุใดถึงชายสวมหน้ากากถึงไม่ฆ่าเขาละ?
เวรแล้ว! ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้! ช่องโหว่นี้จะอุดอย่างไรดี?
แววตาชิงเหยียนฉายประกาย เม็ดเหงื่อผุดพรายออกมา
แต่นาทีนั้น ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งได้เข้าใจ ‘ทั้งหมด’ แล้ว “ข้าเข้าใจแล้ว เขาหาได้ต้องการชีวิตพวกเจ้าแต่แรก ทว่าเพราะคิดจะโยนความผิดเรื่องขโมยสัตว์พิษมาที่พวกเจ้า จึงไว้ชีวิตข้าเพื่อใช้เป็นปากพยาน เขาหวังให้ข้าเชื่อว่าเป็นฝีมือของพวกเจ้า ไอ้สารเลว ข้าเกือบจะเชื่อแล้ว!”
ชิงเหยียนตกตะลึง แม้จะเป็นบุรุษเหมือนกัน แต่เหตุใดเจ้าถึงได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้?
ข้าไม่รู้จะกล่าวอย่างไรแล้วละ พี่ชาย…
เช่นนั้น เช่นนั้นก็ขาดใจตายเลยแล้วกัน
ชิงเหยียนแลบลิ้น เอียงหัวและ ‘สิ้นใจตาย’
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเดินจากไป
แต่ไม่นานก็เดินกลับมาค้นหาร่างทั้งสี่ นอกจากอาหารแห้งและแมลงมีพิษที่เพิ่งจับได้แล้ว ก็ไม่พบสิ่งใดอีก
อาเว่ยใช้วิชาตัวเบาขึ้นไปบนกิ่งไม้ และหยิบถุงผ้าที่ซ่อนไว้ในรังนกออกมา
หลังจากนั้น ทั้งสี่ก็ออกจากเขาพิษอย่างผึ่งผาย
…………………………………………
[1] ‘พระองค์ทรงจำเซี่ยอวี่เหอที่ริมทะเลสาบต้าหมิงหูเมื่อคราวนั้นได้หรือไม่เพคะ’ เป็นคำถามเชิงตัดพ้อของจื่อเวยต่อเฉียนหลงฮ่องเต้ ในละครจีนเรื่ององค์หญิงกำมะลอ
[2] ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง อุปมาถึงผู้ที่ไร้วิสัยทัศน์ มักเล็งผลระยะสั้นโดยไม่ระวังว่าจะมีผลร้ายในระยะยาวรออยู่