โอ้สวรรค์!
ราชบุตรเขยมีบุตรชายที่โตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่!
เขาคือเยี่ยนอ๋อง?
ใช่รึไม่?! ใช่รึไม่?! ใช่รึไม่?!
จิตใจขันทีหวังครุ่นคิดอยู่หลายตลบ ทว่าใบหน้านิ่งสงบราบเรียบ
เดิมทีต้องการให้เยี่ยนจิ่วเฉาได้เผชิญหน้ากับราชบุตรเขย แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เอ่ยแม้เพียงประโยคเดียว ภายในใจของทุกคนกลับรับรู้บางสิ่งบางอย่าง
หากบอกว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล มิใช่ไร้คนหน้าตาคล้ายคลึง ทว่ามันเกิดขึ้นหลังจากมีข่าวซื่อจื่อแห่งจวนเยี่ยนอ๋องและเยี่ยนอ๋องปรากฏตัวขึ้นที่เมืองหลวง ดังเช่นคำกล่าวลมไม่พัดใบไม้ไม่ไหว หากไม่ใช่พ่อลูก แล้วเหตุใดคนถึงบอกว่าสองพ่อลูกต่างก็มาที่นี่?
“เขาใช่พ่อของเจ้าหรือไม่?” ประมุขตรัสถามเยี่ยนจิ่วเฉา
“พ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
ประมุขครุ่นคิด พระขนงมุ่นเข้าหากัน “เจ้ามาที่ต้าโจว…เพื่อตามหาพ่อของเจ้าหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉานิ่งเงียบ
ความเงียบงันตกอยู่ในสายพระเนตรขององค์ประมุขคือการยอมรับโดยปริยาย
คิดแล้วก็น่าสงสาร บิดาแกล้งตาย สิบห้าปีผ่านไปกลายเป็นบิดาของคนอื่น ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็คงไม่อาจกล้ำกลืน ต้องมาถามให้รู้ถึงที่ว่าแท้จริงเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
หากเขามาที่นี่เพื่อตามหาบิดาจริง แม้ขัดแย้งต่อหลักกฎหมาย หากแต่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม
ส่วนเหตุใดที่เขาถึงกลายมาเป็นคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียนนั้น องค์ประมุขตัดสินใจจะถามเห้อเหลียนเป่ยหมิงอีกครั้งในภายหลัง ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการค้นหาตัวตนของราชบุตรเขย
ทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน ประมุขมิได้เคลือบแคลงใจ แต่เป็นเยี่ยนอ๋องและบุตรชายจริงหรือไม่ยังต้องตรวจสอบ
“พาราชครูมาพบข้า” ประมุขตรัสน้ำเสียงเย็นชา
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีหวังไปเชิญราชครูมา
แน่นอนว่าราชครูเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาแล้ว ก้าวแรกเขาได้รายงานเยี่ยนจิ่วเฉา ก้าวหลังก็มีผู้มารายงานราชบุตรเขย
ที่องค์ประมุขเรียกตัวเขาเข้าเฝ้าเพราะต้องการให้เขายืนยันตัวเยี่ยนจิ่วเฉา
หากเขายืนยัน ก็เท่ากับยืนยันว่าราชบุตรเขยเป็นเยี่ยนอ๋อง แต่หากเขาไม่ยืนยันก็จะไม่สามารถขับไล่เยี่ยนจิ่วเฉา ออกไปจากหนานจ้าวได้
กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ!
ไม่ว่าจะทางเลือกใด ฝั่งที่โชคร้ายก็คือจวนประมุขหญิง!
การกระทำที่ทำให้คนกลับตัวไม่ทันเช่นนี้ เหตุใดเหมือนกับฝีไม้ลายมือของราชบุตรเขยขนาดนั้น?
“ฝ่าบาท ท่านราชครูมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหวังกราบทูลจากด้านนอกประตู
ประมุขโบกพระหัตถ์ไปทางองครักษ์
องครักษ์เข้าใจความหมาย พาราชบุตรเขยที่หมดสติกลับไปที่ห้องโถงด้านข้าง
จากนั้นประมุขจึงตรัสอย่างน่าเกรงขาม “เข้ามา”
ขันทีหวังกล่าวสุดเสียง “ราชครูเข้าเฝ้า—”
ราชครูเข้ามาในตำหนักจินหลวนด้วยสายตามองตรงไม่วอกแวก และถวายบังคมต่อองค์ประมุขอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท” และหันไปถวายบังคมต่อประมุขหญิง “องค์หญิง”
องค์ประมุขมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่ยืนอยู่ด้านข้างและกล่าวกับราชครู “ท่านนี้คือคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียน เจ้าบอกข้าว่าเขาคือซื่อจื่อจวนเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว ข้าให้เจ้ามาเพื่อให้ยืนยันอีกครั้งว่า เขาเป็นซื่อจื่อแห่งต้าโจวหรือไม่?”
ราชครูใคร่ตอบว่าไม่
องค์ประมุขตรัสต่อ “เจ้าพินิจจนแน่ใจแล้วค่อยตอบข้า ยังมีขุนนางอีกสามท่านที่เดินทางไปต้าโจวกับเจ้า อีกเดี๋ยวข้าจะเรียกพวกเขามายืนยันตัวตนคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียนเช่นกัน”
หัวใจของราชครูจมลงสู่ก้นบึ้ง
ความจริงแล้ว ขุนนางทั้งสามเป็นท่าไม้ตายของเขา เขาเคยคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ยอมรับตัวตนของตนเอง ตอนนั้นเขาจึงเรียกทุกคนที่เคยเห็นเยี่ยนจิ่วเฉามาเพื่อให้ช่วยระบุตัวตนด้วยอีกแรง
ยามนี้ท่าไม้ตายในมือกลับกลายเป็นมีดแหลมที่ตัดเส้นทางล่าถอยของเขาเสียเอง
เขาถูกบังคับให้บอกความจริง
แต่ความจริงจะทำให้จวนประมุขหญิงไม่อาจฟื้นคืนได้อีกตลอดไป
“…พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูกล่าว “เขาคือซื่อจื่อแห่งต้าโจว เยี่ยนจิ่วเฉา”
เล็บของประมุขหญิงจิกลงในเนื้อ
“เจ้าแน่ใจหรือ?” องค์ประมุขถาม
ราชครูสูดหายใจและกล่าวอย่างหมดหนทาง “กระหม่อมแน่ใจ กระหม่อมเคยเห็นเยี่ยนซื่อจื่อที่เมืองจิงเฉิงอยู่หลายครา ยามนี้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน กระหม่อมไม่มีทางจำผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าก็คิดว่าเจ้าไม่มีทางจำผิด อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นคนที่รายงานข้าเรื่องเยี่ยนซื่อจื่อ” องค์ประมุขตบแขนที่แข็งทื่อของราชครู และหันไปหาขันทีหวัง “ไปเรียกเหล่าขุนนางใหญ่มา ให้พวกเขายืนยันตัวเยี่ยนซื่อจื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีหวังมองประมุขหญิงด้วยความเห็นใจ
แม่นาง เจ้าจบเห่แล้ว!
ขุนนางใหญ่ทั้งสามมาทำงานที่เน่ย์เก๋อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักจินหลวน เพียงไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึง
องค์ประมุขไม่กล่าวยืดเยื้อ ถามเพียงว่าพวกเขารู้จักชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าหรือไม่
“พวกเจ้ารู้จักเขาหรือไม่?” องค์ประมุขชี้ไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
ใบหน้าของคนทั้งสามฉายแววประหลาดใจ และเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง “เยี่ยนซื่อจื่อ?”
“ฮึ” เยี่ยนจิ่วเฉาเมินหน้าอย่างหยิ่งผยอง
มุมปากคนทั้งสามกระตุก
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าตนเองมิได้จำผิด?” องค์ประมุขถาม
ใบหน้าท่าทางนี้ นิสัยขี้หงุดหงิดนี้ หากไม่ใช่ซื่อจื่อตัวจ้อยที่โอ้อวดบุตรชายจนพวกเขาอยากตายจะเป็นผู้ใด?
หากเป็นเช่นนี้ ข่าวลือที่ได้ยินเมื่อเช้าก็เป็นความจริงหรือ? ซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยนปลอมตัวเป็นคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียนแอบเข้าเมืองหลวงมาแล้วจริงๆ?
นี่เป็นข่าวอันน่าอกสั่นขวัญหายยิ่งนัก!
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ประมุขให้ราชครูและขุนนางทั้งสามถอยออกไป
ตัวตนของเยี่ยนจิ่วเฉาถูกยืนยันแน่ชัดแล้ว ตัวตนของราชบุตรเขยก็คงหนีไม่พ้น
ความโศกเศร้าเสียใจของประมุขหญิงเปรียบดั่งแม่น้ำฮวงโห หากรู้ว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ นางก็คงไม่รายงานเยี่ยนจิ่วเฉา เช่นนั้นความลับของราชบุตรเขยก็จะยังถูกรักษาไว้
ยามนี้นางต้องทำอย่างไร?
หากเป็นคนที่นางไม่ได้ใยดี นางคงผลักความผิดให้อีกฝ่ายและร้องทุกข์กับองค์ประมุขว่านางถูกหลอกมาตลอด
ขอเพียงนางยืนยันว่าตนเองเป็นเหยื่อ เช่นนั้นเพื่อเห็นแก่เสด็จแม่ องค์ประมุขต้องออมมือให้นางเป็นแน่
แต่นางไม่อาจกลั้นใจผลักราชบุตรเขยไปสู่ความตายได้…
องค์ประมุขมีความตั้งใจจะให้เยี่ยนจิ่วเฉาหลบออกไปอยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัวของสกุลหนานกงเท่านั้น ยังรวมถึงเรื่องครอบครัวของเยี่ยนจิ่วเฉาด้วย เขามีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริงทั้งหมด
กลิ่นอายขององค์ประมุขเยียบเย็นลงฉับพลัน เขามองบุตรสาวที่ครั้งหนึ่งเคยภูมิใจพร้อมกับตรัสว่า “เจ้ายังมีสิ่งใดจะกล่าวอีก?”
หากจะเถียงข้างๆ คูๆ อีกคงเป็นไปไม่ได้ หากคิดจะล้างความผิดยิ่งไร้ประโยชน์
จวนเห้อเหลียนซ่อนเชื้อพระวงศ์แห่งเมืองเยี่ยนไว้ก็เพียงไม่กี่วัน แต่จวนประมุขหญิงซ่อนมาสิบห้าปีเต็ม ทั้งยังให้กำเนิดบุตรของอีกฝ่าย นับว่ามีความผิดเป็นสองเท่า!
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหากคำนวณอายุของหนานกงหลีแล้ว ตอนที่ประมุขหญิงกับราชบุตรเขยร่วมกันให้กำเนิดบุตร ราชบุตรเขยยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว เขามีภรรยาและบุตร!
เป็นถึงตี้จีแห่งอาณาจักรหนานจ้าว ต่ำต้อยถึงขนาดแย่งสามีของคนอื่น!
ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายของราชวงศ์หนานจ้าวยิ่งนัก!
ประมุขหญิงรู้สึกถึงความกริ้วขององค์ประมุข นางพยายามปกป้องตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
นางใคร่จะกล่าวว่า นางกับราชบุตรเขยตกลงปลงใจ สมัครรักใคร่ที่จะอยู่ร่วมกัน แต่นางรู้ว่าเสด็จพ่อไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ จึงทำให้เขาต้องปลอมแปลงตัวตน
ทว่าคำพูดเหล่านี้ ไม่อาจลบล้างความผิดโทษฐานลบหลู่เบื้องสูงของราชบุตรเขยกับนาง และอาจนำความตายมาสู่ราชบุตรเขยได้
แต่นอกเหนือจากคำพูดเหล่านี้ นางก็คิดไม่ออกว่าควรกล่าวอย่างไร
ขณะที่นางหมดสิ้นความหวัง ก็เหลือบไปเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ด้านข้าง ในใจพลันเกิดประกายความคิด!
นางบีบน้ำตามององค์ประมุขและตรัสว่า “เสด็จพ่อ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของลูก ไม่เกี่ยวกับราชบุตรเขย ท่านจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงอย่าทรงกริ้วราชบุตรเขยนะเพคะ! ราชบุตรเขยเป็นบิดาของหลานทั้งสองของท่าน และเป็นอ๋องแห่งต้าโจว…”
องค์ประมุขขัดคำพูดของนางอย่างไม่คิด “เป็นอ๋องแห่งต้าโจว แล้วข้าจะไม่กล้าฆ่ารึ!”
ประมุขหญิงสำลักทันที
เยี่ยนอ๋องเป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้ต้าโจวรักมากที่สุด การฆ่าเขาไม่เท่ากับประกาศสงครามกับต้าโจวหรอกหรือ? หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ควรส่งคนกลับไปที่ต้าโจว ฮ่องเต้แห่งต้าโจวจะลงโทษเขาเอง อย่างไรก็ไม่ควรสังหารคนให้ตายในหนานจ้าว…
เสด็จพ่อกริ้วแล้วจริงๆ…
แม้แต่อาณาจักรและราษฎร เขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว…
เทพสงครามแห่งหนานจ้าวตกลับขอบฟ้าไปแล้ว ทว่าเซียวเจิ้นถิงแห่งต้าโจวยังคงอยู่!
เสด็จพ่อไม่ได้คำนึงถึงผลของสงครามระหว่างทั้งสองประเทศหรือ?
ก็ได้ หากท่านจะฆ่า ก็ต้องฆ่าไอ้เศษสวะนี่ไปด้วย!
ประมุขหญิงชี้นิ้วไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา “เสด็จพ่อ เขาก็แทรกซึมเข้ามาที่หนานจ้าวเช่นกัน เสด็จพ่อจะลงโทษแต่ราชบุตรเขย โดยไม่ลงโทษเขาหรือเพคะ?”
“หากเจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาบิดา…” องค์ประมุขมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
“ไม่ใช่” เยี่ยวจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ
องค์ประมุขขมวดคิ้ว
เด็กคนนี้โง่หรือไม่?
ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่ข้าให้ทางลงกับเจ้า?
เขายอมรับว่ามาตามหาบิดา เขาได้ละเว้นโทษตายก็ถูกแล้ว
แต่อย่างไรเสีย คุณชายแห่งเมืองเยี่ยนไม่เคยต้องการการให้อภัยจากผู้ใด
เขาคือกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายบ้านเมืองก็คือเขา!
“กระหม่อมมาที่หนานจ้าวด้วยเหตุผลอื่น
พ่อตาของกระหม่อมชื่อเห้อเหลียนเป่ยอวี้ ในปีนั้นเขาบังเอิญตกจากหน้าผาและได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีคุณธรรมท่านหนึ่ง และเองค์ประมุขไม่เคยถูกคนตอกกลับเช่นนี้มาก่อน เขาตกตะลึงเป็นเวลานานทีเดียวกว่าจะได้สติกลับคืน
เป็นถึงประมุขของอาณาจักร กลับถูกเด็กคนหนึ่งตอกกลับจนเสียอาการ กล่าวได้ว่าช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม คำพูดเพียงด้านเดียวของเด็กคนนี้ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ต้องได้รับการตรวจสอบ
นี่ไม่ใช่เรื่องยาก นายท่านรองของสกุลเห้อเหลียนที่เพิ่งกลับมาอยู่ในเมืองหลวง ส่งคนไปตามเขามาสอบสวนก็สิ้นเรื่อง
หลังจากเห้อเหลียนเป่ยหมิงและเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋เซ่าชิงก็ถูกนำตัวเข้าไปในวังเช่นกัน
อวี๋เซ่าชิงเข้าวังหนานจ้าวเป็นครั้งแรก ยังรู้สึกแปลกใหม่แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันชื่นชมทิวทัศน์ของพระราชวัง ก็ถูกขันทีหวังผู้มีสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง(ทว่าภายในหวั่นไหวสุดขีด)นำตัวไปยังตำหนักจินหลวน
เมื่อองค์ประมุขมองเห็นใบหน้าของอวี๋เซ่าชิง ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นบุตรชายของหนิวตั้น
องค์ประมุขเติบโตมาพร้อมกับหนิวตั้น ยามที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาสนิทสนมกันมากที่สุด กระทั่งกางเกงก็เคยสวมตัวเดียวกันได้ นับได้ว่าเป็นเพื่อนในยามตกทุกข์ได้ยาก
ยามนั้นบุตรชายคนเล็กของหนิวตั้นตกจากหน้าผา เขาเองก็รู้สึกเศร้ามากเช่นกัน
แม้จะบอกว่ามีชีพต้องเห็นกาย หากตายต้องเห็นศพ แต่ในใจของเขาก็ไม่รู้สึกว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงออกตามหาน้องชายมานานหลายปี ดูแล้วเขาทำไปเพราะคำนึงถึงความรู้สึกฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น
เป็นเรื่องดีที่บุตรชายของหนิวตั้นไม่ได้ตาย แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด ในใจองค์ประมุขจึงไม่รู้สึกโปรดปรานบุตรชายคนเล็กของหนิวตั้นนัก
เห็นได้ชัดว่าบุตรชายคนเล็กผู้นี้เหมือนหนิวตั้นมากกว่า แต่เหตุใด…ตนถึงอยากจัดการเขามากขนาดนี้?
เขาไม่มีความเกลียดชังใดต่อหนิวตั้นนี่!
ตอนแรกเขาก็อยากจัดการกับราชบุตรเขย แต่นั่นเป็นเพราะราชบุตรเขยฉกอัญมณีล้ำค่าในมือของเขาไป แต่อวี๋เซ่าชิงมิได้ทำเช่นนั้น ความรู้สึกไม่พอใจยามที่มองอีกฝ่ายคืออะไรกัน?
ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับอวี๋เซ่าชิงเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ายามที่พบฮ่องเต้แห่งต้าโจวเขาไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อพบกับองค์ประมุขแห่งหนานจ้าวกลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
เขายังพินิจอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าเสื้อผ้าของเขาเหมาะสมมากเพียงใด
แปลกยิ่งนัก บุรุษผู้นี้ไม่ใช่พ่อตาของเขา เหตุใดต้องกังวลขนาดนี้?
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในตำหนักจินหลวนก็แปลกประหลาดขึ้นทุกที องค์ประมุขและอวี๋เซ่าชิงแลกเปลี่ยนสายตาเชือดเฉือน โดนไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
หากมิใช่เพราะแน่ใจว่าฝ่าบาทมีพระทัยรักมั่นต่อฮองเฮา ขันทีหวังก็เกือบคิดว่าฝ่าบาทมีใจหมายมั่นให้สตรี(บุรุษ)วัยกลางคนผู้งดงามท่านนี้เป็นสนมเสียแล้ว!
“อะแฮ่ม” องค์ประมุขตระหนักถึงความผิดปกติของตนเอง จึงรีบถอนสายตาและถามด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย “เจ้าก็คือเห้อเหลียนเป่ยอวี้รึ?”
อวี๋เซ่าชิงอยากจะยืดเอวแล้วกล่าวว่า ‘ข้าคืออวี๋เซ่าชิง’ แต่เมื่อคำพูดนั้นมาถึงริมฝีปาก ก็กลับรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ” เขากล่าว
“เขาเป็นอะไรกับเจ้า?” องค์ประมุขเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ข้างๆ
ไอ้ลูกเขยตัวเหม็น
อวี๋เซ่าชิงกล่าว “ลูกเขยของกระหม่อม เยี่ยนจิ่วเฉา”
องค์ประมุขตรัสอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเติบโตมาในต้าโจว?”
อวี๋เซ่าชิงตอบ “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเด็กที่บิดาบุญธรรมรับมาจากข้างถนน กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดพาไปที่ต้าโจว แต่อย่างไรก็ตาม กระหม่อมถูกบิดาบุญธรรมพากลับบ้านและเลี้ยงดูมาในหมู่บ้านเล็กๆ”
องค์ประมุขกวาดตามองเขาอย่างครุ่นคิด “อวี๋โหวที่มีคุณูปการในโยวโจวก็ชื่ออวี๋เซ่าชิง”
“เป็นกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋เซ่าชิงกล่าว
ในที่สุดองค์ประมุขก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่งในใจ เทพสงครามแห่งหนานจ้าววิ่งไปสร้างบุญคุณให้ชาวต้าโจว นี่มันเรื่องห่าเหวอันใดกัน?
เคราะห์ดีที่ทั้งสองประเทศไม่เคยทะเลาะกัน มิฉะนั้นหากพี่น้องฟาดฟันกันเอง ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ที่อยู่รอดจนถึงสุดท้าย
องค์ประมุขโบกมือ “เอาละ เจ้ากลับไปได้แล้ว”
อวี๋เซ่าชิงเป็นท่านโหวแห่งต้าโจว บุตรสาวของเขาแต่งงานกับซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยน องค์ประมุขเชื่อว่าเห้อเหลียนเป่ยอวี้ไม่ได้โง่ถึงกับยกเรื่องที่เพียงสอบถามขุนนางต้าโจวก็รู้จริงเท็จมาหลอกลวงตนเอง
“เช่นนั้นลูกเขยกระหม่อม…”
“ข้าจะไม่ลงโทษเขา”
“พี่ใหญ่ของกระหม่อม…”
“ไร้ความผิด”
“บ้านภรรยากระหม่อม…”
“อย่ากำเริบให้มากนัก!”
อวี๋เซ่าชิงหุบปากลงด้วยความแค้นใจ
ก็ได้
กลับก็กลับ
องค์ประมุขกดคิ้วที่เหนื่อยล้า พลันถอนหายใจให้เยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าก็ลงไปเถิด ความผิดของเจ้าถูกยกเว้น แต่ความผิดของบิดาเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ข้าต้องการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เพื่อหาคำอธิบายแก่เจ้าและราษฎรใต้หล้า ส่วนวิธีลงโทษเขา ข้าจะตัดสินใจเอง แต่ไม่ว่าข้าจะตัดสินใจอย่างไร หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ เจ้าก็คือเจ้า บิดาของเจ้าก็คือบิดาของเจ้า”
อย่าได้เกลียดหนานจ้าว เพียงเพราะข้าฆ่าพ่อเจ้า อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นเขยของสกุลเห้อเหลียน
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตอบว่าได้หรือไม่ เขาเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา
ด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขา องค์ประมุขไม่ทราบว่าเพราะเขาเข้าใจเรื่องความชอบธรรมดี หรือเพราะเขาไม่ได้สนใจใยดีราชบุตรเขยกันแน่
เมื่อนึกถึงสิ่งที่บรรดาทูตที่เดินทางกลับมากล่าวถึงเยี่ยนจิ่วเฉา ก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้พูดเกินจริง เจ้าคนสติฟั่นเฟือนผู้นี้ เป็นเจ้าบ้าที่ทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ
หลังจากใช้เวลากับเจ้าบ้าเพียงไม่นาน องค์ประมุขก็รู้สึกว่าจิตใจของตนเองดูผิดปกติไปเล็กน้อย…
เขานั่งลงรวบรวมความคิด มองไปที่ประมุขหญิงที่ตกตะลึงกับฉากนี้จนพูดไม่ออก “กลับไปที่จวนของเจ้า! หากไม่มีคำสั่งจากข้า เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากจวนเพียงก้าวเดียว!”
ประมุขหญิงหน้าซีดขาว “เสด็จพ่อ…”
องค์ประมุขตรัสอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าไม่ต้องไปว่าราชการชั่วคราว ข้าจะหาคนมารับหน้าที่แทนเจ้า ช่วงนี้เจ้าจงไปสำนึกความผิดอยู่ในจวนเสีย! เป็นถึงตี้จีแห่งหนานจ้าว สิ่งที่เจ้าทำคู่ควรกับการเป็นประมุขหญิงหรือไม่!”
นางทำให้เสด็จพ่อผิดหวัง
แม้จะเอาแต่ใจมานาน นางก็ไม่เคยทำให้เสด็จพ่อต้องผิดหวัง
ครานั้นนางยังเด็กไม่รู้ประสา แต่ตอนนี้นางเป็นถึงขุนนาง เป็นผู้ปกครอง เป็นภรรยา และเป็นแม่คน นางไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาแต่ใจอีกต่อไป
นางย่อกายก้มหัว “ลูก…ขอทูลลา”
…
ด้านนอกวัง อิ่งสือซันกับอิ่งลิ่วรออยู่นานแล้ว อวี๋เซ่าชิงที่มาทีหลังก็ขึ้นรถม้ากลับจวนไปแล้ว เหตุใดคุณชายของพวกเขาถึงอยู่ที่นั่นนานขนาดนี้?
ขณะที่ทั้งสองเกือบจะทนไม่ไหว หมายจะเข้าวังไปสอบสวนเหตุการณ์ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ดันรถเข็นที่มีเห้อเหลียนเป่ยหมิงนั่งออกมาได้โดยปลอดภัย
“คุณชาย ท่านแม่ทัพใหญ่” ทั้งสองเดินเข้ามาคำนับข้างหน้า
อิ่งสือซันรับรถเข็นต่อจากเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋กังรีบมุ่งหน้าเข้ามา “ให้ข้าทำเอง”
อิ่งสือซันส่งรถเข็นให้เขา
“ท่านแม่ทัพใหญ่ คุณชายใหญ่ พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” อวี๋กังถามอย่างเป็นห่วง
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “ไม่เป็นไร ขึ้นรถม้าเถิด”
“อื้ม!” อวี๋กังเข็นเห้อเหลียนเป่ยหมิงขึ้นไปบนรถม้า
เยี่ยนจิ่วเฉาก็ขึ้นรถม้าของตนเองเช่นกัน
รถม้าสองคันขับตามกันไปยังจวนเห้อเหลียน
อิ่งสือซันนั่งบังคับรถม้าอยู่ด้านนอก
ไข่ดำลิ่วที่สาบานว่าจะเปลี่ยนกลับไปเป็นน้ำเต้าหู้ลิ่ว บากหน้าเข้าไปนั่งอยู่ในรถม้า
อิ่งลิ่วมองคุณชาย เมื่อเห็นว่าเขาอารมณ์ดี จึงคิดจะพูดคุยกับเขา “จริงสิ คุณชาย พวกเรายังไม่ได้ทำอะไร ท่านแม่ทัพใหญ่ก็ออกมาได้อย่างปลอดภัย เป็นเพราะท่านคาดเดาบางอย่างไว้แต่แรกแล้วใช่หรือไม่?”
“เหตุผลที่ข้าอยู่ที่จวนเห้อเหลียนสมเหตุสมผล หากเห้อเหลียนเป่ยหมิงจะแก้ตัวก็ย่อมได้ ทว่าเขากลับไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ยอมให้ถูกส่งตัวเข้าห้องขัง…ต้องมีคนที่ทำให้เขาไม่ต้องการพูดเรื่องนี้เป็นแน่”
“หือ?” อิ่งลิ่วไม่เข้าใจ
อิ่งสือซันขับไปพลางเอ่ยไปพลาง “เพราะหากพูดไป แผนของท่านอ๋องก็จะดำเนินต่อไปอีกไม่ได้”
หากเห้อเหลียนเป่ยหมิงเปิดเผยตัวตนของคุณชายกับพระชายาซื่อจื่อเสียก่อน คุณชายและสกุลเห้อเหลียนจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ทว่าจวนประมุขหญิงก็จะไม่ถูกลากลงไปในน้ำด้วย
“ท่านอ๋อง? ท่านอ๋องที่ใด? เยี่ยน…เยี่ยนอ๋องหรือ?” อิ่งลิ่วยิ่งสับสน
อิ่งสือซันส่ายหัว เจ้าทึ่มนี่ ยังจะมีผู้ใดได้อีกนอกจากเยี่ยนอ๋อง?
หากจะบอกว่าอิ่งสือซันเดาออกได้อย่างไร ต้องเริ่มตั้งแต่นาทีแรกที่ตัวตนของราชบุตรเขยถูกเปิดเผย มีคนที่รู้ว่าเขาคือเยี่ยนอ๋องไม่มากนัก จวนประมุขหญิงไม่มีทางเปิดโปงเขา คุณชายยิ่งไม่มีทางทำเช่นนั้น นอกเสียจากตัวเขาเอง
เขาเดาว่า ราชบุตรเขยได้คำนวณไว้อยู่ก่อนแล้ว ว่าจวนประมุขหญิงจะรายงานเกี่ยวกับตัวตนของคุณชาย เขาจึงส่งจดหมายบอกเห้อเหลียนเป่ยหมิง ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นให้เขาปิดปากเงียบ
ส่วนวิธีที่จะทำให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงเชื่อใจเขาก็ขึ้นอยู่ที่ความสามารถของเขาแล้ว
หากเจ้ากล้าแตะต้องบุตรชายข้า ข้าก็จะจัดการกับสามีเจ้า แม้ว่าสามีผู้นั้นจะเป็นตัวของเขาเองก็ตาม
อิ่งสือซันทอดถอนใจ “เยี่ยนอ๋องทำเช่นนี้เพื่อคุณชายด้วยใจของท่านจริงๆ”
…
ประมุขหญิงกลับไปที่จวนด้วยความโกรธแค้น
หนานกงหลีเห็นว่ามีเพียงนางที่ลงมาจากรถม้า จึงรีบเอ่ยถาม “ท่านแม่ ท่านพ่อเล่า? มิได้กลับมากับท่านหรือ?”
ประมุขหญิงกล่าวอย่างหดหู่ “ไม่ต้องพูดแล้ว เขาถูกกักตัวไว้ในวัง”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” หนานกงหลีประหลาดใจ
ประมุขหญิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักจินหลวนทั้งหมดให้บุตรชายฟัง
หนานกงหลีตะลึง “หากเป็นเช่นนี้ นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉาที่ไม่ใช่ตัวจริง นอกนั้น…นอกนั้นเป็นคนของสกุลเห้อเหลียนจริงๆ เช่นนั้นหรือ?”
นี่มันน่าตกใจเกินไปหรือไม่?
ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าพวกเขามีสายเลือดของสกุลเห้อเหลียนอยู่จริงๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคุณชายใหญ่ตัวปลอม ภรรยาของเขาก็จำต้องไม่ใช่ตัวจริงเช่นกัน ที่เรียกว่าคู่สามีภรรยาบ้านรองก็เป็นของปลอมที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงเท่านั้น แต่ใครจะคาดคิดละว่าสามอย่างนี้…จะเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ! ! !
คำนวณเยี่ยนจิ่วเฉาถูก คำนวณตี้จีองค์โตถูก แต่กลับคำนวณอวี๋เซ่าชิงผิดไป!
เขากลับเป็นบุตรชายคนรองจากภรรยาเอกของสกุลเห้อเหลียนจริงๆ! ! !
คนผู้นี้…จะโชคดีเกินไปแล้วไหม?!
หนานกงหลี ไม่อาจหายใจได้อย่างราบรื่น
ประมุขหญิงไม่มีเวลาปลอบโยน นางกัดฟันกล่าว “…บอกว่าเป็นคนจากเมืองชิงเหออันใด? นี่คงกลัวว่าจะมีคนปองร้ายครอบครัวของพวกเขามากกว่ากระมัง? แต่ก็ซุกซ่อนไว้ได้มิดชิดดียิ่งนัก!”
แน่นอน ตอนนี้พวกเขาไม่กลัวอีกแล้ว เพราะประมุขหญิงแย่งชิงบิดาของเยี่ยนจิ่วเฉาไป ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องบาดหมางกับเยี่ยนจิ่วเฉาและบ้านพ่อตาของเขา หากมีอะไรเกิดขึ้นกับสกุลอวี๋ จวนประมุขหญิงย่อมเป็นฝ่ายแรกที่ถูกสงสัย!
ทว่านี่ยังมิใช่เรื่องน่าปวดหัวที่สุดสำหรับประมุขหญิง
“เจ้าบอกข้าว่าพระชายาซื่อจื่อเป็นบุตรสาวของตี้จีองค์โต แต่เดิมข้าก็คิดว่าไม่เป็นอะไร องค์ประมุขเกลียดตี้จีองค์โต ยิ่งนัก เขาก็คงจะเกลียดบุตรสาวของนางด้วยเช่นกัน เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นเชื้อพระวงศ์ของต้าโจว น้ำไกลยากจะดับไฟใกล้ สองแม่ลูกตี้จีองค์โตไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัวเลย แต่ยามนี้ ตี้จีองค์โตไปเป็นสะใภ้ของสกุลเห้อเหลียน…ที่แย่ไปกว่านั้น เห้อเหลียนเป่ยหมิงพิการ สามีของนางก็จะเป็นผู้สืบทอดสกุลเห้อเหลียนคนถัดไป!
………………………ติบโตอยู่ในต้าโจว
ฮูหยินผู้เฒ่าเลอะเลือน เข้าใจว่ากระหม่อมเป็นหลานชายของนาง กระหม่อมไม่ได้อยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลเห้อเหลียน และสกุลเห้อเหลียนก็ไม่เคยประกาศเรื่องนี้ต่อสาธารณะ หากจะกล่าวให้ชัด นี่หาใช่อาชญาหลอกลวงเบื้องสูง
ครอบครัวฝั่งภรรยากระหม่อมอยู่ที่หนานจ้าว ทำไมหรือ? หากกระหม่อมจะกลับมาเยี่ยมบ้านภรรยาพร้อมกับนางแล้วมันขัดขวางทางผู้ใดกัน?”
องค์ประมุขที่ถูกตอกกลับจนหมดสิ้นคำพูด “…”
…………………………………………