เฉกเช่นเหล่าบัญฑิตที่เลื่อมใสในปรมาจารย์ลัทธิขงจื่อ นักรบก็มีบุคคลที่ตนเลื่อมใสและชื่นชมเช่นกัน อวี๋เซ่าชิงอยู่ในค่ายซีเป่ยมาหกปี ได้ฟังเรื่องราวของเทพสงครามซึ่งเลื่องชื่อที่สุดสองคน คนแรกคือเซียวเจิ้นถิง อีกคนหนึ่งก็คือเห้อเหลียนเป่ยหมิง
นอกจากการได้กลับไปพบกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว การได้พบกับเทพสงครามในตำนานก็เป็นอีกหนึ่งความปรารถนาในชีวิตของเขาเช่นกัน
เขาเคยพบกับเซียวเจิ้นถิงแล้ว ไม่เพียงได้พบ แต่ยังได้เกี่ยวดองเป็นญาติกับเขาอีกด้วย
แม้อวี๋เซ่าชิงจะไม่พูดออกมา แต่ในใจของเขากลับรู้สึกเป็นเกียรติเหลือเกิน
ทว่าหนานจ้าวนั้นอยู่แสนไกล แม้ว่าจะเข้ามาในจวนสกุลเห้อเหลียนแล้ว เขาก็ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับอีกฝ่าย
บัดนี้เห้อเหลียนเป่ยหมิงตัวจริงเสียงจริงได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา อย่าได้ถามว่าเขารู้ได้อย่างไร สรุปก็คือความรู้สึกบอก เขารู้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครเหมือนคนผู้นี้
เขามองไปยังเทพสงครามซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างเหลือเชื่อ หัวใจของเขาพลันรู้สึกร้อนผ่าว
เป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ ตอนที่พบกับเซียวเจิ้นถิงก็ไม่ยักใจเต้นแรงถึงเพียงนี้
ช้าก่อน ไฉนจึงรู้สึกว่าสายตาที่เทพสงครามมองมาที่ข้าถึงดูตื่นเต้นเช่นนั้นเล่า?
ข้าตื่นเต้นก็เพราะได้พบเทพสงคราม แต่เขาจะตื่นเต้นทำไมกัน?
อวี๋เซ่าชิงสับสนเล็กน้อย
ที่บอกว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้สึกตื่นเต้นนั้นเป็นเรื่องจริง เขาตื่นเต้นกว่าอวี๋เซ่าชิงด้วยซ้ำไป หลังจากที่เข้ามาก็ตกตะลึงถึงเพียงนั้น เขานึกว่าเขาเห็นท่านพ่อ เกือบจะลุกขึ้นมาจากรถเข็นเสียแล้ว ความคิดแรกของเขาก็คือคนคนนั้นอาจเป็นท่านพ่อที่ปีนออกมาจากหลุมศพก็เป็นได้ ความคิดต่อมาก็คือ ในตอนที่ท่านพ่อลาจากโลกนี้ไป เขาไม่ได้อายุประมาณนี้ ร่างที่กึ่งนั่งกึ่งยืนเก้ๆ กังๆ ของเขาจึงค่อยๆ นั่งลง
อย่างไรเสียก็เคยผิดหวังกับเห้อเหลียนเซิงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อมองใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นตัวปลอม ความตื่นเต้นและดีใจครั้นเห้อเหลียนเป่ยหมิงเห็นอวี๋เซ่าชิงครั้งแรกก็เหือดหายไป และแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจซึ่งดูเย็นชาแทน
อวี๋เซ่าชิงตัวสั่น
เดี๋ยวก่อน เหตุใดเทพสงครามไม่ตื่นเต้นแล้วเล่า?
แต่กลับดูเหมือนจะเข้ามาหักคอเขาอย่างไรอย่างนั้น?!
“หนิวตั้น!” ฮูหยินผู้เฒ่ากอดขาของอวี๋เซ่าชิง พยายามดึงเขาเข้าหาตัว
อวี๋เซ่าชิงต้านแรงดึงของฮูหยินผู้เฒ่า พลางกอดเสาเอาไว้แน่น ในใจร่ำร้องว่าใครก็ได้บอกเขาทีว่าเกิดอะไรขึ้น
อวี๋เซ่าชิงจะร้องไห้แล้ว
ใครก็ได้ช่วยเอาผู้เฒ่าคนนี้ออกไปที!
อันที่จริง อวี๋เซ่าชิงมีวิทยายุทธ์ เมื่อครู่ที่ถูกนางลากไปได้ก็เพราะสมองของเขากำลังมึนงง บัดนี้ตั้งสติได้แล้ว หากใช้พลังภายในเพียงเล็กน้อยก็สามารถผละออกจากนางได้ ไม่สิ บางทีอาจไม่ต้องใช้พลังภายในด้วยซ้ำไป ลำพังพละกำลังของบุรุษอย่างเขาก็สามารถผลักให้นางล้มลงหมดสติได้
แต่เขาไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้น
อาจเป็นเพราะเขาไม่อาจลงไม้ลงมือกับคนเฒ่าคนแก่สติฟั่นเฟือนได้ หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาไม่อาจลงมือกับผู้เฒ่าคนนี้ได้
ผลก็คือเขาถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียว…
ฮือๆๆๆ
อยากร้องไห้เหลือเกิน
หลังจากที่สาวใช้คนสนิทไปตามเห้อเหลียนเป่ยหมิง จากนั้นก็ไปตามฮูหยินน้อยที่ห้องของคุณชายใหญ่
อวี๋หวั่นยังคงสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สาวใช้ก็เล่าไม่ได้ศัพท์ อวี๋หวั่นจึงเดินมายังห้องของฮูหยินผู้เฒ่า เธอมาหยุดอยู่ข้างรถเข็นของเห้อเหลียนเป่ยหมิง สายตาจับจ้องไปยังผู้ชายซึ่งกำลังกอดเสาแน่น จากนั้นก็พูดอย่างงัวเงียว่า “เอ๋? ท่านพ่อ?”
อวี๋เซ่าชิงหันไปมองด้วยความดีใจ!
ลูกข้า!
ในที่สุดลูกข้าก็มาช่วยแล้ว!
หากเจ้ามาไม่ทัน พ่อก็คงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เป็นแน่!
นี่มันรังหมาป่าถ้ำเสือหรืออย่างไร อันตรายเหลือเกิน!
เมื่อเห้อเหลียนเป่ยหมิงได้ยินที่อวี๋หวั่นพูดก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง “เจ้าเรียกเขาว่าอย่างไรนะ?”
“ท่านพ่อเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นปิดปากหาววอด
เห้อเหลียนเป่ยหมิงตกใจ “เขาคือ…พ่อเจ้าหรือ?”
อวี๋หวั่นตื่นเต็มตากว่าเดิมเล็กน้อย เพิ่งนึกได้ว่าท่านพ่อท่านแม่เพิ่งเข้าจวนมาเมื่อวานตอนดึก ฮูหยินผู้เฒ่าและเห้อเหลียนเป่ยหมิงนอนไปแล้ว เธอไม่ทันได้บอกพวกเขา “ท่านพ่อท่านแม่ข้าเข้าจวนมาเมื่อคืน พวกท่านนอนไปแล้ว ข้าคิดว่าจะบอกพวกท่านเช้าวันนี้”
แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ พวกท่านคงได้พบหน้ากันแล้วกระมัง?
อวี๋หวั่นพบว่าท่านพ่อของเธอกำลังกอดเสาด้วยท่วงท่าประหลาด และฮูหยินผู้เฒ่าก็กำลังดึงขาของเขาอยู่
เอ๊ะ…
เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งออกแรงดึงจนหน้าดำหน้าแดง แล้วกล่าวถามว่า “ท่านย่า กำลังทำอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?”
ท่านย่า?
นางคือมารดาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงหรือ?
อวี๋เซ่าชิงหันหน้าไป อยากร่ำไห้ยิ่งกว่าเดิม
มารดาของเทพสงครามทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
นางทึกทักไปว่าตนเป็นท่านพ่อของเขา มิน่าเล่าเขาถึงทำท่าทางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกันเช่นนี้!
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวว่า “หนิวตั้น ท่านปู่เจ้ากลับมาแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้นอวี๋หวั่นก็ตื่นเต็มตาในทันที เธอทำตาโตแล้วพูดว่า “เขาไม่ใช่หนิวตั้น เขาคือท่านพ่อข้า”
“เขาคือหนิวตั้น!” ฮูหยินผู้เฒ่ายืนกราน
“ไม่ใช่” อวี๋หวั่นพูด
“ใช่! ใช่ๆๆๆ !” ฮูหยินผู้เฒ่าโวยวายขึ้นมา
อวี๋หวั่นยกมือก่ายหน้าผาก ท่านย่าป่วยอีกแล้ว จะทำยังไงดี? ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นหลานตนเองนับว่าเข้าใจได้ แต่คิดว่าท่านพ่อของเธอเป็นหนิวตั้นเช่นนี้ไม่ได้การแล้ว
อวี๋หวั่นมองไปยังเห้อเหลียนเป่ยหมิงเพื่อขอความช่วยเหลือ
สายตาหวาดระแวงของเห้อเหลียนเป่ยหมิงอันตรธานหายไปเมื่ออวี๋หวั่นยืนยันตัวตนของอีกฝ่าย เป็นเขาที่คิดมาก เขานึกถึงเหตุการณ์ที่พบกับอวี๋หวั่นครั้งแรก นึกถึงสิ่งที่อวี๋หวั่นบอกกับเขา…เขารู้สึกประหนึ่งตนเองอยู่ในความฝัน ครั้นอวี๋หวั่นมองมา เขาจึงตื่นขึ้นจากความฝัน เขาดันรถเข็นของตนไปข้างหน้า
“ท่านแม่” เขาดันรถเข็นไปหยุดลงข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า
“หึ!” ฮูหยินผู้เฒ่าเบือนหน้าหนี ไม่สนใจเขา
นัยน์ตาของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไหวน้อยๆ เขาเอื้อมมือออกไปจับมือของฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านแม่ เขาไม่ใช่หนิวตั้น เขาคืออวี้(煜)เอ๋อร์ ”
อวี้(玉)เอ๋อร์? ในตอนแรกอวี๋หวั่นยังไม่ทันนึกถึงตัวอักษรพ้องเสียงทั้งสองตัว
ฮูหยินผู้เฒ่าชะงักไปครู่หนึ่ง นางยังกอดขาของอวี๋เซ่าชิงเอาไว้ มองไปยังใบหน้าของอวี๋เซ่าชิง มองอยู่สักพักจึงพึมพำว่า “อวี้…อวี้เอ๋อร์?”
“ใช่แล้วขอรับ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้า
อวี๋เซ่าชิงงุนงงไปหมด เกิดอะไรขึ้นกัน?
ฮูหยินผู้เฒ่าเบะปาก จากนั้นก็ร้องไห้โฮ นางโผเข้าไปกอดศีรษะของอวี๋เซ่าชิง “เจ้าลูกคนนี้…อยากให้แม่ตายหรืออย่างไร…”
อวี๋เซ่าชิง “???”
อวี๋เซ่าชิง “!!!”
จากสามีกลายมาเป็นลูก ผู้ใดรู้บ้างว่านี่มันอะไรกัน?!
……
หลังจากที่มีหลานเข้ามาอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าพาอีกคนหนึ่งเข้ามา ทั้งยังเป็นคนที่ในตอนแรกว่ากันว่าตกเขาและหายสาบสูญไป ภายหลังบอกว่าล้มป่วยและจากไปในตำบลชิงเหอ บรรดาบ่าวต่างตกใจกันถ้วนหน้า บุรุษที่อยู่ๆ ก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าลากเข้ามาในบ้านนั้นเป็นคนหรือผีกันแน่
หลังจากที่อวี๋เซ่าชิงรับบทเป็นลูกชายให้ฮูหยินผู้เฒ่าตลอดช่วงบ่าย เขาก็พาฮูหยินผู้เฒ่าเข้านอน
อย่างไรเสียเขาก็เคยเป็นลูกมาก่อน เรื่องแค่นี้เขาทำได้สบาย
แต่เขาก็ยังไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ เขาเดินหน้าดำคร่ำเครียดไปยังชีสยาย่วน
แม้ว่าอาม่าจะไม่ใช่คนในครอบครัว แต่เขาก็เป็นที่เคารพของทุกคน พวกเขาใช้ชีสยาย่วนเป็นสถานที่สำหรับปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ ไปโดยปริยาย
เมื่ออวี๋เซ่าชิงเดินเข้าห้องมา คนอื่นๆ ก็กำลังรอเขาอยู่
การประชุมระดับครัวเรือนที่พวกเขาตัดสินใจจัดขึ้นนั้นเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อย ผู้เข้าร่วมประชุุมมีอาม่า อวี๋เซ่าชิง นางเจียง เห้อเหลียนเป่ยหมิง เยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่น รวมไปถึงเด็กน้อยทั้งสามที่ไม่ว่าจะหลอกล่ออย่างไรก็ไม่ยอมออกไป พวกเขายกม้านั่งตัวเล็กเข้ามานั่งอยู่ด้วย
เด็กน้อยทั้งสามนั่งทำตาบ้องแบ๊ว มองไปยังผู้ใหญ่ในห้องด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
พวกผู้ใหญ่กำลังทำอะไรกันอยู่นะ เหมือนจะเป็นเรื่องที่สุดยอดมากๆ พวกเขาก็อยากอยู่ด้วย
“เสี่ยวเป่า มานี่” อวี๋หวั่นกวักมือเรียกเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าวิ่งเตาะแตะไปหาอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นอุ้มเขาขึ้นมา ให้เขานอนในท่วงท่าที่สบายในอ้อมแขนของเธอพลางโยกเบาๆ พร้อมกับกล่าวว่า “หนึ่ง สอง หลับซะ”
“คร่อกฟี่~คร่อกฟี่~” เสี่ยวเป่ากรนเบาๆ
เอ้อร์เป่าไม่อยากนอน กระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นโชคชะตาไปได้ นับหนึ่งถึงสามก็หลับปุ๋ยไปแล้ว
ต้าเป่าไร้เรี่ยวแรง เขาไม่คิดต่อต้าน จึงปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ยาวอย่างว่าง่ายแล้วล้มตัวลงนอน
อวี๋หวั่นเรียกฝูหลิงและจื่อซูมาอุ้มทั้งสามคนกลับไปนอนยังห้องของฮูหยินผู้เฒ่า เด็กสามผู้เฒ่าหนึ่งล้วนแต่อยู่ในห้วงนิทรา
หลังจากนี้จะได้เริ่มพูดคุยกันอย่างจริงจังสักที
ในฐานะที่อวี๋เซ่าชิงเป็นตัวละครสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ สายตาของทุกคนจึงจับจ้องไปที่เขา เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยปากถามเขาก่อนว่าบอกเรื่องของอวี๋หวั่นและเถี่ยตั้นน้อยกับฮูหยินผู้เฒ่าไปหรือไม่
เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้จากอวี๋หวั่นแต่แรกแล้วว่าเขายังมีหลานชายตัวน้อยอยู่ที่หมู่บ้านเหลียนฮวา
อวี๋เซ่าชิงไหนเลยจะเอ่ยปากบอกได้ทัน? ฮูหยินผู้เฒ่าลากเขามาแล้วก็บอกว่าเฉาเอ๋อร์เป็นลูกของเขา ส่วนอาหวั่นเป็นลูกสะใภ้ของเขา ให้เขาปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ดีๆ ถึงแม้ลูกสะใภ้คนนั้นจะอัปลักษณ์ก็เถอะ…
อวี๋หวั่น “?!”
เธออัปลักษณ์?!
อีกทั้งฝีมือการทำอาหารยังย่ำแย่ ชอบออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกอยู่เรื่อย แต่เฉาเอ๋อร์ชอบ ในฐานะที่พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาก็ต้องชอบด้วย
“…” เกิดอะไรขึ้น? เธอคิดไปเองมาตลอดเลยหรือว่าฮูหยินผู้เฒ่ารักและเอ็นดูเธอดุจหลานแท้ๆ?
เวรเอ๊ย ไม่อยากอยู่แล้ว!
………………………….