บนเวทีจะดุเดือดเลือดพล่านเพียงใดคงไม่ต้องเอ่ยถึง ตั้งแต่วินาทีที่ลูกกลมแพรปักถูกโยนออกไป เหล่าบุรุษก็เลือดร้อนขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแข่งขันของคนมีเงิน ในตอนนี้กลับพึ่งเพียงพละกำลัง และไม่รู้ว่าคนเท่าไรที่ต้องเสี่ยงเลือดตกยางออกเพื่อแย่งลูกกลมแพรปักนั่นมา
เสียงกลองระรัว เสียงตะโกนโหวกเหวกจนหูอื้อ เสียงร้องเสียดโสตประสาท
ในตอนแรกอวี๋หวั่นก็มองตามตาไม่กะพริบ แต่ภายหลังเธอก็สับสน มองไม่ออกว่าใครเป็นใคร จึงทำได้เพียงนั่งพิงเก้าอี้หาวหวอดๆ
ในทางกลับกัน เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งนั่งอยู่ข้างเธอกลับมีสีหน้าตื่นเต้น
“ที่แท้ก็เป็นเด็กน้อย”
ไม่ดูสาวงาม แต่ดูการต่อสู้
“เจ้าพึมพำอะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉาหันมาถาม
“ไม่มีอะไร” อวี๋หวั่นหยิบผลซานจาใส่ปาก
เยี่ยนจิ่วเฉาชมการแข่งขันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจิตสังหารและความดุดันก็ปรากฏในนัยน์ตาของเขา
อวี๋หวั่นกำลังก้มหน้าก้มตากินผลซานจา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนถูกกระชาก ร่างของเธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน เยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ใกล้ชิดเธอเช่นนี้ ทว่าในตอนนี้เขาไม่เพียงกอดเธอ ยังฝังใบหน้าเข้าที่คอของเธอ แล้วหายใจเอากลิ่นกายของเธอเข้าไปอีกด้วย
จะหอมลูกแมวอีกแล้วหรือ?
ทันใดนั้นเองอวี๋หวั่นก็นึกได้ว่าเขากำลังรู้สึกทรมานอีกแล้ว
ทั้งยังทรมานมากด้วย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แหกกฎหรอก
ดังนั้นอวี๋หวั่นจึงอยู่นิ่งๆ ทำตัวเป็นลูกแมวให้เขาหอมต่อไป
อวี๋หวั่นคิดว่าการหายใจเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ในเมื่อเขาชอบ ก็ให้เขาทำต่อไป อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
อวี๋หวั่นปรับท่วงท่าในอ้อมกอดของเยี่ยนจิ่วเฉาให้รู้สึกสบาย
ในตอนนี้ทุกคนล้วนแต่กำลังสนใจการช่วงชิงลูกกลมแพรปัก ไม่มีใครสนใจพวกเขาที่อยู่ในมุมอับ ไม่เช่นนั้นผู้ชายสองคนมาเที่ยวหอคณิกา ไม่เพียงไม่ชื่นชมฮวาขุยแล้ว ยังมากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเช่นนี้ คงไม่วายจะถูกนินทาว่าเสียสติเอาได้
แม้ว่าหนึ่งในพวกเขานั้นจะเริ่มเสียสติแล้วจริงๆ ก็ตาม
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เพียงทำเหมือนหอมหัวแมว เขายังลูบขนแมวอีกด้วย
เขาลูบเส้นผมของอวี๋หวั่นอย่างไม่หนักและไม่เบามือ อวี๋หวั่นรู้สึกว่าทั้งร่างของเธอเริ่มผ่อนคลาย เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกง่วงนอน
ทว่าในตอนนนั้นเอง อยู่ๆ ลูกกลมแพรปักที่ผู้คนต่างสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้มาครอบครองกลับถูกเจ้างั่งที่ไหนก็ไม่รู้เตะมาหล่นอยู่ที่เยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋หวั่นอยู่ในอ้อมกอดของเยี่ยนจิ่วเฉา เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเบียดเข้ามา อวี๋หวั่นรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก เธอลืมตาขึ้น หืม? ลูกกลมแพรปัก
เยี่ยนจิ่วเฉาขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจ จากนั้นก็ปัดลูกกลมออกไปอย่างไม่ลังเล
อวี๋หวั่นพุ่งตัวออกไปหยิบลูกกลมแพรปักที่สามีของตนโยนทิ้งไป
ประจวบเหมาะกับในตอนนั้นเอง เสียงกลองของนักดนตรีได้หยุดลง
นักดนตรีหันหลังให้กับฝูงชน เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เห็นว่าลูกกลมอยู่ที่ใครแล้ว แต่คนบนเวทีมองเห็น
ในตอนนี้อวี๋หวั่นกำลังถือลูกกลมแพรปักออกมาจากอ้อมกอดของสามี แล้วกลับมานั่งในที่เก้าอี้ของตนด้วยสีหน้าขึงขัง
ผู้คนต่างตะลึงงัน
พวกเขาแย่งกันแทบตาย แต่เจ้าโง่คนไหนก็ไม่รู้กลับเตะลูกกลมแพรปักไปหาเจ้าหน้าขาวนั่น?! อยากจะลากมาอัดให้เละสักทีจริงๆ เลย!
อวี๋หวั่นกอดลูกกลมเอาไว้ ดวงตาดูไร้เดียงสา
สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา นางมองอวี๋หวั่นแล้วกล่าวว่า “ยินดีด้วยเจ้าค่ะคุณชาย เชิญขึ้นไปชั้นบน”
อวี๋หวั่นถูกเชิญไปชั้นบน
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าองครักษ์ขององค์หญิงน้อยเป็นคนเตะไป เดิมทีเขาตั้งใจเตะไปให้องค์หญิงน้อย แต่เขาจำตำแหน่งผิดไป จึงเตะไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา กว่าเขาจะตระหนักได้ เสียงกลองก็หยุดลง ผลของการแข่งขันออกมาแล้ว
องค์หญิงน้อยโมโหสุดขีด!
อย่างไรก็ดี เห้อเหลียนเฉิงซึ่งอยู่ด้านข้างขององค์หญิงน้อยจดจำอวี๋หวั่นได้ทันที เขาทำตาโต พลางสะกิดไหล่เห้อเหลียนอวี่ “พี่รอง ท่านดู!”
“ดูอะไร?” เห้อเหลียนอวี่ถามด้วยความมึนงง
“คนนั้นไง! นะ…นาง…นางไม่ใช่ คนนั้น…จวนตะวันออก…” ทันใดนั้นเห้อเหลียนเฉิงก็ตระหนักได้ว่าตนเหมือนจะลืมชื่อคนผู้นั้นไปแล้ว
“เยี่ยนหวั่น!” เห้อเหลียนอวี่จำอวี๋หวั่นได้แล้ว
“พวกเจ้ารู้จักเขาหรือ?” องค์หญิงน้อยมองไม่ออกว่าอวี๋หวั่นเป็นผู้หญิง
สองพี่น้องพยักหน้า
เห้อเหลียนเฉิงคำรามว่า “นางก็คือผู้ที่มาบอกว่าเป็นญาติกับจวนตะวันออกที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง”
“หลานของฮูหยินผู้เฒ่าหรือ?” องค์หญิงน้อยถาม
เห้อเหลียนเฉิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ขอรับ เป็นหลานสะใภ้!”
“สตรีรึ?” องค์หญิงตื่นตะลึง
เหตุที่ทั้งสองไม่ได้สังเกตเห็นอวี๋หวั่นตั้งแต่แรกนั้นก็เพราะโต๊ะของพวกเขาล้วนแต่มีกำแพงไม้กั้นอยู่ มองไม่เห็นกันและกัน และพวกเขาไม่เคยเห็นเจียงไห่กับอีกสองคนในจวน แม้ว่าพวกเขาจะเห็นอวี๋หวั่น แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะมาด้วย
เห้อเหลียนเฉิงกัดฟันกรอด “แม่นางคนนี้แอบฮูหยินผู้เฒ่าและสามีออกมาเที่ยวหอคณิกา! ข้าจะไปจัดการนาง!”
เขาพลาดพลั้งต่อเจ้านี่มาหลายครั้งแล้ว ในครั้งนี้ต้องกู้หน้าคืนมาให้ได้ ต่อให้สั่งสอนเจ้านั่นไม่ได้ แต่จะถึงกับสั่งสอนภรรยาเขาไม่ได้เชียวหรือ?
เห้อเหลียนเฉิงเดินปึงปังขึ้นไปชั้นบน ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ถูกอวี๋หวั่นคว้าคอเสื้อเอาไว้จนตกลงไปด้านล่าง
เห้อเหลียนเฉิงซึ่งล้มก้นจ้ำเบ้าและตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา “…”
ผู้ที่มาจากชนบทนี่โหดร้ายแบบนี้ทุกคนเลยหรือเปล่านะ…
เมื่อน้องชายถูกรังแก เห้อเหลียนออวี่ก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ควรออกหน้า เยี่ยนหวั่นไม่ควรมาในสถานที่พรรค์นี้ แล้วเขาควรมาหรือ? หากเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาพวกเขาคงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
กระนั้น แม้ว่าเขาจะไม่กล้าเข้าไปสู้ตรงๆ แต่เขาก็ยังต้องทำอะไรสักอย่าง เขาลุกขึ้นมายืน ถกแขนเสื้อขึ้น “ข้าจะสั่งสอนเจ้า!”
“ไม่ต้อง ถอยไป!” น้องชายไม่สามารถ พี่ชายจะแข็งแกร่งกว่ากันเท่าไรเชียว? องค์หญิงน้อยไม่ได้คาดหวังว่าทั้งสองจะช่วยแย่งลูกกลมแพรปักมาได้ นางจึงตัดสินใจออกโรงด้วยตนเอง!
เห้อเหลียนอวี่ถอยออกมา
องค์หญิงน้อยสวมรองเท้าหนังมันเลื่อมคู่สวยเข้ามา
“ฮูหยินหยุดก่อน!”
นางเรียกว่าฮูหยิน แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้ฟังดูมีความเคารพแม้แต่น้อย
อวี๋หวั่นฟังออกว่านี่คือเสียงแหลมชวนปวดหัวที่ได้ยินจากด้านนอกกำแพง เธอไม่ได้สนใจนาง และเดินต่อไป
“เอ๊ะ?” องค์หญิงประหลาดใจ “องค์ห…ไม่สิ คุณชายอย่างข้าพูด เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร?”
อวี๋หวั่นเดินหน้าต่อ
องค์หญิงรู้สึกร้อนรน นางสาวเท้าเข้าไปขวางหน้าอวี๋หวั่น “ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ!”
อวี๋หวั่นหยุดฝีเท้าลง แล้วร้องว่า ‘อ้อ’ ออกมา “เห็นคุณชายน้อยเรียกฮูหยิน ข้าก็คิดว่าเรียกคนอื่นเสียอีก”
“เห็นชัดๆ ว่าเจ้า…”
“เห็นชัดๆ ว่าข้าทำไมหรือ?” อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ
องค์หญิงน้อยไม่กล้าเปิดเผยว่าตนกับเห้อเหลียนเฉิงเป็นพวกเดียวกัน นางเกือบจะพูดออกไปเสียแล้ว นางมองไปยังลูกกลมแพรปักแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าส่งลูกกลมแพรปักมาให้ข้า จะเอาเงินเท่าไหร่ก็บอกมา”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ข้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน”
องค์หญิงน้อยหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ นางเข้ามาอยู่ในจวนตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในห่อผ้า สตรีผู้นี้รู้ว่านางถูกรับมาเลี้ยง แต่แล้วอย่างไร? ท่านแม่รักนาง ท่านพ่อและท่านพี่ก็เอ็นดูนาง นางเปรียบประหนึ่งไข่มุกล้ำค่าของราชวงศ์หนานจ้าว ไม่มีผู้ใดปฏิเสธนางได้ นอกจากท่านพี่เซิง!
“เช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง” องค์หญิงน้อยยืดอกพลางกล่าว
“ข้าต้องการลูกกลมแพรปักลูกนี้” อวี๋หวั่นบอกด้วยรอยยิ้ม
องค์หญิงน้อยขมวดคิ้ว “นอกจากมัน”
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นสถานะของคุณชายน้อยเป็นอย่างไร?”
“เจ้าอยากจะเป็น…” องค์หญิงน้อยหยุดพูด จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดว่า “เจ้าอยากจะเป็นญาติกับข้าหรือ?”
ญาติเจ้าอะไร อวี๋หวั่นฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องด้วย
สายตาขององค์หญิงน้อยหลุกหลิกไปมา จากนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายน้ำเสียงลง “ทะ..ท่านแม่ข้ารักข้ามาก นางเก่งกาจ ขอเพียงเจ้ายินยอมส่งลูกกลมแพรปักให้ข้า ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้ามีชีวิตที่รุ่งโรจน์!”
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ได้ขาดแคลนเงิน”
“ตำแหน่งเล่า? คนบ้านเจ้ามีใครอยากรับราชการหรือไม่?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเป็นถึงแม่ทัพเทพแห่งหนานจ้าว คนบ้านเธอที่องค์หญิงน้อยพูดถึงก็คือสามีบ้านนอกของเธอ
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก คิดในใจว่าสถานะของคนบ้านข้า เจ้าคงคิดไม่ถึงหรอก
เมื่อองค์หญิงน้อยเห็นว่าการเสนอผลประโยชน์นั้นไม่ได้ผล จึงแสร้งทำเป็นน่าสงสาร “ขอกล่าวอย่างไม่ปิดบัง วันเกิดของท่านแม่ข้าใกล้เข้ามาแล้ว ข้าอยากพบต่งเซียนเอ๋อร์ ต้องการของขวัญให้ท่านแม่ข้า”
ความคิดแรกของอวี๋หวั่นก็คือ อีกฝ่ายต้องการเห็ดหลินจือ และเมื่อเป็นเช่นนี้เธอยิ่งให้ลูกกลมแพรปักแก่นางไม่ได้
อีกอย่าง เมื่อพูดถึงวันเกิด วันเกิดท่านแม่ของเธอก็ใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน
“เจ้ามีแม่ ข้าก็มีแม่เหมือนกัน ข้าก็ต้องการของขวัญให้ท่านแม่ เพราะฉะนั้นแล้วลูกกลมแพรปักนี้ข้าไม่อาจให้เจ้าได้” อวี๋หวั่นตอบไปตามตรง และไม่คิดจะสนใจแม่นางน้อยจอมตอแยคนนี้อีก เธอเดินตรงไปยังห้องที่สาวใช้นำทางไป
“เจ้า!” องค์หญิงน้อยกระทืบเท้า “เรียกคนมา!”
คนที่มากลับเป็นคนของแม่นางต่ง
หน่วยกล้าตายที่มีวรยุทธ์สูงส่งสี่คนเข้ามาล้อมองค์หญิงน้อยไว้
“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายผม ท่านแม่ข้าถล่มหอตี้อีราบเป็นหน้ากลองแน่!”
สาวใช้คนหนึ่งก้าวขึ้นมาด้านหน้า คำนับครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงน้อยกล่าวได้ถูกต้อง แต่ข้าคิดว่าองค์หญิงน้อยก็คงไม่อยากให้ประมุขหญิงทรงรู้ว่าท่านแอบมาหอคณิกา”
องค์หญิงน้อยตกใจยกใหญ่ “เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือองค์หญิง?”
สาวใช้ยิ้มพลางตอบว่า “เรื่องนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือเจ้านายข้าขอร้องให้องค์หญิงเห็นแก่หน้านาง อย่า
ได้สร้างเรื่องในที่แห่งนี้ คุณชายท่านนั้นเป็นแขกที่ได้รับเลือกในคืนนี้ หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นก่อนเข้าไปในห้อง และเรื่องแพร่งพรายออกไป วันข้างหน้าใครจะกล้าดูแลกิจการของเจ้านายข้าเล่า?”
องค์หญิงน้อยฟังออกว่าแม้สาวใช้จะใช้คำว่าขอร้อง แต่ที่จริงแล้วเป็นการข่มขู่ หากนางยังไม่หยุดก่อเรื่อง หอตี้อีก็จะแจ้งเรื่องนี้แก่ท่านแม่ของนางอย่างไม่เกรงใจ
เจอเรื่องไม่สบอารมณ์ถึงสองเรื่องในคืนเดียว ทำให้องค์หญิงน้อยโมโหสุดขีด สตรีบ้านนอกผู้นี้ไม่เห็นนางอยู่ในสายตา หญิงโสมมในหอคณิกาก็ยังกล้าขัดใจนาง “ฝากไว้ก่อนเถอะ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องมาถล่มหอตี้อีของพวกเจ้า!”
สาวใช้มิได้มีสีหน้าตกใจแม้แต่น้อย นางเพียงแต่ค้อมกายน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับทุกเมื่อเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นไม่เห็นภาพเหตุการณ์นี้
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในห้องสุดระเบียงทางเดิน กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก กลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นหอมชวนคลื่นเหียน แต่เป็นกลิ่นหอมของดอกหลิงหลาน หอมหวานทำให้ผ่อนคลาย
สตรีสวมอาภรณ์สีม่วงนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มือเรียวสวยกำลังจับกู่ฉินซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
อวี๋หวั่นถือลูกกลมแพรปัก แล้วพูดด้วยท่าทางสง่างามว่า “ข้าน้อยคำนับแม่นางต่ง”
……………………………………….