หนานกงเยี่ยนรู้ดีว่านี่เป็นผลจากความเจ็บป่วยที่รุนแรงของตนในระยะนี้ การทอดทิ้งของราชบุตรเขย กลอุบายของเยี่ยนจิ่วเฉา ความตกต่ำของจวนประมุขหญิงทำให้หัวใจของนางแตกสลาย ผู้คนต่างคิดว่าชีวิตของนางไม่ต่างจากตายทั้งเป็น เบื้องหน้านางไม่หลงเหลือความระแวดระวังเช่นเมื่อก่อน
นางได้ยินเรื่องราวต่างๆ โดยบังเอิญมาไม่น้อย หนึ่งในนั้นมีจากบทสนทนาของหลี่อวี้กับชายอีกคนหนึ่ง
หลี่อวี้กล่าว ตนได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮา และฮองเฮาไม่สามารถละทิ้งเขาไปได้ หมากตัวนี้เห็นจะมีประโยชน์ทีเดียว อาจจะสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินโค่นราชวงศ์หนานจ้าวได้ ถึงเวลานั้นพวกเขาต้องการพลิกฟื้นประเทศกลับคืนมาก็ง่ายดายแล้ว
หลี่อวี้แม้จะตาย แต่สหายของเขายังอยู่ในตำหนักจงกง แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว พวกเขาหนีไปแล้ว
กลอุบายยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฮองเฮาได้รับอยู่ที่อวี่เหวินจ้าว ได้รับการปกป้องจากอวี่เหวินจ้าวและตำหนักราชครูมานานหลายปี นางจึงไม่ระวังตัวและไม่เฝ้าระวังภัยเช่นตอนแรก เรื่องของขันทีหลี่ก็เป็นบทเรียนใหญ่บทหนึ่ง
เมื่อคิดว่าตนเองเกือบจะถูกใช้ให้เป็นเบี้ยในแผนการ ในใจลึกๆ พลันรู้สึกสะท้านด้านชา นางจับมือหนานกงเยี่ยน ทอดถอนใจเฮือกใหญ่ “แม่โทษเจ้าผิดไป โชคดีที่เจ้ามาทันเวลา ไม่เช่นนั้นแม่ก็ไม่รู้เลยว่าขันทีนั่นจะจับตัวไปไว้ที่ใด”
ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดไม่ใช่เกือบถูกลักพาตัว แต่เป็นการลักพาตัวต้าเป่าต่อหน้าเหล่าข้าราชบริพาร นี่เป็นความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไข ต่อไปต่อให้หนานกงเยี่ยนเอาชนะความยากลำบากทั้งหมดเพื่อลบล้าง ‘การสมรู้ร่วมคิด’ ระหว่างฮองเฮากับสำนักราชครูได้ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความผิดบาปที่ก่อขึ้นในตำหนักจินหลวนวันนี้ได้แล้ว
แต่น่าเสียดายที่เรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว เสียใจตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
สามวันข้างหน้า นางจะต้องได้รับชัยชนะจากตี้จีองค์โต!
“เยี่ยนเอ๋อร์ ร่างกายของลูกเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อครู่เอาแต่คิดเรื่องหลบหนี ลืมไถ่ถามสุขภาพร่างกายของบุตรสาว นางกลับตอบเพียง ”ข้าไม่เป็นไร”
ไม่ใช่ไม่เป็นไรจริงๆ แต่ต่อให้เป็นก็ไม่อาจให้เป็นได้ ช่วงเวลาความเป็นความตาย หากนางตาย ทุกอย่างก็จบสิ้น
ฮองเฮาไหนเลยจะไม่รู้ว่านางกำลังพยายามเข้มแข็ง? ฮองเฮายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหยาดเหงื่อบนหน้าผากของนางอย่างเจ็บปวดใจ แต่นางกลับเบี่ยงศีรษะหนี
ฮองเฮาตะลึงงัน “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้า……”
นางอยากพูดว่า เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าพูดกับฝ่าบาทใช่หรือไม่ รู้เรื่องของข้ากับอวี่เหวินจ้าวใช่หรือไม่?
คำพูดขึ้นมาถึงริมฝีปาก นางก็ข้ามสิ่งนี้ไป และเอ่ยถามตรงๆ “เจ้ากำลังตำหนิแม่ใช่หรือไม่”
“เปล่า” หนานกงเยี่ยนตอบอย่างขอไปที
ฮองเฮาสะอึกสะอื้น “แม่รู้ว่าเจ้าโทษแม่ แม่มีความผิดจริง แต่แม่ไม่ตั้งใจ ยามนั้นแม่…”
“มิต้องพูดแล้ว!” หนานกงเยี่ยนไม่อยากฟังเรื่องราวความรักของนางกับอวี่เหวินจ้าว!
หนานกงเยี่ยนหวังให้ตนเองไม่เคยรับรู้ความจริงมาก่อน มารดาของนางไม่ได้หักหลังบิดา นางไม่ได้พึ่งอวี่เหวินจ้าวเปลี่ยนโชคชะตาจนได้กลายเป็นดาวนำโชค นางไม่ได้แย่งชิงทุกอย่างของตี้จีองค์โต นางไม่ได้…
“เยี่ยนเอ๋อร์…” ฮองเฮากุมมือหนานกงเยี่ยนอีกครั้ง
แต่ฮองเฮาก็ล้มลงไปด้านข้างเพราะการหวดแส้อย่างรุนแรง
มือทั้งสองแยกจากกัน กระทั่งเปลือกตาของหนานกงเยี่ยนก็ไม่กระดิก
ฮองเฮามองใบหน้าของบุตรสาวและรู้สึกถึงความเฉยเมยอันไม่มีที่สิ้นสุด
ท้ายที่สุดนางก็โทษตนแล้ว…
“พวกเรากำลังไปที่ใดหรือ” นางกล่าวอย่างทุกข์ใจ
หนานกงเยี่ยนตอบ “ไปจวนตี้จี ไปรับหลีเอ๋อร์กับซีเอ๋อร์”
สิ้นเสียงหนานกงเยี่ยน รถม้าคันหนึ่งก็เคลื่อนมาจอดที่ปากทางเข้าตรอก ขวางทางของพวกเขา
ใบหน้าของหนานกงเยี่ยนจ้องมองอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็เห็นเงาคนหนึ่งกระโดดลงมา “ท่านแม่ ข้าเอง!”
“หลีเอ๋อร์” สีหน้าของหนานกงเยี่ยนผ่อนคลายลง ยกเปิดผ้าม่านขึ้น
หนานกงหลีรีบก้าวเท้าเข้ามาหา เมื่อเห็นฮองเฮากับต้าเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเยี่ยนก็ไม่ได้แสดงความประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขารับรู้มาก่อนแล้ว
เขาคารวะ “ท่านยาย ท่านแม่”
ฮองเฮาพยักหน้าตอบรับอย่างปลื้มใจ
“ซีเอ๋อร์ละ?” หนานกงเยี่ยนไม่เห็นหนานกงซี
หนานกงหลีนั่งลงข้างกายหนานกงเยี่ยนแล้วกล่าวว่า “ข้าพานางไปอยู่ที่ที่ปลอดภัยแล้ว ท่านแม่วางใจได้”
ไม่พบกับช่วงหนึ่ง หนานกงหลีก็ซูบผอมลงไป ครอบครัวของพวกเขาไม่รู้ไปทำบาปกรรมอันใด ถึงได้ตกไปอยู่แต่ในมือของพวกตี้จีองค์โตทีละคนๆ สะบักสะบอมจนไม่เหลือคราบความเป็นคน
“ไป” หนานกงหลีพูดกับสารถี
สารถีหวดแส้ม้า เริ่มเดินทางต่อ
หนานกงหลีเหลือบมองเด็กที่หลับสนิทในอ้อมแขนของหนานกงเยี่ยน ดวงตาของเขาเย็นชา เขาถูกสองแม่ลูกอวิ๋นเฟยกับอวี๋เซ่าชิงทุบตีจนอเนจอนาถ ยามนี้แก้วตาดวงใจของคนพวกนั้นมาตกอยู่ในมือของข้าแล้ว……
หนานกงเยี่ยนรับรู้ถึงความคิดของบุตรชาย จึงกล่าวเตือนว่า “อย่าเพิ่งแตะต้องเขา ข้าเก็บไว้ใช้ประโยชน์”
หนานกงหลีเก็บสายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหาร “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านแม่”
รถม้าหลีกเลี่ยงถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน ขับผ่านตรอกซอยอันเงียบสงบ ไม่นานก็ออกจากเขตถนน มาถึงเส้นทางลึกไร้ผู้คน
หนานกงหลียกม่านเหลือบมองไปด้านนอก “ท่านแม่ พวกเรากำลังจะไปที่ใด?”
หนานกงเยี่ยนไม่ตอบ กลับพูดว่า “ถึงแล้ว เจ้าก็จะรู้”
รถม้าขับส่ายไปส่ายมา เส้นทางคดเคี้ยวหลายโค้ง สุดท้ายยามที่ฮองเฮารู้สึกวิงเวียนอยากอาเจียนก็มาถึงป่าไผ่แห่งหนึ่ง
หนานกงเยี่ยนอุ้มต้าเป่าลงจากรถม้า
ตอนนี้ต้าเป่าตื่นแล้ว
ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เขายังคงไม่ร้องไห้โวยวาย และอยู่ภายใต้อ้อมแขนของหนานกงเยี่ยนอย่างสงบอยู่เช่นนั้นพร้อมกับดวงตาสีดำคู่หนึ่งที่เบิกกว้าง
หนานกงเยี่ยนอยู่ในเส้นทางที่ถูกคนจู่โจมได้ตลอดเวลา โชคดีที่คนถูกลักพาตัวมาเป็นต้าเป่า หากเป็นเสี่ยวเป่าหรือเอ้อร์เป่าผู้เจื้อยแจ้วมาอยู่ในมือ อาจเป็นความผิดมหันต์
หนานกงเยี่ยนเดิมทีเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว เด็กน้อยที่มีเนื้อหนังมังสาอ้วนกลมอย่างต้าเป่า อีกหน่อยก็อุ้มไม่ไหวแล้ว
นางก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “เคยมีคนพูดกับเจ้ารึไม่ว่าเจ้าตัวหนัก?”
ต้าเป่าส่ายหัว
หนานกงเยี่ยนมุมปากกระตุก คนครอบครัวนั้นเป็นพวกประหลาดหรือไร? เด็กอ้วนถึงเพียงนี้ไม่บ่นหนักบ้างหรือ?
“เดินเอง” หนานกงเยี่ยนวางเขาลงกับพื้น แล้วจับมือน้อยๆ ข้างหนึ่ง
ต้าเป่าเดินตามนางอย่างว่าง่าย
ฮองเฮาและหนานกงหลีเดินรั้งท้าย
เวลาประมาณหนึ่งเค่อผ่านไป ด้านหน้าพวกเขาปรากฏให้เห็นลานบ้านงามสง่าไม่เหมือนใคร
ลานบ้านล้อมด้วยรั้วไม้ไผ่ กระท่อมมุงจาก ดูเรียบง่ายธรรมดา แต่พื้นระเบียงทางเดินกลับใช้ไม้จินสื่อหนานที่ดีที่สุด
“นี่คือ…” หนานกงหลีเพิ่งเอื้อนเอ่ย ก็มีบุรุษในชุดขาวผู้หนึ่งเดินมาจากทางเดินเล็กๆ ด้านข้าง บุรุษผู้นั้นไม่สังเกตเห็นพวกเขา หันหน้ามองตรงเดินผ่าน สาวเท้าเข้าไปในเรือนเล็ก
หนานกงหลีมองเงาหลังที่คุ้นเคย ดวงตาเกิดประกายวาบ รีบก้าวเท้าตามไป “ท่านพ่อ!”
บุรุษผู้นั้นหันกลับมา
ใบหน้านั้นมีสองสามส่วนที่คล้ายคลึงกับเยี่ยนอ๋อง แต่ก็ไม่ใช่เยี่ยนอ๋อง
ดวงตาของหนานกงหลีมีร่องรอยของความสูญเสีย
ใช่แล้ว เขาลืมไปได้อย่างไร บุรุษผู้นั้นทอดทิ้งพวกเขาสองแม่ลูกไปนานแล้ว ไปขออาศัยอยู่กับจื่อจวินและฉงเอ๋อร์ของเขา
ตนเองรอคอยสิ่งใดอยู่? บุรุษผู้นั้นเกิดมีมโนธรรมขึ้นในใจ ไตร่ตรองเปลี่ยนแปลงความคิด อยากฝ่าฟันอุปสรรคไปกับพวกเขา?
“หลีเอ๋อร์” ไป๋เชียนหลีจำเขาได้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มด้วยความยินดี
เมื่อหนานหงหลีได้ยินคำเรียกขานอันสนิทสนมเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นใคร? ไยกล้าเรียกชื่อต้องห้ามของข้า?”
“ข้าคือ…” ไป๋เชียนหลีกำลังจะเอ่ยปาก แต่กลับลังเล และพยักหน้าให้หนานกงเยี่ยน จากนั้นก็มองเด็กน้อยที่หนานกงเยี่ยนจูงอยู่ด้วยความประหลาดใจ
เขาเคยพบเยี่ยนจิ่วเฉามาก่อน เด็กคนนี้ไม่ว่ารูปลักษณ์หรือท่าทางก็เหมือนเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างพิมพ์เดียวกัน
เขารู้สึกประหลาดใจ แต่กลับไม่เอ่ยปาก
จากนั้นก็มองฮองเฮาที่อยู่ด้านข้าง
ไป๋เชียนหลีคารวะ “ถวายบังคมฮองเฮา”
ฮองเฮามองเขา แล้วมองบุตรสาวที่เข้าไปในห้องแล้ว ดวงตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย ดูรู้แต่ไม่พูด และเดินเข้าห้องไป
หนานกงหลีก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่ไม่ปกติของทั้งสอง โดยเฉพาะคนคนนี้ที่คล้ายบิดาของเขายิ่งนัก เขาตามหนานกงเยี่ยนเข้าไปในห้องปีก
ความชำนาญลู่ทางของหนานกงเยี่ยน ทำให้ในใจของหนานหลีเกิดความประหลาดใจบางเบา
ใบหน้าของหนานกงหลีค่อยๆ หม่นลง “ท่านแม่ บุรุษผู้นั้นเป็นใคร?”
หนานกงเยี่ยนให้ต้าเป่านั่งบนเก้าอี้ หันมองบุตรชายอย่างแผ่วเบา “ยามนี้ใช่เวลาที่ต้องสนใจเรื่องนี้หรือ? อีกสามวันหลังจากนี้จะมีการประลองกับตี้จีองค์โต เจ้าควรคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะชนะนางได้!”
หนานกงหลีกำหมัดแน่น
ต้าเป่าเงยหน้าขึ้นมอง สถานการณ์ตึงเครียดของทั้งสองพลันยกมือน้อยๆ ปิดหู
“ไม่ต้องกลัว” หนานกงเยี่ยนจับมือน้อยของเขา “ไม่ทะเลาะแล้ว”
ต้าเป่ามองหนานกงหลีอีกครั้ง ราวกับถามว่าไม่ทะเลาะกันจริงๆ ใช่หรือไม่?
หนานกงหลีมองต้าเป่าด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะออกไปโดยไม่หันกลับมา!
…………………………………