แสงเรืองรองบนเส้นขอบฟ้า อากาศยามรุ่งอรุณของเมืองหลวงในเดือนสิบนั้นเริ่มมีความชื้นมากขึ้น
ราชบุตรเขยขยับตัวเล็กน้อย ค่อยๆ ตื่นจากความฝัน เขายกแขนที่ยังเจ็บอยู่บ้างขึ้นมากดลงบนหว่างคิ้วซึ่งบวมช้ำ ลืมตาขึ้นแล้วมองเพดานซึ่งประดับด้วยอัญมณีหลากสี จากนั้นก็เลิกม่านออก มองไปยังห้องซึ่งทั้งเก่าแก่และหรูหรา ความรู้สึกแปลกประหลาดบังเกิดขึ้นในจิตใจ
“ที่นี่…”
เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
ทันใดนั้นเอง เงาของคนผู้หนึ่งซึ่งดูสง่างามก็ปรากฏในเส้นสายตาของเขา จับม่านที่เขาเลิกออกแล้วส่งให้สาวใช้ สาวใช้นำม่านมาเกี่ยวบนตะขอ จากนั้นเจ้านายของนางก็นั่งลงบนเตียง
ราชบุตรเขยขยับออกให้ห่างจากนางตามสัญชาตญาณ
ประมุขหญิงเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขา จึงยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ข้าเอง”
“ท่าน…เป็นใคร?” ราชบุตรเขยเอ่ยถามด้วยความสับสน
“ข้าคือภรรยาของท่านน่ะสิ” ประมุขหญิงตอบ
ประมุขหญิงคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดี ใบหน้าของนางจึงไร้ซึ่งความประหลาดใจ
ราชบุตรเขยมิได้สนใจสีหน้าของนางแต่อย่างใด เพราะเขาพบว่าตนเองมีปัญหาใหม่ “ท่านเป็นภรรยาของข้า แล้ว…ข้าเป็นใคร?”
ประมุขหญิงยื่นมือนุ่มออกมาแตะบนหน้าผากของเขา
ราชบุตรเขยถอยหลบ ทว่ากลับหลบไม่พ้น มือของประมุขหญิงทาบลงบนหน้าผากของเขา นางยังคงใช้น้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าคือประมุขหญิงรัชทายาทแห่งอาณาจักรหนานจ้าว ท่านเป็นราชบุตรเขยพระสวามีของข้า”
“ประมุขหญิง…ราชบุตรเขย” ราชบุตรเขยอ้ำๆ อึ้งๆ
ประมุขหญิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พวกเราแต่งงานกันมาหลายปี เรื่องบางเรื่องท่านอาจจำไม่ได้แล้ว แต่ว่าไม่เป็นไร ข้าจะช่วยท่านเอง สถานการณ์ของท่านค่อนข้างซับซ้อน ประเดี๋ยวข้าจะเล่ารายละเอียดให้ท่านฟัง ตอนนี้ให้หมอหลวงตรวจอาการก่อนเถิด”
ราชบุตรเขยคล้ายกับจะไม่ได้ฟังสิ่งที่นางพูด เขาเพียงแต่พึมพำกับตนเอง ทันใดนั้นเอง เขาก็เงยหน้าขึ้นมา “จื่อจวิน?”
หมอหลวงซึ่งเดินถือล่วมยาเข้ามาชะงักไปครู่หนึ่ง
ดวงตาของประมุขหญิงสั่นไหวเล็กน้อย
“ท่านคือ…จื่อจวินหรือ?” ราชบุตรเขยเอ่ยถามประมุขหญิงอย่างฉงนใจ ในสมองของเขามีเงากลุ่มหนึ่ง ดูคล้ายกับแสงสะท้อนจากม่านหมอก ยากที่จะบอกว่าคือผู้ใด
ประมุขหญิงกวาดสายตามองหมอหลวง
หมอหลวงก้มหน้างุด
ประมุขหญิงละสายตาไป แล้วปัดเส้นผมบนหน้าผากของราชบุตรเขย “ใช่ ข้าคือจื่อจวิน ท่านตั้งชื่อให้ข้าในวันแต่งาน ดีใจเหลือเกินที่ท่านจำได้”
“อา” เมื่อได้ยินว่านางคือจื่อจวิน ราชบุตรเขยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก การต่อต้านอันตรธานไปจากนัยน์ตาของเขา แล้วนอนลงให้ประมุขหญิงลูบหน้าผากอย่างว่าง่าย สายตาที่เขาใช้มองจื่อจวินนั้นทั้งอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรัก
ประมุขหญิงยิ้มให้เขา จากนั้นก็หันไปสั่งหมอหลวงว่า “จับชีพจรให้ราชบุตรเขย”
“พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงก้าวไปด้านหน้า จับชีพจรให้ราชบุตรเขย “ทูลประมุขหญิง ร่างกายของราชบุตรเขยไม่เป็นอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ มีเพียงอาการชี่พร่องเล็กน้อย กระหม่อมจะรักษาให้ ประมุขหญิงและราชบุตรเขยโปรดวางใจ”
“ฝากท่านหมอหลวงด้วย” ประมุขหญิงบอก
หมอหลวงถือล่วมยาออกไป
ประมุขหญิงบอกกับสาวใช้ทั้งหมดว่า “พวกเจ้าก็ออกไปด้วย”
“เพคะ” ทุกคนต่างทยอยกันออกไป
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้า…” ราชบุตรเขยกดลงบนหน้าผากซึ่งยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ เขาพยายามนึกถึงเรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
ประมุขหญิงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเม็ดเหงื่อใสบนหน้าผากของเขา “ท่านอย่าได้รีบร้อนไป ข้าจะค่อยๆ เล่าให้ท่านฟัง ท่านเคยได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยข้า ไม่เพียงทำให้ใบหน้าของท่านเสียหาย แต่ยังเป็นสาเหตุของอาการป่วยของท่านด้วย บางครั้งท่านก็จะลืมเรื่องราวในอดีต นี่ไม่ใช่ครั้งแรก”
“มิน่าเล่าเจ้าถึงไม่ตกใจแม้แต่น้อย” ราชบุตรเขยมีสีหน้ากระดากใจ เขาแตะใบหน้าซีกขวาของตน ก็ไม่พบสิ่งใด จากนั้นจึงจับใบหน้าซีกซ้าย มีรอยแผลเป็นใหญ่เป็นแถบ “ข้าเป็นเช่นนี้ ลำบากเจ้าแล้ว…”
ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงหน้าตา หรือว่าหมายถึงเรื่องที่เขาจำอะไรไม่ได้กันแน่
“ฉงเอ๋อร์เล่า?” อยู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้น
ประมุขหญิงชะงักไป จากนั้นก็ยิ้มออกมา “อยู่ระหว่างทางกลับจวน เขาออกเดินทางท่องเที่ยว เขาบอกว่าจะกลับมาก่อนวันเกิดท่าน ก็คือในเดือนนี้”
ราชบุตรเขยแตะหน้าผากด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดข้าถึงรู้สึกคล้ายกับว่าเพิ่งพบเขากัน?”
“ท่านถวิลหาแต่เขา จึงมักจะฝันถึงเขาเสมอ” ประมุขหญิงพูดจบ ก็เบี่ยงประเด็นสนทนา “ใช่แล้ว พวกเรามีลูกสาวบุญธรรมคนหนึ่ง ชื่อซีเอ๋อร์ ท่านรักนางมาก แต่ว่าตอนนี้นางไม่อยู่จวน นางเข้าวังไปถวายพระพรเสด็จพ่อกับเสด็จแม่”
ราชบุตรเขยพยายามนึกภาพครอบครัวซึ่งมีสมาชิกสี่คน
“มีกระจกหรือไม่?” ราชบุตรเขยเอ่ยถาม
ประมุขหญิงตกใจ “ท่าน…”
ราชบุตรเขยบอกว่า “ข้าอยากเห็นสภาพของตัวเองตอนนี้”
ประมุขหญิงมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความเสน่หา “ในใจข้า ท่านดูดีที่สุด”
ราชบุตรเขยรู้สึกว่าตนไม่อาจต้านทานต่อสายตาเช่นนี้ได้ จึงหลุบตาลงพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าแค่อยากเห็น”
ประมุขหญิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นางลุกขึ้น เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบกระจกไม้ เดินกลับไปข้างเตียงแล้วส่งกระจกไม้ให้เขา “อันที่จริงท่านจะไม่ดูก็ได้”
ราชบุตรเขยตัดสินใจรับกระจกมา เขามองไปยังใบหน้าในกระจก บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็น กระนั้นก็ยังสามารถมองเห็นเค้าโครงเดิมขององคาพยพบนใบหน้า ใบหน้าด้านขวาของเขามิได้แตกต่างไปจากคนทั่วไป ทว่าใบหน้าด้านซ้ายนั้น…
“ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องดู” ประมุขหญิงแย่งกระจกกลับคืนมา “หากท่านไม่ชอบ จะสวมหน้ากากเหมือนเดิมก็ย่อมได้”
ราชบุตรเขยชะงักไป แล้วพยักหน้า “ก็ได้”
ประมุขหญิงส่งหน้ากากเงินให้เขา แล้วบอกกับเขาอย่างอ่อนโยนว่า “ห้องหนังสือของท่านมีของที่ท่านเก็บเอาไว้มาก ท่านอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่?”
ราชบุตรเขยจึงไปที่นั่น
ประมุขหญิงยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน มองตามเขาซึ่งกำลังเดินไปยังห้องหนังสือ จนเขาเดินเข้าไป ความอ่อนโยนบนใบหน้าของนางก็พลันมลายหายไป สายตาอันเย็นเยียบของนางจับจ้องไปยังหมอหลวง “เขาจำเรื่องต่างๆ ได้มากกว่าเดิม เร็วกว่าเดิมด้วย? ครั้งก่อนที่เขาจำฉงเอ๋อร์ได้ก็คือผ่านไปสามวันแล้ว ครั้งนี้ตื่นมาก็ยังนึกได้ ทั้งยังมีจื่อจวินเพิ่มมาอีก!”
หมอหลวงมีสีหน้าละอาย “กระหม่อมไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะ ราชบุตรเขยถูกสิ่งใดกระตุ้น?”
ประมุขหญิงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่หวังให้มีเรื่องใดเกิดขึ้นอีก”
“กระหม่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถ” หมอหลวงบอก
ประมุขหญิงมองเขา “ไม่ใช่พยายามอย่างสุดความสามารถ ต้องบอกว่าหากเจ้ารักษาความลับไว้ไม่ได้ ข้าก็รักษาชีวิตเจ้าไว้ไม่ได้เช่นกัน”
หมอหลวงขนลุกซู่…
ราชบุตรเขยเข้าไปยังห้องหนังสือ พลิกดูสาส์นซึ่งยังไม่ได้จัดเรียงให้เป็นระเบียบ เขารู้สึกคุ้นเคยกับลายมือบนสาส์นเหลือเกิน เขาหยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเขียนตัวหนังสือตัวใหญ่ลงไป ปรากฏว่าลายมือของเขาเหมือนกับลายมือบนสาส์น ดูแล้วสาส์นเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของเขาไม่ผิดแน่
สาส์นบางฉบับเป็นสาส์นใหม่ บ้างก็เป็นของเก่าไป นั่นทำให้รู้ว่าเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาก่อน
หนังสือบนชั้นหนังสือก็ยังมีลายมือของเขา ภาพเขียนบนกำแพงก็เป็นลายเส้นพู่กันของเขา อีกทั้งยังมีจดหมายและจดหมายส่วนตัวอีกด้วย
ในจดหมายส่วนตัวมีทั้งบันทึกสิ่งที่เขาประสบพบเจอ รวมไปถึงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ของเขา ส่วนมากมักเป็นราชกิจและการเมือง
เขาเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบกระดาษสำหรับฝึกคัดลายมือออกมา ในนั้นมีทั้งของฉงเอ๋อร์และซีเอ๋อร์
เรื่องลูกทั้งสองคน ไม่มีสิ่งใดให้เคลือบแคลงใจอีก
เขาค้นดูของต่างๆ ต่อไป และไปพบภาพวาดครอบครัว ในภาพมีประมุขหญิงผู้งดงาม มีลูกๆ ทั้งสองในวัยเยาว์ สายตาของเขาไปหยุดที่ใบหน้าของเด็กอายุเจ็ดแปดขวบคนนั้น ใบหน้าของเขาช่างเหมือนมารดา
ราชบุตรเขยตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา เหมือนจื่อจวินไม่มีผิด
หลังจากนั้นเขาก็พบภาพเขียนครอบครัวอีกหลายภาพ คล้ายกับว่าทุกๆ ปี เขาจะวาดภาพให้พวกเขา เด็กๆ ในภาพเติบโตขึ้นแล้ว ประมุขหญิงก็กลายเป็นภรรยาผู้แสนอ่อนโยน
เขาเก็บภาพเขียนกลับเข้าลิ้นชัก ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าแตะโดนอะไรเข้า ก็ได้ยินเสียง ‘แกร็ก’ ดังขึ้นเบาๆ ช่องลับในลิ้นชักก็ถูกเปิดออก
เขาซ่อนสิ่งใดไว้หรือ?
ราชบุตรเขยค้อมตัวลงหยิบม้วนกระดาษออกมา
ม้วนกระดาษหนักอึ้ง ทว่าใจของเขาราวกับเบาขึ้นมา บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกว่าด้านในต้องมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่
เขามองออกไปด้านนอก ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดจึงวิตกกังวลเช่นนี้
เขาหันหลัง ใช้ร่างของตนบังม้วนกระดาษเอาไว้ ค่อยๆ คลี่ม้วนกระดาษแผ่นนั้นออก
เป็นภาพเขียนของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
หลังจากคลี่ม้วนกระดาษจนสุด เขาจึงเห็นคนในภาพเขียนได้ชัดเจน
“เป็นฉงเอ๋อร์หรอกหรือ” ราชบุตรเขยรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เขาบอกไม่ถูกเช่นกันว่าตนกำลังคาดหวังถึงสิ่งใด
ในห้องอีกห้องหนึ่ง ประมุขหญิงมองภาพเขียนด้วยสายตาเย็นชา บนภาพเขียนมีบุรุษซึ่งหน้าตาเหมือนกับราชบุตรเขย เพียงแต่คนผู้นั้นอ่อนเยาว์กว่า และใบหน้าปราศจากรอยแผลเป็น
ประมุขหญิงหยิบภาพเขียนเหล่านั้นออกมาก แล้วโยนมันใส่เตาไฟด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
…………………………………….