ซือคงฉางเฟิงทนไม่ไหวจนต้องเบือนหน้าหนี
แม้ว่าจะเดาได้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อต้องมาประสบกับสถานการณ์จริง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจ
เขานึกถึงครั้งแรกเห็นราชันหมื่นสัตว์พิษที่เขาหมิงซาน ในตอนนั้นท่านแม่ของเขาเพิ่งจากไปไม่นาน ท่านพ่อก็แต่งงานมีภรรยาคนที่สอง ทำให้เขารู้สึกได้ว่าตนเองเป็นลูกที่ไม่ได้รับความสำคัญมากที่สุด
เขาเดินตามเส้นทางลับเข้าไปยังเขาหมิงซานโดยไม่ได้ตั้งใจ
ปรมาจารย์ซือคงไม่สนว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามาในเขาหมิงซานจะเป็นลูกศิษย์ของสกุลซือคงหรือว่าเป็นหลานชายของ
ตนเอง ขณะที่ปรมาจารย์ซือคงกำลังจะเงื้อมือสังหารเขา ราชันหมื่นสัตว์พิษก็หล่นลงบนมือของเขา
ราชันหมื่นสัตว์พิษในตอนนั้นเหมือนกับตอนนี้ไม่มีผิดเพี้ยน มันนอนขดตัวเป็นก้อนกลม
อาจเป็นเพราะถูกราชันหมื่นสัตว์พิษเลือก เขาจึงกลายเป็นผู้เลี้ยงราชันหมื่นสัตว์พิษ มีสิทธิ์เข้าไปในเขาหมิงซานได้อย่างอิสระ
นั่นทำให้ลูกผู้ไม่ได้รับความรักความเอ็นดูและไม่มีท่านแม่คอยปกป้อง กลับมีตำแหน่งของตนเองขึ้นมา ไม่แน่ว่าท่านพ่ออาจคิดอยากไล่ให้เขาออกจากสกุลซือคงอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่กล้าเอะอะโวยวายเพราะเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เข้าออกวิหารเจาหยางได้อย่างอิสระ
หลายปีมานี้ อาจดูคล้ายกับว่าเขาเป็นคนดูแลราชันหมื่นสัตว์พิษ แต่แท้จริงแล้วคงจะเป็นราชันหมื่นสัตว์พิษที่คุ้มกะลาหัวเขาเสียมากกว่า
อย่าว่าแต่ซือคงฉางเฟิงไม่อยากให้มันตายเลย อวี๋หวั่นก็ไม่ต่างกัน
ว่ากันว่าหัวใจของคนเราล้วนมีความรู้สึก แต่บางครั้ง ความเห็นอกเห็นใจที่คนเรามีต่อผู้อื่น ยังสู้หนอนตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำไป
“เจ้าซื่อบื้อ…ทำไมไม่หนีไปละ? พวกเราบาดเจ็บ ข้าก็ตั้งท้อง ใครจะไปเอาชนะเจ้าได้?” เมื่อเห็นท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับโชคชะตาที่ท่านตาทวดกำหนดไว้ให้ตนของราชันหมื่นสัตว์พิษ อวี๋หวั่นก็อดรู้สึกคล้ายกับอยากจะร้องไห้ออกมาไม่ได้
ราชันหมื่นสัตว์พิษยังคงนิ่งสงบราวกับสมณะเข้าฌาน
ไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นกับซือคงฉางเฟิงคิดไปเองหรืออย่างไร พวกเขารู้สึกว่าวันนี้ราชันหมื่นสัตว์พิษนิ่งกว่าปกติ
หรือว่า มันรอคอยชะตากรรมของตนเองมาตั้งแต่แรกแล้ว
มันไม่เคยคิดหนี
แผละ!
สัตว์พิษตัวน้อยร่วงหน้าคะมำลงมายังขั้นบันได
เจ้าหนอนพิษเฒ่าไปไหนก็จะพามันไปด้วย แต่ครั้งนี้กลับทิ้งมันไว้
สัตว์พิษตัวน้อยไล่ตามมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่ทัน มันตกลงไปในบ่อโคลน ตกลงไปในรอยแยกของพื้น แถมเกือบจะถูกไก่ป่ากินเสียแล้ว!
แต่มันก็ยังยืนหยัดอดทน เอาชีวิตรอดมาได้!
เพื่อมาตามหาเจ้าหนอนพิษเฒ่า!!!
สัตว์พิษตัวน้อยไต่ขึ้นไปบนกระโปรงของอวี๋หวั่นอย่างกระหืดกระหอบ แล้ววิ่งเข้าหาราชันหมื่นสัตว์พิษ
ราชันหมื่นสัตว์พิษกลับใช้พลังทำให้สัตว์พิษตัวน้อยกระเด้งออกไปทันใด
สัตว์พิษตัวน้อยตกลงบนพื้นดัง ‘แผละ’ มันมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปีนขึ้นไปหาอวี๋หวั่น
ราชันหมื่นสัตว์พิษก็ ‘ปล่อยพลัง’ ทำให้มันกระเด็นออกไปอีก
สัตว์พิษตัวน้อยก็ปีนขึ้นไปอีกครั้ง
แต่ไม่ว่าจะปีนขึ้นไปกี่ครั้ง ก็กระเด้งออกมาทุกครั้งจนหมดสติไป
มันเงยหน้าขึ้นมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตานองหน้า พลางมองไปยังราชันหมื่นสัตว์พิษซึ่งกำลังเข้าฌาณ
อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจจะลงมือกับราชันหมื่นสัตว์พิษ
ราชันหมื่นสัตว์พิษกระโดดลงไป และปีนขึ้นไปบนหม้อต้มยา
สัตว์พิษตัวน้อยไม่เข้าใจว่าราชันหมื่นสัตว์พิษกำลังทำอะไร แต่สัญชาตญาณบอกกับมันว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี มันกระโดด แล้วคว้าเท้าของราชันหมื่นสัตว์พิษไว้ ไม่ยอมปล่อยเป็นอันขาด!
ห้ามไปนะ!
ห้ามไปๆๆๆ!
ราชันหมื่นสัตว์พิษปีนลงไปในหม้อต้มยา มันสะบัดเท้าเล็กน้อย เพื่อให้สัตว์พิษตัวน้อยหลุดออกไป
สัตว์พิษตัวน้อยกลิ้งหลุนๆ ไปยังมุมห้อง ศีรษะเล็กของมันกระแทกเข้ากับกำแพงจนเจ็บไปหมด มันปีนขึ้นไปดึงราชันหมื่นสัตว์พิษลงมาจากหม้อต้มยาไม่รู้กี่ครั้ง แต่มันก็ไม่ขยับ ส่วนสัตว์พิษตัวน้อยนั้นตกลงมาทุกครั้ง
พลังมหาศาลเหนือจินตนาการระเบิดออกมาจากร่างเล็กๆ ของสัตว์พิษตัวน้อย และพุ่งไปชนจนราชันหมื่นสัตว์พิษที่อยู่ในเตาต้มยาซึ่งตั้งไว้อย่างมั่นคงหล่นลงมา
….และราคาที่มันต้องจ่ายก็คือเท้าของมัน ซึ่งหักไปข้างหนึ่ง
ราชันหมื่นสัตว์พิษกลับไม่ได้มองมันแม้แต่น้อย มันเพียงพลิกตัวกลับ แล้วปีนขึ้นไปบนเตา
สัตว์พิษตัวน้อยดึงขาที่หักออก หมายพุ่งชนเฉกเช่นที่ทำก่อนหน้านี้ แต่กลับถูกพลังของราชันหมื่นสัตว์พิษกดไว้
เมื่อเห็นว่าราชันหมื่นสัตว์พิษกำลังจะกระโดดลงไปในเตาอย่างไม่รู้สึกรู้สา สัตว์พิษตัวน้อยก็ร้องไห้ออกมาทันใด!
ปัง!
อวี๋หวั่นใช้เก้าอี้ทุบเตาต้มยาในทันใด!
เธอหายใจหอบ พร้อมกับบอกว่า “ห้ามใครตายเป็นอันขาด! ข้า…ข้าจะหาวิธีอื่น!”
ซือคงฉางเฟิงกำหมัดแน่น นัยน์ตาของเขาแดงก่ำ “ไม่มีวิธีแล้ว ท่านปรมาจารย์กับราชันหมื่นสัตว์พิษ…คนหนึ่งอยู่ อีกคนหนึ่งก็ต้องตาย”
“ใครบอกว่าไม่มีวิธี?”
เสียงน่าเกรงขามอันคุ้นเคยดังขึ้นจากในเรือน
อวี๋หวั่นและซือคงฉางเฟิงหันไปมองพร้อมกัน ก็เห็นประมุขสกุลซือคงสวมอาภรณ์สีกรมท่า มือข้างหนึ่งไพล่หลัง เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ท่านพ่อ?” ซือคงฉางเฟิงตะลึงงัน
อวี๋หวั่นแตะใบหน้าของตน จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าตนเองปลอมตัวแล้ว เธอไม่ใช่ลูกสะใภ้ของเขาซึ่งเป็น ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งหมิงตู’ อีกต่อไป เธอจึงวางใจ
“ประมุขซือคง” อวี๋หวั่นเอ่ยทักทาย
“ท่านมาได้อย่างไร” ซือคงฉางเฟิงก้าวขึ้นไปด้านหน้า
ประมุขสกุลซือคงตอบว่า “เขาหมิงซานเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าจะไม่มาดูได้หรือ? ข้าเป็นประมุขสกุลซือคง การปกป้องเขาหมิงซานก็นับเป็นหน้าที่ของข้า”
ความจริงก็คือ เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของท่านปรมาจารย์ไม่ได้มาหนึ่งคืนเต็มๆ จึงนึกสงสัยว่าท่านปรมาจารย์อาจได้รับบาดเจ็บ เพราะฉะนั้นจึงกล้าเข้ามาในเขาหมิงซาน แน่นอนว่าเขามิได้มีเจตนาร้ายต่อท่านปรมาจารย์ ทว่ากลับตรงกันข้าม ไม่มีผู้ใดหวังท่านปรมาจารย์จะอยู่เป็นเสาค้ำทะเลตงไห่ให้กับสกุลซือคงตราบนานเท่านานได้มากเท่าเขาแล้ว
“เจ้าคือ…” ประมุขสกุลซือคงมองไปยังอวี๋หวั่น เขารู้สึกไปเองหรือเปล่า? ไฉนจึงรู้สึกเหมือนเคยรู้จักเด็กคนนี้มาก่อน?
ซือคงฉางเฟิงกังวลว่าท่านพ่อของตนจะจำอวี๋หวั่นได้ จึงเข้ามายืนขวางหน้าอวี๋หวั่นไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นางเป็นทายาทของท่านปรมาจารย์ รุ่นเดียวกับข้า นางมีชื่อว่าอาหวั่น”
ประมุขสกุลซือคงมองอวี๋หวั่น “ทายาทของสตรี…”
เขาพูดออกมาเพียงไม่กี่คำ แล้วก็หยุดลงทันใด
อวี๋หวั่นรู้ดีว่าคำที่เขาไม่ได้พูดออกมาก็คือคำว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอี
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ประมุขซือคง”
ประมุขซือคงไม่ใช่คนโง่เขลา เพียงแค่เห็นใบหน้าของอวี๋หวั่น เขาก็เดาเรื่องราวได้ส่วนหนึ่งแล้ว ทว่าในตอนนี้ไม่ใช่เวลามาซักไซ้ไล่เลียงเรื่องนี้ แม้จะไม่รู้ว่าท่านปรมาจารย์บาดเจ็บหนักเพียงใด แต่ในสถานการณ์ที่ต้องยอมสละราชันหมื่นสัตว์พิษ ก็คงจะเป็นสถานการณ์ที่ไร้ทางออกอื่นจริงๆ
ซือคงฉางเฟิงเห็นว่าบิดาของตนไม่ถามถึงสถานการณ์ ก็ไม่ได้อธิบายมากนัก เพียงแต่ถามต่อจากสิ่งที่ประมุขซือคงพูดเอาไว้ “ท่านพ่อ ตอนที่ท่านเข้ามา ท่านบอกว่ามีวิธีอื่นอีก? วิธีอะไรหรือขอรับ?”
“ราชันหมื่นสัตว์พิษ” ประมุขสกุลซือคงตอบ
เรื่องนี้ไม่บอกก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความแปลกใจ
เขายกมือขึ้นมา แล้วบอกว่า “ฟังข้าพูดให้จบก่อน ข้าไม่ได้หมายถึงราชันหมื่นสัตว์พิษของท่านปรมาจารย์ และไม่ใช่เจ้าตัวเล็กนั่น แต่หมายถึง…”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาซับซ้อน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมาว่า “ราชันหมื่นสัตว์พิษของสกุลซาง”
“สกุลซาง?” ซือคงฉางเฟิงตื่นตะลึง สกุลซางคือสกุลเดิมของฮูหยินซือคง มีฐานะเป็นรองเพียงสกุลซือคงเท่านั้น ทว่าเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสกุลซางก็มีราชันหมื่นสัตว์พิษ
ประมุขสกุลซือคงกระแอม แล้วพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “แม่เจ้าดื่มจนเมามาย และหลุดปากพูดออกมา”
ท่านแม่ที่เขาพูดถึงผู้นี้ ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของซือคงฉางเฟิง หากแต่เป็นแม่เลี้ยงของเขา
ประมุขซือคงกล่าวว่า “ราชันหมื่นสัตว์พิษของสกุลซางไม่เหมือนกับราชันหมื่นสัตว์พิษของท่านปรมาจารย์ ราชันหมื่นสัตว์พิษของท่านปรมาจารย์กินหนอนพิษเป็นอาหาร ส่วนราชันหมื่นสัตว์พิษของสกุลซางกินเลือดมนุษย์ มันดุร้ายและอันตราย ถ้าหากพวกเจ้าต้องการใช้มัน ก็จำต้องระวังให้มาก”
เมื่อซือคงฉางเฟิงได้ฟังประโยคสุดท้ายดังนั้น ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้…เพราะท่านจะไม่ออกหน้าตามหาราชันหมื่นสัตว์พิษของสกุลซางใช่ไหมขอรับ?”
ประมุขสกุลซือคงถอนหายใจ “สกุลซางไม่มีทางยอมรับหรอกว่าพวกตนเลี้ยงสิ่งที่อันตรายเช่นนั้น ให้ข้าไปตามหา ไหนเลยจะหาพบ?”
ซือคงฉางเฟิงหัวเราะ “ที่จริงแล้ว ท่านพ่อก็แค่ไม่อยากให้ฮูหยินต้องลำบากใจ ท่านพ่อรักฮูหยินเหลือเกินนะขอรับ ในเมื่อท่านพ่อกับฮูหยินรักกันมากถึงเพียงนี้ แล้วตอนนั้นแต่งงานกับท่านแม่ทำไมหรือขอรับ?”
“เจ้า… เจ้าเด็กคนนี้…” ประมุขสกุลซือคงโมโหจนหน้าดำหน้าแดง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ใช่เวลาจะมาถกเถียงกันเรื่องนี้หรือ? พวกเจ้าไม่กลัวว่าถ้าหากล่าช้ากว่านี้อีก ชีวิตของท่านปรมาจารย์ก็ยิ่งเสี่ยงอันตรายหรือ”
พูดอย่างกับว่าท่านตาทวดมีเวลาเหลือมากมาย มีเพียงอวี๋หวั่นนั้นที่รู้ว่าเขาอาจอยู่ไม่ถึงพรุ่งนี้ด้วยซ้ำไป
อวี๋หวั่นมองไปยังประมุขสกุลซือคง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “สรุปแล้วของที่สกุลซาง…”
ประมุขสกุลซือคงปัดมือ พร้อมกับบอกว่า “ไม่ต้องหยั่งเชิงข้าหรอก มันเป็นเพียงของที่อันตรายมากก็เท่านั้น สิ่งที่ข้ากังวลก็คือพวกเจ้าจะสามารถนำมันออกมาได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าไม่ได้หนอนพิษ มิหนำซ้ำยังทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นอีก”
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรื่องจับหนอนพิษ ข้าจะคิดหาวิธีเอง ขอถามท่านประมุขสักหน่อย ว่าสกุลซางเก็บราชันสัตว์พิษไว้ที่ใด?”
ประมุขสกุลซือคงส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่กระจ่าง ข้าช่วยได้เพียงพาพวกเจ้าเข้าไปในสกุลซาง ส่วนหลังจากเข้าไปแล้ว พวกเจ้าต้องหาวิธีเอง แต่พวกเจ้าต้องสัญญากับข้าเรื่องหนึ่ง เมื่อใดที่ถูกจับ พวกเจ้าห้ามบอกว่าเกี่ยวข้องกับสกุลซือคง!”
ซือคงฉางเฟิงร้องว่า “ท่านพ่อ!”
ประมุขสกุลซือคงมองเขาเพื่อปรามไม่ให้พูด “ส่วนเจ้า ห้ามเข้าไป!”
……
อวี๋หวั่นกลับมายังห้อง และเล่าเรื่องของประมุขสกุลซือคงให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง
เยี่ยนจิ่วเฉาจึงพูดโดยปราศการความลังเล “เช่นนั้นก็ไปสกุลซาง”
เขาพูดพลางมองออกไปยังดวงจันทร์กลมกระจ่างนอกหน้าต่าง “แต่พวกเรามีเวลาเพียงสิบสองชั่วยาม พระจันทร์เต็มดวงของวันพรุ่งนี้จะทำให้ผลข้างเคียงของวิชาอายุวัฒนะรุนแรงที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าหากยังหาราชันสัตว์พิษของสกุลซางไม่พบ…ก็คงต้องใช้ราชันหมื่นสัตว์พิษตัวนั้น”
……………….