การประลองรอบสองคือศาสตร์เวทมนตร์
ศาสตร์เวทมนตร์แบ่งเป็นสายขาวและสายดำ อย่างแรกใช้เพื่อช่วยชีวิต อย่างหลังใช้เพื่อสังหาร ในมุมมองของอวี๋หวั่น สตรีหัวใจงูพิษเช่นหนานกงเยี่ยนไม่มีทางแข่งด้วยสายขาว ผลเป็นดังคาด ไม่รู้หนานกงเยี่ยนเจรจาสิ่งใดกับอวี้สื่อต้าฟู อวี้สื่อต้าฟูมีแววตาลำบากใจ
ช่วงระยะหนึ่ง อวี้สื่อต้าฟู ไท่เว่ยและไท่ซือปรึกษาหารือกัน จากนั้นก็เดินเข้ามาถามตี้จีองค์โตกับอวี๋หวั่นว่าจะยอมรับการประลองศาสตร์มืดหรือไม่
อวี๋หวั่นหันไปมองอาม่า อาม่าพยักหน้าให้เธอ อวี๋หวั่นกล่าว “ยอมรับ!”
อวี้สื่อต้าฟูกล่าว “เพราะศาสตร์มนต์ดำนั้นมีความรุนแรง พ่อมดของทั้งสองฝ่ายจึงต้องมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ มิฉะนั้นจะถือว่าตกรอบ”
“ได้” อวี๋หวั่นพยักหน้า
หนานกงเยี่ยนก็พยักหน้ายอมรับ
อวี้สื่อต้าฟูกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นต่อไป ตี้จีทั้งสองโปรดส่งพ่อมดของตนเองออกมา”
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนคือ พ่อมดที่หนานกงเยี่ยนส่งออกไปก็คือราชครู
ราชครูต่อสู้เพื่อหนานกงเยี่ยนอย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าสำนักราชครูสมรู้ร่วมคิดกับฮองเฮา
อวี๋เซ่าชิงหรี่ตา “ช่างกล้านัก เขาไม่กลัวที่จะทำให้ฮองเฮามีโทษฐาน”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยอย่างเฉยเมย “บางทีพวกเขาอาจจะไม่สนใจแล้ว”
อวี๋เซ่าชิงขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงชะงัก “เจ้าสนใจน้องสะใภ้กับอาหวั่นไว้ให้ดี หากเกิดอันใดขึ้น ให้รีบพาพวกนางหนีไปทันที”
อวี๋เซ่าชิงกล่าว “ว่าอย่างไรนะ? เจ้ายังคงกังวลว่าตี้จีองค์เล็กจะเปิดฉากสังหารหรือ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “สตรีผู้นั้นเสียสติไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าหากนางพ่ายแพ้นางจะทำสิ่งใด”
หากหนานกงเยี่ยนแพ้ก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หนานกงเยี่ยนไม่เคยคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้
ในด่านแรกพวกเขาใช้กลอุบายหลบเลี่ยงไปได้ แต่ในด่านถัดไปจะไม่มีสิ่งใดนอกเหนือความคาดหมายมากเช่นนั้นแล้ว
“อะไรกัน? ท่านพี่กลัวหรือ?” หนานกงเยี่ยนประชดประชัน
“ตี้จีองค์โต?” อวี้สื่อต้าฟูรีบหันมองกลุ่มนางเจียง
เยว่โกวผู้ทรงพลังราวกับวัว ก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น
คิ้วของหนานกงเยี่ยนกระโดดขึ้น พลันบีบที่เท้าแขนของเก้าอี้นวมแน่น “ช้าก่อน!”
อวี้สื่อต้าฟูหันมองนาง “มีอันใดหรือตี้จีองค์เล็ก?”
หนานกงเยี่ยนมองเยว่โกวที่สามารถต่อยราชครูให้บินได้ และพูดอย่างเย็นชา “ในรอบนี้ ห้ามใช้วรยุทธ์ต่อสู้”
พ่อมดกับราชครูก็เหมือนกัน ต่างก็ไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นศิลปะการต่อสู้จึงไม่ได้เป็นข้อห้ามในการประลองใหญ่ก่อนหน้านี้ แต่ในเมื่อตี้จีองค์เล็กเอ่ยปากแล้ว อีกทั้งยังมีบทเรียนจากอดีต สามมหาเสนาบดีสูงสุดจึงไม่อาจปฏิเสธคำขอของตี้จีองค์เล็ก
อวี้สื่อต้าฟูกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ได้ ในรอบนี้นอกจากเวทมนตร์ ไม่อนุญาตให้ใช้อย่างอื่นอีก”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เยว่โกวก็ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวเต็มปาก!
ด้านหลังของเขา เห็นชายชราร่างผอมบางคนหนึ่งที่อาจถูกลมพัดจนปลิวเดินออกมาอย่างเชื่องช้า
ด้วยร่างกายที่แก่หง่อมเช่นนี้ ราชครูที่อยู่ในช่วงขีดสุดของชีวิตสามารถใช้มือเปล่าทุบเขาจนร้องไห้ได้!
หนานกงเยี่ยนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!
เจ้าพวกนี้เป็นคนประเภทใดกัน เหตุใดเจ้าเล่ห์เพทุบายถึงเพียงนี้! ! !
ไม่ใช่ว่าหนานกงเยี่ยนไม่เชื่อในความสามารถของราชครู แต่หากมีวิธีที่ง่ายกว่า นางก็จะไม่เลือกหนทางที่เสี่ยงกว่า
แต่จะพูดสิ่งใดในยามนี้ก็สายไปแล้ว เป็นนางที่ขอให้เพิ่มกฎข้อนี้ อย่างไรนางก็ไม่อาจกลับคำ
หนานกงเยี่ยนส่งสายตาให้ราชครู
ราชครูเข้าใจความหมาย
หมายความของหนานกงเยี่ยนคือ ให้จัดการอย่าได้ปรานี
แท้จริงแล้วราชครูไม่เคยคิดเมตตาต่อคนเหล่านี้ โดยเฉพาะนักบวชแห่งเผ่าปีศาจผู้นี้ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนสนิทของท่านอาจารย์ในยามที่เขามีชีวิตอยู่ แม้ท่านอาจารย์จะเอาชนะเขาได้ แต่ก็ไม่ใช่ชัยชนะที่ใสสะอาด เป็นความเสียใจที่ติดอยู่ในใจของท่านอาจารย์ตลอดมา
เขาเชื่อว่าในวันนี้ ความเสียใจนั้นจะไม่มีอยู่อีกต่อไป
อาม่าเดินไปกลางแท่นบูชาและหยุดยืนอยู่ห่างจากราชครูสามก้าว ดวงยายับย่นส่องประกายทรงพลังและแหลมคม
“อวี่เหวินจ้าวเป็นอาจารย์ของเจ้าสินะ?” อาม่าถาม
“ใช่ เป็นท่านอาจารย์ของข้า”
อาม่าพยักหน้า “พอดีเลย เขาติดค้างข้าในตอนนั้นและวันนี้เป็นเจ้าที่มาจ่ายคืน”
ราชครูเหยียดหยาม “อย่าพูดจามั่นใจนักเลย ยังไม่แน่ว่าผู้ใดชนะผู้ใดแพ้”
“เจ้าประเมินตนเองแล้วไม่รู้ดีแก่ใจรึ? อาจารย์ของเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วละ” อาม่าที่มีนิสัยพูดน้อย วันนี้นับว่าได้เอ่ยคำพูดทั้งหมดในหนึ่งปีออกมา “เอาละ เริ่มได้แล้ว”
อาม่ากำลังจะเข้าไปนั่ง แต่ราชครูกลับเดินมาด้านหน้าสองสามก้าวแล้วพูดข้างหูว่า “ท่านนักบวช อย่าลืมจุดประสงค์เดิมที่พวกเจ้าเดินทางออกจากเผ่าปีศาจ ราชาแห่งเผ่าปีศาจสั่งให้พวกเจ้าพาตี้จีองค์โตกลับไป มิใช่ช่วยให้นางขึ้นครองบัลลังก์”
สีหน้าของอาม่าชะงักงัน
ราชครูเอ่ยประชดประชัน “เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะปกปิดไว้ได้นานเพียงใด?”
อาม่ามองเขาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
สายตาของราชครูสื่อให้เขามองไปทางซ้ายมือ ด้านล่างของแท่นบูชา
อาม่ามองไปอย่างแนบเนียน
ปะทะกับสายตาแห่งความตายคู่หนึ่ง
เจ้าของดวงตานั้นซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีดำ
นี่คือทูตแห่งเผ่าปีศาจ
เช่นเดียวกับศาตร์เวทมนตร์ ทูตของเผ่าปีศาจก็แบ่งเป็นสายขาวและสายดำ ผู้ที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจด้านนอกคือทูตขาว อย่างอาม่าและอาเว่ย แต่หากทูตขาวบกพร่อง เผ่าปีศาจก็จะส่งทูตดำออกไปเพื่อกำจัดทูตขาว
ทูตดำปรากฏตัวก็หมายความว่าการกระทำของพวกเขาถูกราชารับรู้แล้ว
แท้จริงแล้วนับตั้งแต่หนานกงหลีจดจำตัวตนของอาม่าได้ อาม่าก็เดาว่าอาจเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่หนานกงหลีขโมยตัวซิวหลัวมา อาม่าไม่คิดว่าเขาจะกล้าวิ่งไปเผ่าปีศาจเพื่อบอกความจริง
ดูแล้วหนานกงหลีมิได้มีความกล้า ทว่าราชครูกลับมี
สิ่งที่เรียกว่าการภาวนาปฏิบัติเป็นเพียงฉากบังหน้า แท้จริงแล้วแอบไปทำเรื่องเลวร้ายไม่น้อย
ราชครูมองไปข้างหลังอาม่า เห็นได้ชัดว่ายังคงจมอยู่กับความสุขของชัยชนะในการประลองด่านแรก พวกอาเว่ยสามคนที่ยังไม่เห็นพวกทูตดำก็เอ่ยเตือนอย่างดีอกดีใจ “จะหนีตอนนี้ก็ยังทันนะ”
หากหนีไป การประลองด่านนี้ก็จะพ่ายแพ้
ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ ปรากฎบนใบหน้าที่ผ่านชีวิตอันโชกโชนของอาม่า และทันใดนั้นเสื้อคลุมของเขาก็พัดไหว กระดาษแผ่นหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อของเขา
ราชครูหันหัวหลบ แต่ยังคงปล่อยให้กระดาษตัดผ่านผ้าบนบ่าของตน
“นี่คือคำตอบของข้า”
กล่าวจบ อาม่าก็ไม่สนใจคำพูดยั่วยุของราชครู เดินไปนั่งบนเสื่อของตนเอง เบื้องหน้าของเขามีโต๊ะเล็กตั้งอยู่ บนโต๊ะนั้นมีสิ่งของแปลกประหลาดวางเรียงอยู่จำนวนหนึ่ง
มนต์ดำที่ทรงพลังที่สุดคือการเชิดหุ่น เมื่อได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่ง กระทั่งคนที่มีชีวิตก็สามารถควบคุมได้ แต่วิธีการนั้นไร้มนุษยธรรมเกินไป จึงถูกเหล่าพ่อมดห้ามไปแล้ว
วันนี้ ทั้งสองเลือกแนวทางนี้เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
อาม่าสะบัดแขนเสื้อ ปัดสิ่งของบนโต๊ะลงกับพื้น จากนั้นก็หยิบกริชออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
ราชครูหัวเราะเยาะ
เขาไม่ได้นำกริชมา แต่เขาสามารถให้ใครสักคนนำมันมาได้
เขาทำสัญญาณมือ องครักษ์คนหนึ่งชักกริชออกจากเอวและจับด้วยมือทั้งสองข้างวางลงบนโต๊ะ
“พวกเขากำลังทำอะไร?” อวี๋หวั่นถามเสียงเบา
ชิงเหยียนจ้องเขม็ง “พวกเขาต้องการใช้คาถาเพื่อควบคุมอีกฝ่าย บังคับให้ชักมีดฆ่าตัวตาย”
อวี๋หวั่นเบิกตาโพลง “มาถึงก็เล่นแรงขนาดนี้เชียวหรือ?”
ชิงเหยียนก็สงสัยเช่นกัน ดูเหมือนอาม่าจะมีใจสังหารแล้ว อยู่ร่วมกับอาม่ามานานถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอาม่ามีใจสังหารใครสักคน นี่มันแปลกยิ่งนัก ไอ้ราชครูบ้าไร้ยางอายนั่นกลิ่วสิ่งใดกับอาม่ากันแน่?
ในรอบที่สองของการประลองไม่มีการจำกัดเวลา จนกว่าจะถูกเวทมนตร์ของอีกฝ่ายควบคุมจนสูญเสียการรับรู้ แม้ว่าผู้คนจะไม่เข้าใจศาสตร์มนต์ดำ แต่เมื่อมองกริชที่ทั้งสองนำออกมาก็เข้าใจว่านี่คือการต่อสู้ที่ดุเดือด
ทุกคนต่างห้ามไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ราชครูในช่วงสูงสุดของชีวิต กับอาม่าในวัยไม้ใกล้ฝั่ง เหตุใดถึงดูเหมือนการต่อสู้ที่บดขยี้เพียงฝ่ายเดียว?
“อาม่าดูแปลกไป” ชิงเหยียนกล่าว
“ตรงใดหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“บอกไม่ได้ แต่ก็แค่…ข้ารู้สึกว่าเขาดูใจสั่นเล็กน้อย” คนอื่นๆ มองไม่เห็นสิ่งนี้ แต่อาเว่ยและเยว่โกวที่อยู่กับอาม่ามาตลอดทาง ต่างก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของอาม่าไม่มากก็น้อย
อวี๋หวั่นงุนงง “อาม่าถูกราชครูทำให้หวาดกลัวหรือ?”
ชิงเหยียนส่ายหัว “ตามหลักไม่น่าเป็นไปได้”
ความแข็งแกร่งของอาม่านั้นเหนือกว่าราชครูมาก ไม่ควรตื่นตูมขนาดนี้ถึงจะถูก เช่นนั้นอาม่ากังวลเรื่องอะไรกันแน่?
ความกังวลของอาม่าไม่ได้มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รับรู้ แต่ราชครูก็รับรู้ได้เช่นกัน อย่างไรเสียเขาก็นั่งตรงข้ามอาม่า เหงื่อเย็นทุกเม็ดบนหน้าผากของอาม่า เขามองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทูตดำสามารถเอาชีวิตหมาของมันได้ตลอดเวลา ก็ไม่แปลกใจที่กระสับกระส่ายถึงเพียงนี้
ทว่าทูตดำคงต้องผิดหวัง วันนี้ ชีวิตนักบวชเผ่าปีศาจผู้นี้เป็นของเขา!
ทั้งสองหลับตา ขับเคลื่อนลมปราณ พลังควบคุมไร้รูปร่างพุ่งไปยังฝ่ายตรงข้าม
ทุกคนไม่เข้าใจว่าทั้งสองกำลังทำสิ่งใด แต่พวกเขารู้สึกได้เลือนรางว่าบรรยากาศของแท่นบูชาเปลี่ยนไป เสียงพัดหวนของลมรอบด้านคล้ายกับสงบลง กริชบนโต๊ะเริ่มสั่นไหว
ร่างของอาม่าเริ่มสั่นคลอนเบาๆ
ราชครูยังคงนั่งนิ่งหนักแน่นดั่งขุนเขา
“ไอ้หยา ชายแก่นั่นเกรงว่าจะพ่ายแพ้เสียแล้ว”
“นั่นสิ”
“เฮ้อ ก็นั่นเป็นถึงราชครู ผู้ใดจะเป็นคู่ต่อสู้ของราชครูได้เล่า?”
บทสนทนาอันร้อนแรงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่หนานกงเยี่ยนก็ยังได้ยิน
มุมปากของหนานกงเยี่ยนพลันยกขึ้น ตี้จีองค์โต ดูซิว่าเจ้าจะเอาชนะศึกรอบนี้ได้อย่างไร!
เร็วกว่าที่คิด จู่ๆ อาม่าก็ลืมตาโพลง และตะโกนว่า “แตก!”
ปัง!
ในมือของเขาถือกริชแวววาวเล่มหนึ่ง พุ่งถลาเข้าไปในฝูงชนจนเกิดเสียงดังตุ้บ!
เขาล้มลงอย่างไม่โอนเอียงอยู่แทบเท้าของทูตดำผู้นั้นอย่างพอดิบพอดี
เขาลุกขึ้นด้วยร่างกายสั่นเทา ปากกระอักเลือด เขายื่นมือออกไป “พยุง…พยุงข้าที”
ทูตดำจำเขาได้ จึงเข้าไปพยุงเขา
ในขณะนี้เอง สิ่งที่ยากจะเชื่อก็เกิดขึ้น
ราชครูที่ได้รับความช่วยเหลือจากทูตดำ ใช้มีดแทงทะลุอกของทูตดำ
ทูตดำไม่ทันได้แปลกใจ เขาล้มลงกองกับพื้นอย่างว่างเปล่า
ทันทีที่กริชถูกดึงออกจากร่างเขา เลือดก็กระเซ็นเปรอะทั่วใบหน้าของราชครู
ราชครูพลันตระหนกได้สติตื่นจากภวังค์!
เขามองก้มกริชในมือ จากนั้นก็จุดที่ตนเองยืนอยู่ และสุดท้ายทูตดำที่ร่วมมือกับเขาถูกแทงตายด้วยน้ำมือของตนเอง เขายืนตัวแข็งทื่อไม่อยากเชื่อสายตา
อาการหนาวเย็นพลันพุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้า
ใครบางคนในฝูงชนตะโกนว่า “เขาฆ่าคน! เขาแพ้แล้ว!”
ห้ามทำร้ายผู้อื่น มิฉะนั้นจะถือว่าพ่ายแพ้
ทูตดำจะดีหรือเลวบัดนี้ไม่เกี่ยวข้อง ตราบใดที่เขายังเป็นคน ก็ไม่อาจถูกทำร้าย
แน่นอนว่าราชครูสามารถพูดได้ว่าเขาถูกอาม่าควบคุม แต่นั่นก็เท่ากับยอมรับว่าเขาสูญเสียการรับรู้ตนเองจากเวทมนตร์ของอีกฝ่ายและยังต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน
ราชครูคิดไม่ตก เหตุใดในพริบตาสถานการณ์ที่มั่นใจในชัยชนะจึงกลายเป็นเช่นนี้?
ไม่เพียงแต่เอาชนะเขาได้ แต่ยังยืมมือของเขาสังหารทูตดำอีก!
หรือท่าทางร้อนรนของอาม่าทั้งหมดเป็นเพียงการแสดง?
ราชครูกำกริชแน่น เงยหน้ามองอาม่าบนแท่นบูชา
อาม่าเดินไปที่ขอบแท่นบูชาอย่างเฉยเมย และก้มลงมองเขาจากที่สูง
ลมหนาวพัดโชยมา อาม่าดุจเทพเซียน
ทันใดนั้นอาม่าผู้เป็นดั่งเทพเซียนก็ยื่นมือออกมา ใช้นิ้วเล็กวัดเทียบราชครูด้วยความดูถูก!
ราชครูที่กระอักเลือดออกมาถึงสามเซิง(ลิตร) “…!!!”
ทูตดำสิ้นลมแล้ว องครักษ์ก็พาตัวเขาลงไป
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่าย แต่หากอาม่าตัดสินใจฆ่าย่อมไม่ใช่คนดีเป็นแน่
อวี๋หวั่นไม่ทำให้หัวใจพระแม่ของตนต้องเสียเปล่า เธอก้าวลงจากเก้าอี้ มองหนานกงเยี่ยนที่ทั้งใบหน้าดำหม่นหมองเป็นเถ้าถ่าน ก่อนจะยกยิ้มมุมปากและพูดว่า “ทำอย่างไรดีละ ตี้จีองค์เล็ก เจ้าแพ้อีกแล้ว! ชนะสองในสามการประลอง ต่อไปไม่จำเป็นต้องแข่งขันอีกแล้ว เจ้ายินดีเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้นะ หรือว่าคิดจะเบี้ยวละ?”
เล็บแหลมของหนานกงเยี่ยนจิกแน่นเข้าไปในเนื้อ “เห้อเหลียนหวั่น เจ้าอย่าโอหังนัก!”
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยความสงสัย “เหตุใดข้าต้องไม่โอหัง? ข้ามีสิทธิ์ที่จะโอหัง บิดาข้าเป็นผู้สืบทอดตระกูลเห้อเหลียน มารดาข้าเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าว สามีข้าเป็นซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยน พ่อสามีข้าเป็นเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว พ่อเลี้ยงสามีก็เป็นแม่ทัพใหญ่ทหารม้าแห่งใต้หล้า บุตรชายก็เป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยเจ็ดจั้ง ข้าไม่โอหัง เช่นนั้นผู้ใดโอหังกัน?”
หนานกงเยี่ยนโกรธแทบหงายหลัง!
เคยเห็นคนหยิ่งยโส แต่ไม่เคยเห็นคนที่หยิ่งยโสเช่นนี้ นางไม่รู้ว่ามีคำกล่าวที่ว่าน้ำล้นเมื่อน้ำเต็มและรักสนุกทุกข์ถนัดหรือ?
ก็ดี เดิมทีนางก็ไม่ได้คิดจะทำเช่นนี้ แต่ในเมื่อพวกเขาบีบบังคับนางทุกทาง เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่านางโหดร้ายแล้วกัน!
“ซิวหลัว!”
หนานกงเยี่ยนออกคำสั่ง ลมปราณอันทรงพลังพุ่งขึ้นเหนือท้องฟ้า ราวกับตาข่ายหนาแน่นปกคลุมทั่วแท่นบูชาทั้งหมดในฉับพลัน
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ
เห็นเพียงท้องฟ้าที่ยังสว่างสดใสเมื่อวินาทีก่อน กลับมีเมฆหนาสีดำทะมึนขนาดใหญ่ลอยมาปกคลุมซ้อนทับกัน ทั่วท้องฟ้าพลันมืดลง
หนานกงเยี่ยนตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ฆ่าพวกมัน! อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
…………………………