ตั้งแต่อวี๋หวั่นตัดสินใจมาอยู่ที่จวนเห้อเหลียน ชีวิตของเธอก็สุขสบายเกินไป เธอตื่นสายกว่าปกติ เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้น เด็กน้อยทั้งสามก็ไปเล่นที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉาก็ไปแช่น้ำยา ทุกวันนี้เขาจำต้องฝังเข็มและอาบน้ำยาเพื่อระงับพิษแทนยาต้ม
อวี๋หวั่นลุกขึ้นนั่งช้าๆ จื่อซูก็ผลักประตูเข้ามา “ฮูหยิน ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”
“อือ” อวี๋หวั่นยกม่านขึ้น
จื่อซูรับผ้าม่านแล้วเกี่ยวไว้กับตะขอ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า เลือกชุดกระโปรงสีน้ำเงินทะเลสาบมาชุดหนึ่ง “วันนี้สวมชุดนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“นี่ชุดของข้าหรือ?” อวี๋หวั่นจ้องมองกระโปรงที่สวยสดงดงาม “ไยข้าถึงจำไม่ได้ว่าเคยมีชุดนี้?”
จื่อซูยิ้มอย่างล่วงรู้ “แม่ทัพใหญ่ให้ช่างเย็บปักทำให้เจ้าค่ะ แม่ทัพใหญ่เรียกช่างเย็บปักมาที่เรือน และถามบ่าวเกี่ยวกับขนาดตัวและความชอบของฮูหยิน แล้วจึงให้ช่างเย็บปักทำเสื้อผ้าให้ท่านจำนวนหนึ่ง เมื่อวานพวกเขาส่งมาสี่ชุด อีกสี่ชุดที่เหลือกำลังเร่งทำอยู่ที่หอเย็บปัก แม่ทัพใหญ่ทำให้ซื่อจื่อด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ ทว่าของซื่อจื่อมิได้เร็วเช่นนี้ ยังมีของบ่าวและฝูหลิงอีกนะเจ้าคะ แม่ทัพใหญ่กล่าวว่าบ่าวเป็นข้ารับใช้ส่วนตัวของท่านกับซื่อจื่อ เช่นนั้นก็เป็นข้ารับใช้ของจวนเห้อเหลียนด้วยเช่นกัน ภายภาคหน้าก็ปฏิบัติตามกฎของจวนเห้อเหลียน สวมเสื้อผ้าสี่ชุดในหนึ่งฤดูกาล”
แม่ทัพใหญ่เทพแห่งหนานจ้าวผู้ซึ่งยกมือขึ้นตะโกนสั่งการกองทัพอันยิ่งใหญ่ ที่แท้ก็ดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านเป็นเหมือนกัน อวี๋หวั่นจินตนาการถึงฉากที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นและอธิบายหน้าที่งานทั่วไปให้ข้ารับใช้ฟังอย่างละเอียด ก็หลุดหัวเราะออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
ท่านลุงใหญ่ผู้นี้ น่ารักอย่างคาดไม่ถึงยิ่งนัก
แม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะสติฟั่นเฟือน นางถานก็ไม่อยู่แล้ว แต่อย่างไรบ้านก็ต้องมีคนจัดการ เห้อเหลียนเป่ยหมิงทำได้เพียงชี้นิ้วสั่งการ แต่เขาหาได้เป็นเช่นนั้น ผู้คนต่างบอกว่าบุรุษที่มุ่งมั่นจริงจังน่าดึงดูดที่สุด เธอคิดว่าท่าทางของท่านลุงเห้อเหลียนวันนี้ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
อวี๋หวั่นอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า หญิงเย็บปักก็มาแล้วและกำลังวัดตัวให้เด็กชายทั้งสาม พวกเขาเปลี่ยนไปทุกวัน จื่อซูไม่แน่ใจว่าพวกเขาใส่เสื้อผ้าใหญ่เพียงใด
“มานี่มา!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวักมือเรียกอวี๋หวั่นด้วยรอยยิ้ม
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปหา
เมื่อไข่ดำทั้งสามเห็นมารดา ก็ไม่ได้สนใจการวัดขนาดตัวและรีบวิ่งไปหาท่านแม่ของพวกเขา
ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าที่ได้เปรียบด้านความแข็งแกร่ง เบียดเสี่ยวเป่าจนไปอยู่ด้านหลัง
แต่เสี่ยวเป่าไม่กลัว เขามีอาวุธพิเศษ!
“ท่านแม่ กอด!” เสี่ยวเป่ายื่นสองแขนออกไป
อวี๋หวั่นก็อุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมา
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่ามองเขาอย่างขื่นขมระทมใจ เจ้าน้องชายร้ายกาจ!
เสี่ยวเป่าแลบลิ้น
แบร่ แบร่ แบร่!
อวี๋หวั่นบีบหน้าเขาทั้งโกรธทั้งขำ “นี่หาเรื่องอีกแล้วใช่หรือไม่? ถูกท่านพ่อสั่งสอนยังไม่พอ เลยมายั่วพี่ชายอีกสองคน”
เจ้าตัวเล็กนี่ แรกเริ่มเดิมทีมีนิสัยเก็บตัวและซื่อสัตย์ที่สุด แต่มาตอนนี้กลับแปลกประหลาดที่สุด
“ท่านแม่ ท่านแม่! ชอบท่านแม่! เสี่ยวเป่า ชอบท่านแม่ที่สุด!” เสี่ยวเป่านอนอยู่ในอ้อมแขนของอวี๋หวั่นราวกับเด็กทารก ทำให้อวี๋หวั่นหลงใหลเคลิบเคลิ้มจนลืมที่จะตำหนิติเตือนเขาในที่สุด
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง เจ้าบ้าเอ๊ย น่าแก้แค้นยิ่งนัก!
อวี๋หวั่นทานอาหารเช้าในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า จากนั้นก็ได้ยินการเคลื่อนไหวของรถม้า ไม่นานฝูหลิงก็เดินเข้ามา และบอกว่าพวกเจียงไห่กลับมากันแล้ว
“ท่านย่า ข้าขอตัวไปที่ชีสยาย่วนก่อน” อวี๋หวั่นกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมืออย่างใจกว้าง “ไปเถิด”
แม่พวกเขาไม่อยู่แล้ว เหลนก็จะติดนางเพียงผู้เดียว!
อวี๋หวั่นไปที่ชีสยาย่วน พวกเขาเหล่านั้นอยู่ในป่ามาเป็นเวลาสามวันสามคืน เจียงไห่ไม่อาจทนกลิ่นนี้ไหว จึงนำน้ำร้อนไปอาบ พวกอาเว่ยทั้งสามนั่งอยู่ในห้องของชายชรา และกำลังหารือเรื่องสำคัญกับชายชราอย่างจริงจัง
“อาม่า” ชิงเหยียนเริ่มเอ่ยปาก “ได้ของมาแล้ว ควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
ตามแผนเดิม พวกเขาจะช่วยอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาหายาสองชนิดแรกให้พบ หลังจากนั้นเมื่อได้รับความไว้วางใจจากพวกเขามากพอ ค่อยกุเรื่องว่าวัตถุดิบยาที่เหลืออีกสองตัวอยู่ที่เผ่าปีศาจ ใช้เป็นข้ออ้างลักพาตัวพวกเขากลับไปยังเผ่า
ทว่าหลังจากชิงเหยียนเอ่ยปากถาม ทุกคนในห้องต่างก็เงียบสนิท
อาเว่ยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่า ควรจะดำเนินการต่อ…”
“เจ้าหุบปาก!” ชิงเหยียนและเยว่โกวดุเขาอย่างพร้อมเพรียง
วันแรกที่มาถึงก็ถูกกดขี่ วันที่หกที่มาถึงก็ถูกดุ อาเว่ยจอมวายร้ายผู้ยิ่งใหญ่จดจำไว้หมดแล้ว!
“อาม่า!” อวี๋หวั่นเคาะประตูและตะโกนถามจากด้านนอก “พวกชิงเหยียนกลับมาแล้วใช่หรือไม่?”
ชิงเหยียนเหลือบมองอาม่า เมื่อเห็นว่าอาม่าไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ เขาจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู และกล่าวด้วยรอยยิ้มมุมปาก “พวกเราเพิ่งกลับมาถึง ไยเจ้าตื่นเช้าเช่นนี้?”
“ไม่เช้าเลย ตะวันจะตกดินอยู่แล้ว” อวี๋หวั่นมองเข้าไปในห้อง “อยู่ที่นี่กันหมดเลยหรือ? เป็นอย่างไรบ้าง? ได้คางคกหิมะมาหรือไม่?”
ชิงเหยียนกระแอมในลำคอ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ได้มาแล้ว เข้ามาคุยกันในห้องเถิด”
อวี๋หวั่นเข้ามาด้านใน
“อาม่า เยว่โกว อาเว่ย” อวี๋หวั่นกล่าวทักทาย
ทั้งสามพยักหน้าให้นางและเรียกอาหวั่น
“นั่งลงเถิด” ชิงเหยียนกล่าว
อวี๋หวั่นนั่งลงข้างอาม่า และถามพวกเขา “เป็นอย่างไรบ้าง? การเดินทางที่เขาพิษเป็นไปด้วยดีหรือไม่? มีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“ไม่มี” ชิงเหยียนกล่าว “เราได้พบกับคนของจวนประมุขหญิง ทว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว มิได้ปล่อยให้พวกเขาสงสัยในตัวเรา”
“เช่นนั้นก็ดี” ไม่ใช่เพราะอวี๋หวั่นกลัวจวนประมุขหญิง แต่เพราะยามนี้พวกเขาไม่อาจเผชิญหน้ากับจวนประมุขหญิงได้อย่างเปิดเผย สถานการณ์ในตอนนี้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างลับๆ จะเหมาะสมที่สุด
“คางคกหิมะอยู่ที่ใด? ข้าขอดูได้หรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
ชิงเหยียนเปิดห่อผ้าบนโต๊ะและหยิบกล่องหยกใบเล็กออกมา “นี่”
อวี๋หวั่นรับกล่องมาและเปิดออกโดยไม่พูดพร่ำใดๆ
ชิงเหยียนตกใจคิ้วกระตุกกับความรีบร้อนของเธอ เขากำลังจะบอกให้ระวัง เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็นึกขึ้นได้ว่าร่างกายของสตรีผู้นี้ครอบครองของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าวอยู่ สิ่งที่ต้องระวังก็คือเจ้าสิ่งเล็กๆ นั่นแหละ
เป็นดังที่คาดไว้ ทันทีที่เปิดกล่องออก แสงสีขาวกะพริบออกมาจากแขนเสื้อของอวี๋หวั่น และบินเข้าหาคางคกหิมะที่อยู่ในกล่อง
ได้ยินเพียงเสียงดังปัง อาเว่ยรีบปิดกล่องลงอย่างรวดเร็ว
แสงสีขาวนั้นคว้าไว้ได้เพียงอากาศและบินกลับเข้าไปในแขนเสื้อของอวี๋หวั่นตามเดิม
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นงงงวย
อาเว่ยกล่าวว่า “ของศักดิ์สิทธิ์ต้องการกินคางคกหิมะ”
นี่คือลักษณะของสัตว์พิษ ตัวที่อ่อนแอเป็นอาหารของตัวที่แข็งแกร่ง เพียงแต่ในระดับของศักด์สิทธิ์เช่นนี้ ราชันสัตว์พิษทั่วไปไม่เข้าตาของมัน หากสัตว์พิษที่ไม่อาจใกล้เคียงกับราชันพันสัตว์พิษของเฟ่ยหลัวเป็นข้าวขาวที่ไร้ซึ่งรสชาติ เช่นนั้นราชันพันสัตว์พิษที่แท้จริงตัวนี้ก็คือเนื้อติดไขมันชิ้นใหญ่ที่หอมหวนน่าทาน
“อันตรายยิ่งนัก ข้าเกือบทำให้มันถูกกินไปแล้ว” อวี๋หวั่นกุมหัวใจของเธอ และไม่กล้าแตะกล่องใบนั้นอีก พลันมองไปที่แขนเสื้อแล้วเอ่ยว่า “จะดีจะร้ายอย่างไรเจ้าก็เป็นราชันสัตว์พิษ เขาเป็นราชินีสัตว์พิษ เป็นเพศหญิง เจ้าไม่อาจเป็นสุภาพบุรุษได้ ก็อย่าคิดจะกินคนอื่นอยู่ตลอดมิได้หรือ?”
อาเว่ย “มันเป็นสัตว์พิษเพศชาย”
อวี๋หวั่น “…”
อวี๋หวั่นมอบคางคกหิมะให้อาเว่ยดูแล จากนั้นเธอก็ถามเกี่ยวกับวัตถุดิบยาตัวที่สาม “อ้อ แล้ววัตถุดิบยาพิเศษชิ้นที่สามเล่า อยู่ที่ใด? อยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่? หรือว่าอยู่ที่อื่น?”
อาเว่ย “อยู่ที่…”
“อยู่ที่เมืองหลวง” ชายชรากล่าว
แววตาอาเว่ยทอประกายเยียบเย็น บทตอนแรกหาได้เป็นเช่นนี้ ท่านอย่ามาตีกรอบข้า
ชายชรากล่าวว่า “นักบุญองค์สุดท้ายถึงแก่กรรมด้วยโรคชราในเมืองหลวง มรดกของนักบุญได้ถูกทำลายไปแล้ว ทว่าพระคัมภีร์เกี่ยวกับวิหารนักบุญยังคงถูกเก็บไว้อย่างดีในศาลาวั่นซูเก๋อ ตราบใดที่เราหามันพบ ก็อาจเจอเบาะแสจากมันก็เป็นได้”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “เบาะแสของอาม่าหมายถึง…”
ชายชราพึมพำกับตนเองครู่หนึ่งและจึงกล่าวว่า “ในยุทธภพมีข่าวลือเช่นเดิมมาตลอดว่า มรดกของพ่อมดและนักบุญถูกทำลายลงเพราะความบาดหมาง ทั้งสองต่อสู้กันดุเดือดจนท้ายที่สุดก็นำไปสู่การสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ทว่าข้าเคยได้ยินเรื่องราวอีกแบบหนึ่งว่า นักบุญกับพ่อมดกลายมาเป็นคู่ชะตาบำเพ็ญเพียร การรวมกันของพวกเขาถูกสาปแช่งโดยเทพเจ้า เทพเจ้าจึงบัลดาลให้พวกเขาพินาศย่อยยับ หากสิ่งที่อาม่ากล่าวเป็นความจริงละก็ บางทีพวกเขาอาจยังมีคนรุ่นหลังอยู่บ้างก็เป็นได้ ตราบใดที่พบคนรุ่นหลังของพวกเขา เราก็จะได้รับวัตถุดิบยาสองตัวสุดท้าย”
เยว่โกวเอ่ยด้วยท่าทีทึ่มเขลา “แต่หากเป็นแบบแรก…”
“ไม่อนุญาตให้ปากเสีย!” ชิงเหยียนถมึงตาใส่เขา
“อ้อ” เยว่โกวเงียบลงอย่างว่าง่าย
อวี๋หวั่นคิดก่อนจะถามว่า “เช่นนั้นเราต้องไปที่วั่นซูเก๋อจึงจะพบคำตอบใช่หรือไม่?”
“ไม่ง่ายดายเช่นนั้น” ชายชรากล่าว “ไม่กี่ปีมานี้ มีคนมากมายค้นหาคำตอบ แต่วั่นซูเก๋อถูกควบคุมโดยวิหารราชครูมาตลอด นอกจากราชครูและคนสนิทของพวกเขาก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้”
“วิหารราชครูหรือ…” อวี๋หวั่นจับคาง
“ข้าไป!”
เจียงไห่เปิดประตูเดินเข้ามา
เขาอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย จิตใจสดชื่นอย่างสุดขีด
เขามองไปที่อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ พลันกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้าจะไปที่วั่นซูเก๋อ และขโมยพระคัมภีร์มา!”
…………………………………………