อย่างไรก็ตาม หนานกงหลีเดินเตร็ดเตร่ไปรอบประตูวัง ตั้งแต่ได้ข่าวว่าประมุขหญิงจะเข้าวังเยี่ยมราชบุตรเขย เขารอจนกระทั่งอาทิตย์ตก ก็ยังไม่เห็นประมุขหญิง
หรือที่จวนเกิดเรื่องทำให้ล่าช้า?
หนานกงหลีเรียกองครักษ์นายหนึ่งและสั่งให้เขากลับไปที่จวนประมุขหญิง
องครักษ์กลับมาอย่างรวดเร็ว “ทูลองค์ชาย ประมุขหญิงได้ออกเดินทางไปเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หนึ่งชั่วยามก่อน? เจ้าแน่ใจหรือ?” หนานกงหลีขมวดคิ้ว
องครักษ์พยักหน้า “กระหม่อมยืนยันกับพ่อบ้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประมุขหญิงขึ้นรถม้าของคนรับใช้ออกจากจวน มีเพียงหัวหน้าองครักษ์โม่ซังที่อยู่ข้างกาย”
ประมุขหญิงถูกองค์ประมุขสั่งห้ามออกนอกบริเวณ ไม่สามารถออกไปได้อย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นยิ่งดูราบเรียบมากเพียงใดก็ยิ่งดี
แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว เหตุใดนานเพียงนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาคน?
หรือ…จะเกิดเรื่องใดขึ้นระหว่างทาง?
หนานกงหลีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าจงพาคนสองสามคนไปตามหา อย่ากระโตกกระตาก ให้สืบดูอย่างลับๆ”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์พาสหายสามคนเดินไปยังทิศทางของจวนประมุขหญิง
พวกเขาเป็นชาวเมืองจิงเฉิงพื้นเมือง ล้วนรู้เส้นทางที่ผ่านจากจวนประมุขหญิงไปยังวังหลวง
อย่างไรก็ตาม พวกเขาค้นหาตามสถานที่ที่ประมุขหญิงอาจเดินทางผ่านมาและก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ
แปลกยิ่งนัก หากไม่ได้อยู่ที่จวนหรือบนถนน จะไปที่ใดได้?
ความวิตกกังวลภายในใจของหนานกงหลีเพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ
ท่านแม่ให้ความสำคัญกับท่านพ่อมากที่สุด ท่านพ่ออาเจียนเป็นเลือดในคุก ท่านแม่ย่อมรีบมาให้เร็วที่สุด หนานกงหลีคิดไม่ออกว่าสิ่งใดทำให้ท่านแม่ของเขาล่าช้า
“องค์ชาย! องค์ชาย!”
องครักษ์รีบร้อนไปกระซิบข้างหูเขาสองสามคำ
หนานกงหลีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย สายตาฉายแววเย็นเยียบ “ข่าวถูกต้องหรือไม่?”
“เพื่อนร่วมหมู่บ้านของข้าน้อยทำงานเป็นผู้คุมที่ศาลาว่าการต้าหลี่ สิ่งที่เขาพูดจะไม่มีทางเป็นเท็จ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนบ้า…หรือ…ประมุขหญิงจริงๆ…” ในตอนท้ายของประโยค น้ำเสียงขององครักษ์ค่อยๆ แผ่วลง
เขาคิดในใจว่าตนเองพูดผิดไป จะเปรียบเทียบประมุขหญิงกับคนบ้าได้อย่างไร? ประมุขหญิงคือประมุขหญิง และคนบ้าก็คือคนบ้า คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เหตุใดถึงนำมาเปรียบเทียบกันได้?
โชคดีที่หนานกงหลีกำลังหาประมุขหญิงในขณะนี้ จึงไม่ได้จับความคลุมเครือในคำพูดของเขา
กล่าวตามตรง หนานกงหลีไม่คิดว่าผู้หญิงบ้าที่ถูกจับไปศาลาว่าการต้าหลี่จะเป็นท่านแม่ของเขา ต้าหลี่ซื่อชิง เป็นขุนนางที่ใกล้ชิดท่านแม่ของเขา เขาจะจำนางไม่ได้ได้อย่างไร?
แต่มีคนแอบอ้างว่าท่านแม่ของเขาถูกขังคุก ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องสอบสวนเรื่องนี้
เขาให้องครักษ์สองคนรอประมุขหญิงอยู่ที่หน้าประตูวัง “…หากแม่ข้ามา พวกเจ้าต้องหยุดนางไว้แม้จะเสี่ยงต่อความผิดก็ตาม”
“…พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ทั้งสองฝืนใจตอบ
หนานกงหลีนั่งรถม้าไปที่ศาลาว่าการต้าหลี่
ต้าหลี่ซื่อชิงทราบข่าวการมาขององค์ชายน้อยจากจวนประมุขหญิงก็รีบละทิ้งหน้าที่ ไปต้อนรับที่โถงใหญ่ด้วยความเคารพ
“กระหม่อมคารวะองค์ชาย” ต้าหลี่ซื่อชิงก้มหัวคำนับ
หนานกงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ต้องมากพิธี ข้าได้ยินมาว่าศาลาว่าการต้าหลี่ได้จับกุมนักโทษที่อ้างว่าเป็นประมุขหญิง”
ต้าหลี่ซื่อชิงกล่าว “อา มีคนเช่นนั้นจริง เมื่อเข้ามาก็บอกว่าตนเองเป็นประมุขหญิง และบอกว่าหากเรากล้าแตะต้องผมของนางสักเส้นจะกุดหัวให้หมด เป็นคนบ้าจริงๆ!”
หนานกงหลีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คนผู้นั้นอยู่ที่ใด? พาข้าไปดู”
ต้าหลี่ซื่อชิงยกมือคำนับ “มิกล้าให้พระเนตรพระองค์ทรงแปดเปื้อน กระหม่อมจะให้คนไปสอบถามมาว่าผู้ใดบงการนางมา ยามแรกลอบสังหารองค์ประมุข จากนั้นก็แอบอ้างตนเป็นประมุขหญิง”
“ลอบสังหารองค์ประมุข?” หนานกงหลีขมวดคิ้ว
ต้าหลี่ซื่อชิงกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นคดีที่ขันทีหวังแจ้ง นางไม่เพียงแต่ลอบสังหารองค์ประมุข ทว่ายังทำร้ายฮูหยินและคุณชายน้อยของสกุลเห้อเหลียน ฮูหยินและคุณชายน้อยถูกนางทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แน่นอนนางเองก็ไม่ได้ดีเท่าใดนัก”
ขันทีหวังรายงานว่านางล้มลงเองจนเป็นหัวหมู แต่กลับโกรธคนสกุลเห้อเหลียนที่เดินผ่านมา องค์ประมุขหมายจะเดินไปเกลี้ยกล่อมนาง แต่กลับถูกนางฟาดไม้กลับมา หากไม่ใช่ขันทีหวังพิทักษ์ปกป้อง นางคงทำร้ายองค์ประมุขจนเป็นอย่างไรไปเสียแล้ว
ต้าหลี่ซื่อชิงยืดเอวกล่าว “ผู้ที่บังอาจไม่เกรงกลัวฟ้าดินเช่นนี้ กระหม่อมไม่มีทางลดโทษปล่อยนางไปง่ายๆ เด็ดขาด!”
“อ๊า—”
เสียงกรีดร้องของสตรีดังมาจากห้องทรมาน
ลำคอของนางแหบแห้ง ไม่หลงเหลือน้ำเสียงดังก่อนที่เคยมี แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หนานกงหลีกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองกระตุกขึ้นมา
“พาข้าไปพบนาง!”
“องค์ชาย…”
หนานกงหลีกวาดสายตาดุจมีดคม ต้าหลี่ซื่อชิงขลาดกลัว พาเขาไปห้องทรมานแต่โดยดี
ห้องทรมานที่มืดสลัว หนานกงหลีเห็นประมุขหญิงที่น่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้
ประมุขหญิงถูกทุบตีจนเป็นหัวหมู แรกเห็นหนานกงหลีจนางไม่ได้ ทว่าหนานกงหลีจำเสื้อผ้าของนางได้ มันเป็นเนื้อผ้าที่เขาไปเลือกให้ท่านแม่ด้วยตนเอง ซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้ท่านแม่สวมใส่ในยามเดินทาง ดูแล้วไม่ต่างจากผ้าส่วนใหญ่ในท้องตลาด ทว่าฝีมือการตัดเย็บประณีตกว่า
เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนทั้งคราบเลือดและคราบสกปรก ยากจะจดจำรูปลักษณ์เดิม แต่อย่างไรวัตถุดิบผ้านั้นเขาก็ซื้อมาด้วยตนเอง จึงจำมันได้
หนานกงหลีเดินเข้าไปคุกเข่ามองนาง
ประมุขหญิงเห็นหนานกงหลีก็หลั่งน้ำตา ลำคอร้อนเค้นเสียงแหบแห้งออกมาอย่างยากลำบาก “หลีเอ๋อร์…”
สีหน้าแววตาและน้ำเสียงที่คุ้นเคยเช่นนี้!
เป็นท่านแม่ของเขา!
เป็นไปได้อย่างไร?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ท่านแม่กลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? ทั้งยังถูกคนกล่าวหาว่าเป็นนักโทษ?
“องค์ชาย?” เมื่อต้าหลี่ซื่อชิงเห็นสีหน้าผิดปกติของเขา จึงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อน
หนานกงหลีพยายามต่อต้านความต้องการที่เรียกร้องให้ปลิดชีพผู้คนทั้งหมดในที่แห่งนี้ กล่าวอย่างสงบสติอารมณ์ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่านางทำความผิดอันใด?”
ต้าหลี่ซื่อชิงกล่าว “ลอบสังหารองค์ประมุข ทำร้ายฮูหยินและคุณชายน้อยสกุลเห้อเหลียน” เขาหยุดชะงัก และกล่าวเสริมว่า “และแอบอ้างตนเป็นประมุขหญิง”
แอบอ้างที่ใดกัน? เห็นชัดๆ ว่านางคือประมุขหญิงตัวจริง!
แต่หนานกงหลีไม่สามารถบอกความจริงได้
ประการแรก องค์ประมุขมีรับสั่งห้ามมิให้ประมุขหญิงไปที่ใด นางไม่ควรออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบว่านางละเมิดฝ่าฝืนรับสั่งขององค์ประมุข ผลที่ตามมาอาจเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิด
ประการที่สอง จวนประมุขหญิงเพิ่งมีปัญหาขัดแย้งกับจวนเห้อเหลียน ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางตบตีกับฮูหยินและคุณชายน้อยแห่งจวนเห้อเหลียน ยากที่จะรับประกันได้ว่า ผู้คนจะไม่สงสัยว่านางอาจสังหารคนเพื่อระบายความโกรธแค้นในใจ
ประการที่สาม องค์ประมุขเพิ่งสั่งห้ามนางย่างกรายออกจากจวน นางก็ทุบตีองค์ประมุข นั่นหมายความว่านางไม่พอใจกับการคำสั่งขององค์ประมุข…และคิดกบฏหรือ?
สุดท้าย สภาพของนางเช่นนี้ก็น่าอายผู้คนจริงๆ หากออกไปเกรงว่านางจะกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วหล้า
หลังจากคิดไตร่ตรองชั่งน้ำหนักแล้ว หนานกงหลีก็ตัดสินใจที่เก็บงำตัวตนของประมุขหญิงไว้ก่อน
หนานกงหลีส่งสายตาปลอบโยนให้ประมุขหญิง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองไปที่ต้าหลี่ซื่อชิง “คนผู้นี้ข้าจะนำตัวไปสอบสวนด้วยตนเอง”
“เอ่อ…” ต้าหลี่ซื่อชิงลังเล
หนานกงหลีถามอย่างเย็นชา “เหตุใดหรือ? หากข้าต้องการใครสักคนจากศาลาว่าการต้าหลี่ของพวกเจ้า จะเป็นไปไม่ได้เลยหรือ?”
ต้าหลี่ซื่อชิงยิ้มด้วยท่าทีลำบากใจ “องค์ชายเข้าพระทัยผิดแล้ว กระหม่อมเพียงคิดว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้องค์ชายลงมือด้วยตนเอง สภาพเช่นนางผู้นี้ สั่งทรมานหนักไม่เกินสามรอบก็ยอมเอ่ยปากเล่าหมดเปลือกแล้ว”
ทรมานหนักสามรอบ ประมุขหญิงจะยังมีชีวิตอีกหรือ?!
หนานกงหลีแทบอยากบีบคอเขาให้ตาย!
ต้าหลี่ซื่อชิงสัมผัสถึงไอสังหารจากองค์ชาย เขาลูบจมูกด้วยความไม่พอใจ หรือข้าพูดอะไรผิดไป? หญิงบ้าผู้นี้ปากแข็งอยู่บ้าง จำต้องทรมานสอบเค้นความจริงสักหน่อย แต่ก็คงแข็งได้ไม่นาน สามรอบก็พอแล้ว เขามั่นใจ!
หนานกงหลีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนประมุขหญิงและท่านตาของข้า ข้าสอบปากคำด้วยตนเองถึงจะดี หากท่านตาถามถึง เจ้าก็ตอบไปตามความจริง คนถูกข้าพาไป ความจริงเป็นอย่างไร ข้าจะอธิบายกับท่านตาเอง”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ต้าหลี่ซื่อชิงจำต้องโยนเผือกร้อนหัวนี้ออกไป
หนานกงหลีหันกลับไปพยุงประมุขหญิง
เมื่อหันกลับมา ก็เห็นต้าหลี่ซื่อชิงกำลังมองเขาอย่างตกตะลึง เขากระแอมเบาๆ รีบถอนมือกลับ และกล่าวกับประมุขหญิงที่เต็มไปด้วยบาดแผล “ลุกขึ้น ตามข้าไปที่จวนประมุขหญิง ทางที่ดีเจ้าควรเล่าทุกอย่างตามความจริง ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่อาจพูดดีๆ กับเจ้า”
ประมุขหญิงเกาะกำแพงลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายสั่นเทา
ร่างทั้งร่างเจ็บปวดราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เดินโซซัดโซเซโดยไม่ตั้งใจ
ต้าหลี่ซื่อชิงเตะไปที่ก้นนางทีหนึ่ง!
จากนั้นต้าหลี่ซื่อชิงก็ตะโกนอย่างรุนแรง “มัวอ้อยอิ่งอันใด! ยังไม่รีบตามองค์ชายไปอีก?!”
ประมุขหญิงล้มหน้าคะมำ!
หนานกงหลีไม่อาจทน ยกมือปิดตา…
…
‘มือลอบสังหาร’ ถูกพาตัวไป กลุ่มของอวี๋เซ่าชิงและองค์ประมุขก็ออกจากตรอกอันยุ่งเหยิง
อวี๋เซ่าชิงอุ้มภรรยาขึ้นรถม้า
เกิดเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้อาซูของเขาต้องหวาดกลัวอย่างมากเป็นแน่
ไข่ดำทั้งสามถูกกอดไว้ในอ้อมแขนขององค์ประมุข ขันทีหวังและสารถีตามลำดับ
องค์ประมุขคิดว่าต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าเป็นสองพี่น้องกัน คิดไม่ถึงว่าจะมีพี่น้องอีกคนหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือราษฎร ก็ไม่ง่ายที่จะให้กำเนิดบุตรสามคนมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังเลี้ยงดูได้ขาว…เอ่อ ดำและอวบอ้วน อาจกล่าวได้ว่าเทพเจ้าอวยพร
องค์ประมุขมองเด็กน้อยในอ้อมแขน
เขาอุ้มเอ้อร์เป่าไว้ แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่รู้
ยามแรกเอ้อร์เป่าแสร้งสลบ แต่แสร้งไปแสร้งมาก็หลับไปจริงๆ
ใบหน้าเล็กกลม ก้อนไขมันน้อยๆ ทั้งสองเด้งสั่นไปมา เรียวคิ้วดำดกหนาดูอาจหาญ ขนตาสองข้างยาวราวกับปีกผีเสื้อ ปีกจมูกทั้งสองข้างทอดเงาลงมา…เอ่อ ดำเกินไปจนมองไม่เห็นเงา
จมูกเล็กๆ ปากน้อยๆ งดงามยิ่งนัก
ประมุขจำไม่ได้แล้วว่าเขาอุ้มเด็กเล็กเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อใด หนานกงหลีกลับมาที่หนานจ้าวก็มีอายุสี่ขวบแล้ว เลยวัยโง่เขลาและน่ารักที่สุดไปแล้ว ประมุขหญิงกับองค์หญิงน้อยเขาเห็นมาตั้งแต่ยังเล็ก ทว่ายามทั้งสองยังเด็ก พวกนางผ่ายผอม เมื่ออุ้มร่างกายไร้น้ำหนัก เกรงว่าจะทำร่างกายพวกนางหักเข้าสักครา
เด็กคนนี้เติบโตมาได้อย่างดีจริงๆ
ไม่รู้ว่ามารดาของพวกเขายามเล็กจะเป็นเด็กอ้วนเช่นเดียวกันหรือไม่?
เสี่ยวเป่าปล่อยเสียงกรนออกมาสม่ำเสมอ
ต้าเป่าในอ้อมแขนขันทีหวังและเสี่ยวเป่าในอ้อมแขนสารถีก็เริ่มกรนออกมาเช่นกัน
โอ้สวรรค์ เหตุใดถึงมีไข่ดำน้อยที่น่ารักเช่นนี้อยู่ในใต้หล้าได้?
อยากขโมยไปเสียจริง!
อวี๋เซ่าชิงพาภรรยามานั่งเรียบร้อยแล้วก็ลงจากรถม้าเพื่ออุ้มไข่ดำน้อย
ขันทีหวังหันหลังไม่ยอมให้!
อวี๋เซ่าชิง “…”
ในขณะนั้นเอง รถม้าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงและเยี่ยนจิ่วเฉาก็ผ่านมาทางนี้
เมื่อเห็นพวกของอวี๋เซ่าชิงและองค์ประมุข อวี๋กังจึงหยุดรถม้า อิ่งสือซันที่ตามหลังมาก็จำต้องหยุดลงเช่นกัน
“มีอันใดหรือ?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงถาม
“องค์ประมุขกับนายท่านรองขอรับ” อวี๋กังกล่าวด้วยความประหลาดใจ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเปิดม่าน มองไปยังทิศทางที่อวี๋กังเผยให้เห็น พวกเขาคือองค์ประมุขกับอวี๋เซ่าชิงจริงๆ เด็กทั้งสามก็อยู่ พวกเขาถูกกลุ่มคนขององค์ประมุขอุ้มไว้ และดูเหมือนพวกเขาจะหลับไปแล้ว
“ลงรถ” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
“ขอรับ!” อวี๋กังเดินอ้อมรถม้าไปเปิดประตูด้านหลัง และดึงกระดานไม้ให้รถเข็นเคลื่อนลงมา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงผลักรถเข็นไปข้างหน้าและโค้งคำนับองค์ประมุข “ฝ่าบาท” เขาหันไปมองอวี๋เซ่าชิง “น้องรอง”
อวี๋เซ่าชิงรีบแย่งไข่ดำมา
ขันทีหวังโกรธเกรี้ยว เป่าเคราถลึงตามอง!
อวี๋เซ่าชิงรีบอุ้มเสี่ยวเป่าเข้าไปในรถม้า
“ส่งให้ข้าเถิด” เห้อเหลียนเป่ยหมิงยื่นมือไปทางสารถี
สารถีมอบต้าเป่าในอ้อมแขนให้กับเขา
ตอนนี้เหลือเพียงไข่ดำในอ้อมแขนขององค์ประมุข
“ฝ่าบาท” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยเบาๆ
องค์ประมุขเบินหน้าหนี สองแขนยังอุ้มเอ้อร์เป่าไว้ อย่าเรียกข้า ข้าไม่อยากให้
เยี่ยนจิ่วเฉาลงจากรถม้า
แน่นอน องค์ประมุขรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาเป็นบุตรของเยี่ยนจิ่วเฉากับบุตรีของเห้อเหลียนคนรอง ก่อนหน้านี้ที่ตำหนักจินหลวน องค์ประมุขรู้สึกว่าคิ้วของเยี่ยนจิ่วเฉาดูคุ้นตาเล็กน้อย ยามนั้นเขาโกรธจนไม่มีจิตใจไปครุ่นคิด เมื่อมองเยี่ยนจิ่วเฉาแล้วมองเด็กชายตัวเล็กในอ้อมแขน ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าความรู้สึกคุ้นตานั้นมาได้อย่างไร
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปด้วยท่าทีสบายๆ
เขายืนอยู่ตรงหน้าองค์ประมุขและมองเอ้อร์เป่าในอ้อมแขนขององค์ประมุข “ชอบหรือไม่?”
องค์ประมุขมองเด็กชายตัวน้อยในอ้อมแขนและพยักหน้าอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง “ชอบ”
“ชอบไปก็ไร้ประโยชน์”
เยี่ยนจิ่วเฉานำตัวเด็กน้อยกลับมา “ของข้า”
องค์ประมุขที่ถูกแทงหัวใจโดยไม่ทันตั้งตัว “…”
…………………………………………