เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นเฟยมา สีหน้าขององค์ประมุขและฮองเฮาก็ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
คนที่ฮองเฮาเกลียดที่สุดในชีวิตก็คืออวิ๋นเฟย ไม่คิดจะเจอหน้านางแม้แต่น้อย
องค์ประมุขก็มิได้เกลียดนางไปน้อยกว่าอวิ๋นเฟย แม้ว่าเขาจะไม่ใช่พ่อที่ดี แต่เขาก็มิใช่องค์ประมุขที่ไร้ยางอาย นอกจากนางกำนัลแล้ว ในวังหลังของเขาก็มีสตรีเพียงแค่สองคน ก็คือฮองเฮาซึ่งตบแต่งอย่างถูกต้องตามขนบ และอวิ๋นเฟยซึ่งปรากฏเพียงในนาม
อวิ๋นเฟยไม่ใช่คนที่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมี นางมักสร้างปัญหาอยู่บ่อยครั้ง แต่นางก็อยู่ส่วนของนาง องค์ประมุขไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่ครั้งนี้นางมาเยือนถึงตำหนักขององค์ประมุขและฮองเฮา
วันนี้กลับแปลกไป สตรีผู้นี้ลืมคำสั่งขององค์ประมุขไปเสียสนิท
องค์ประมุขตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่มีเวลาจะไปสนใจนาง จึงรับสั่งออกไปว่า “บอกไปว่าเรากำลังคุยกับฮองเฮาอยู่ ให้นางกลับไป!”
ข้าราชสำนักนำความแจ้งแก่นาง ไม่นานก็กลับมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจว่า “อวิ๋นเฟยบอกว่าหากพระองค์ไม่ให้นางเข้าเฝ้า นางก็จะไม่ไป”
องค์ประมุขตบโต๊ะเสียงดัง!
เมื่อศัตรูหัวใจมาปรากฏตัว ฮองเฮาก็ไม่สนใจที่ระเบิดโทสะใส่องค์ประมุขอีก นางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เช็ดคราบน้ำตา กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าจะไปพบนาง”
การพบกันของทั้งสองนับว่ายังอยู่ในพระเนตรพระกรรณขององค์ประมุข ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าฮองเฮาจะถูกรังแก องค์ประมุขจึงไม่ได้ห้าม
ฮองเฮาออกมาจากห้องบรรทมขององค์ประมุขด้วยท่าทางงามสง่า นางเอาชนะความอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ประมุขได้แล้ว และกำลังสำแดงอำนาจของจอมนางแห่งแผ่นดินหนานจ้าว
ข้าราชสำนักฝ่ายในและนางกำนัลล้วนแต่ก้มหน้า ไม่มีผู้ใดกล้ามองฮองเฮาตรงๆ
อวิ๋นเฟยยืนรออยู่ที่พื้นหินขัดหน้าทางเข้าตำหนัก
ทั้งฮองเฮาและอวิ๋นเฟยล้วนแต่ย่างเข้าวัยเป็นย่ายายคน บนใบหน้าประทับร่องรอยของกาลเวลา ทว่าครั้นยังเยาว์วัย พวกนางเป็นถึงหญิงงามอันดับต้นๆ อีกทั้งยังกินดีอยู่ดีและได้รับการบำรุงที่ดี ทำให้พวกนางแลคล้ายกับคนอายุเพียงสี่สิบปี
ฮองเฮางามสง่า อวิ๋นเฟยสะคราญสดใส
อวิ๋นเฟยมองไปยังใบหน้าของฮองเฮาซึ่งเห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา นางแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วคำนับอย่างขอไปทีครั้งหนึ่ง “น้องถวายพระพรฮองเฮา ขอให้มีอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
ฮองเฮาเห็นท่าทางเสแสร้งของนางก็เกิดโทสะ จึงตวัดสายตามองนาง “ได้รับคำอวยพรจอมปลอมของเจ้าเช่นนี้ เห็นทีทั้งใต้หล้าคงไม่มีใครอยากเห็นข้าตายเร็วเท่าเจ้าแล้ว”
อวิ๋นเฟยกลอกตา “ข้าอยากเห็นแล้วอย่างไร? ฮองเฮาก็ยังสบายดีอยู่นี่เพคะ”
“บังอาจ!” นางกำนัลข้างกายฮองเฮาตวาด
อวิ๋นเฟยตบหน้านางฉาดหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าเป็นใคร? ข้าคุยกับฮองเฮา เจ้าควรเข้ามาสอดอย่างนั้นหรือ?”
เพียะ!
เป็นฝ่ามือของฮองเฮาที่ฟาดลงไปบนใบหน้าของอวิ๋นเฟย
“เจ้านั่นแหละเป็นใคร! เจ้าไม่จำเป็นต้องมาสอนบ่าวของข้า”
ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
เมื่อก่อนฮองเฮาไม่ใช่คนเอาแต่ใจเช่นนี้ วันนี้เกิดเรื่องขึ้น ไฟโทสะยังคุกรุ่นอยู่ในใจ เมื่อถูกอวิ๋นเฟยกระตุ้นโทสะอีก จึงลงมือลงไม้เพื่อระบายอารมณ์
นางสวมปลอกเล็บ ปลายแหลมของมันวาดผ่านใบหน้าของอวิ๋นเฟยเป็นบาดแผลใหญ่ หยดเลือดซึมออกมาจากบาดแผล
อวิ๋นเฟยลูบหน้า เมื่อเห็นหยดเลือดที่ปลายนิ้ว ก็แค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “ฮองเฮาระงับโทสะไว้ไม่ได้แล้วกระมัง? ถ้าให้น้องเดา คงเป็นเพราะฝ่าบาทปฏิเสธคำขอของฮองเฮาใช่ไหมเพคะ? จะว่าไปก็ใช่ ลูกสาวในไส้ถูกขังไว้ในคุกหลวง ชั่วชีวิตนี้คงกลับมาผงาดเหมือนเดิมไม่ได้ หากข้าเป็นฮองเฮา ข้าก็คงโมโหจนแทบบ้าเหมือนกัน”
ฮองเฮากำหมัดแน่น เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ
อวิ๋นเฟยยิ้มเย้นหยัน “ได้ยินว่าตี้จีองค์โตกลับมาแล้ว ฝ่าบาทต้องอยากให้นางกลับมาเป็นแน่ ทำอย่างไรดี? เมื่อนางได้ครองบัลลังก์ ข้าก็จะเป็นไทเฮาแห่งหนานจ้าว ท่านพี่ลองเดาดูสิเพคะว่านางจะจัดการท่านและลูกสาวของท่านอย่างไร?”
ฮองเฮายกมือขึ้นมาอีกครั้ง
อวิ๋นเฟยจับแขนนางไว้ “ท่านพี่ระวังสักนิดนะเพคะ ข้าไม่ได้เป็นคนไร้ที่พึ่งพาอีกต่อไปแล้ว หลังจากนี้ฝ่าบาทเองก็คงต้องมาขอร้องข้า ท่านพี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
ฮองเฮากัดฟันกรอด “เจ้าอย่าได้ใจเร็วนัก!”
อวิ๋นเฟยยิ้มน้อยๆ “ข้าบอกไปแล้วว่าลูกข้าต้องกลับมา ความพยายามของท่านย่อมไร้ผล สุดท้ายก็เป็นเพียงการใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำใช่ไหมเพคะ? ข้าได้ยินว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ตี้จีองค์เล็กใช้ลูกสาวข้าไปแลกมานั้นไม่ยอมรับนางเป็นเจ้านาย แต่มันกลับไปยอมรับหลานตัวน้อยของข้าเป็นเจ้านาย ท่านพี่ ท่านคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าคิดว่าเป็นเพราะลิขิตสวรรค์ ท่านพี่คิดว่าอย่างไรเพคะ?”
ฮองเฮามองนางด้วยความรังเกียจ ไม่รู้ว่านางต้องใช้ความพยายามมากเท่าไรจึงจะระงับความโกรธเอาไว้ได้
อวิ๋นเฟยเงยหน้ามองฟ้า ค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วกล่าว สีหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความสุข “หลายปีมานี้ ข้ารอคอยให้ลูกกลับมาทุกวัน ท่านพี่ก็คงภาวนาขอให้ลูกข้าไม่กลับมา แต่ดูเหมือนว่า…สวรรค์จะเข้าข้างข้า ท่านพี่ไม่ได้บอกหรอกหรือว่าข้าตั้งท้องตัวกาลกิณี? เช่นนั้นเดี๋ยวท่านพี่ก็คงได้เห็นเต็มสองตาว่าตัวกาลกิณีเข้าวังและจะแก้แค้นอย่างไร!”
“พล่ามจบแล้วหรือยัง!”
องค์ประมุขเดินเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง
อวิ๋นเฟยแค่นเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูก สงบปากสงบคำอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็หันไปถวายบังคม “ฝ่าบาท”
องค์ประมุขมิได้ใส่ใจจะมองนาง เขาเดินไปด้านหลังฮองเฮา พยุงแขนของนางไว้ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ฮองเฮาโกรธอวิ๋นเฟยจนแทบลมจับ โชคดีที่องค์ประมุขเข้ามาพยุงได้ทัน หากช้ากว่านี้อีกสองก้าวเห็นทีนางคงล้มลงไปกองบนพื้นแล้ว
อวิ๋นเฟยกลอกตา “นอกจากแสร้งทำเป็นคนดี แสร้งทำเป็นน่าสงสารแล้วยังทำอะไรได้อีกบ้าง? เสแสร้งมานานหลายปี ท่านรู้สึกเหนื่อยบ้างไหม? ท่านเสแสร้งต่อไปเถิด อย่างไรเสียก็คงทำได้อีกไม่นาน ฝ่าบาทรักท่าน แต่คนอื่นอาจจะไม่”
นางหมายถึงหลังจากที่ตี้จีองค์โตขึ้นครองบัลลังก์แล้ว จะไม่มีทางเห็นสตรีผู้นี้อยู่ในสายตา
อันที่จริง ด้วยความสัมพันธ์ที่เปรียบดังน้ำกับไฟของตี้จีองค์โตกับฮองเฮาและตี้จีองค์เล็กนั้น สามารถทำให้ฮองเฮาและตี้จีองค์เล็กเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นได้เลย ให้พวกนางได้ลิ้มลองรสชาติของความสิ้นหวังเสียบ้าง
ในตอนนั้นเอง องค์ประมุขตวาดขึ้นว่า “เจ้าเงียบบัดเดี๋ยวนี้!”
อวิ๋นเฟยกำผ้าเช็ดหน้าแน่น นางเอ่ยขึ้นด้วยความขุ่นเคืองว่า “ฝ่าบาทให้ข้าเงียบ แล้วยังทำอะไรได้อีกบ้างเพคะ? ฮองเฮาเป็นภรรยาของท่าน แล้วข้าไม่ได้เป็นหรือ? เป็นสามีภรรยากันคืนเดียว สัมพันธ์กันชั่วชีวิต ข้าเองก็ให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทไม่เคยชายตามองข้าด้วยซ้ำ! ทำไมเล่าเพคะ เป็นเพราะชาติกำเนิดของข้านั้นต้อยต่ำหรือ? ฝ่าบาทถึงจับลูกที่ข้าคลอดออกมาไปโยนทิ้ง! แต่ก็เอาเถอะ! ทิ้งไปแล้วนี่! อย่าไปหานางก็แล้วกัน!”
องค์ประมุขมีสีหน้าดุดัน “เรื่องของเรา เจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้ามาสอด!”
อวิ๋นเฟยยิ้มขมขื่น “เป็นเพราะสำหรับฝ่าบาทแล้ว ข้าทำอะไรก็ผิดไปเสียทุกอย่าง ฮองเฮาทำอะไรก็ถูก? มีบางสิ่งที่ข้าเก็บไว้ในใจมานาน ที่ผ่านมาฝ่าบาทคงเบื่อที่จะฟังข้าพูด แต่วันนี้ลูกข้านำสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมา ข้าจึงคิดว่าหากฝ่าบาทเห็นแก่นาง ก็ควรฟังที่ข้าพูดให้จบ”
องค์ประมุขนึกอยากโต้แย้ง แต่ก็พบว่าตนไม่อาจโต้แย้งได้
อวิ๋นเฟยก็เป็นอวิ๋นเฟยคนเดิม แต่ก็ไม่ใช่อวิ๋นเฟยคนเดิมอีกต่อไป
ถ้าหากตี้จีองค์โตได้ขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นอวิ๋นเฟยก็จะได้เป็นไทเฮาแห่งหนานจ้าว
ความสัมพันธ์ของตนและธิดาคนโตนั้นเปราะบางเสียยิ่งกว่าแผ่นน้ำแข็ง หากยังปฏิบัติต่อมารดาของนางไม่ดี ก็รังแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกแย่ลงไปอีก
อวิ๋นเฟยหัวเราะเยาะตนเอง “หลายปีมานี้ข้าเป็นอย่างไร คงไม่ต้องพูดถึง หากฝ่าบาทไม่ได้หูหนวกหรือตาบอด ก็คงรู้ว่าชีวิตของข้าเป็นอย่างไร บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่สิ้นหวังไปกว่าการที่แม่พรากจากลูกอีกแล้ว แต่ฝ่าบาทรู้หรือไม่เพคะว่าสิ่งที่สิ้นหวังกว่าคืออะไร? นั่นก็คือที่จริงแล้วข้ากับลูกไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ด้วยซ้ำ เป็นเพราะนาง! เป็นเพราะฮองเฮา!”
น้ำตากลิ้งอยู่ในขอบตาของอวิ๋นเฟย นางยกมือขึ้นชี้ไปยังฮองเฮาซึ่งใบหน้าซีดเผือด “นางร่วมมือกับราชครูคนก่อน ให้เขาทำนายว่าลูกข้าเป็นกาลกิณี! ทำให้ลูกข้าถูกบิดาทอดทิ้งตั้งแต่เกิด! ฝ่าบาททรงทำเพื่อความสงบสุขของประเทศ ข้าจะไม่กล่าวโทษท่าน แต่วันนี้เด็กคนนั้นกลับมาแล้ว ข้าขอวิงวอนฝ่าบาท ได้โปรดให้ความเป็นธรรมแก่นางด้วย!”
จุดไท่หยางขององค์ประมุขเต้นตุบๆ “อวิ๋นเฟย…เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน! ใส่ร้ายฮองเฮาและราชครูคนก่อน! ราชครูคนก่อนตายไปแล้ว ผู้ล่วงลับต้องได้รับความเคารพ…”
อวิ๋นเฟยกล่าวขึ้นตัดบท นางแทบคำรามออกมา “ถ้าคนที่ตายเป็นเด็กคนนั้นเล่า! หิมะตกหนักถึงเพียงนั้น หนทางก็ยาวไกลถึงเพียงนั้น…ฝ่าบาทไม่เคยคิดเลยหรือว่านางจะหนาวตายหรือป่วยตายระหว่างทางหรือไม่? ใครกันแน่ที่เป็นกาลกิณี ตอนนี้ยังไม่กระจ่างอีกหรือ?”
นั่นสิ ยังไม่กระจ่างอีกหรือ?
ตี้จีสองคน ใครสร้างความโกลาหล ใครปลอบประโลมจิตใจของอาณาประชาราษฎร์ ตัดสินยากมากเชียวหรือ?
ทว่าอย่างไรเสียก็เป็นลูกของเขากับฮองเฮา
เขาไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะกล้าวางแผนใส่ร้ายอวิ๋นเฟย และไม่เชื่อว่าหนานกงเยี่ยนจะเป็นกาลกิณี
เช้าตรู่วันถัดมา สาส์นจากม้าเร็วก็มาถึง
เรื่องที่เยี่ยนอ๋องถูกลักพาตัวไปนั้นเล็ดลอดออกไป ฮ่องเต้แห่งต้าโจวเคืองแค้นเป็นอย่างมาก รับสั่งให้เซียวเจิ้นถิงนำทัพพลรบหนึ่งแสนนายไปยังหนานจ้าว!
ชายแดนของหนานจ้าวถูกยึดครองเป็นที่เรียบร้อย
……………………………………