ตกกลางคืน ซือคงฉางเฟิงรุดมายังเขาหมิงซาน เขานำตำรามาให้อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉา เขายังไม่รู้เรื่องหลัวช่าของสกุลซาง ตำราทั้งหมดที่เขานำมาให้ล้วนเกี่ยวข้องกับการสืบทอดสกุลซือคง การตามหาตัวยานั้นสำคัญ ทว่าในตอนนี้ สิ่งที่ไม่อาจรอช้าได้ก็คือเรื่องของหลัวช่า ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจไม่ทันได้มีชีวิตรอดไปตามหาตัวยาเสียด้วยซ้ำ
“ข้าขอไปหอตำราสกุลซือคงได้หรือไม่?” อาม่าถาม
“ย่อมได้” ซือคงฉางเฟิงตอบอย่างไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของเขากับอวี๋หวั่น หากแต่เป็นเพราะบัดนี้สกุลซางได้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเขาทุกคน สกุลซือคงไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง
ซือคงฉางเฟิงพาอาม่าไปยังหอตำรา
สกุลซือคงเก็บตำราไว้มากมาย แม้แต่ลูกศิษย์สกุลซือคงก็ยังอ่านไม่หมด ทั้งสองอยู่ในหอตำราเป็นเวลานาน กลางดึกจึงจะออกมา จากนั้นอาม่าก็ยังไม่ได้กลับไปพักผ่อนที่ห้อง แต่กลับเขียนรายการสิ่งที่ให้ซือคงฉางเฟิงรีบไปทำโดยเร็วที่สุด
ซือคงฉางเฟิงเรียกยอดฝีมือและช่างที่เก่งกาจที่สุดในสกุลซือคงมา และทำสิ่งของตามรายการออกมาภายในคืนนั้น
เย็นวันต่อมา เยี่ยนจิ่วเฉาก็ออกมาจากห้องลับ
อาม่ารอเขาอยู่นานแล้ว ในที่สุดเขาก็ออกมา อาม่าจึงรีบเรียกเขา “จิ่วเฉา”
“อาม่า” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า
อาม่ามองไปยังห้องด้านหลังของเยี่ยนจิ่วเฉา เมื่อครู่เขาเดินผ่านห้องนี้ แต่ไม่ได้เข้าไป ดูแล้วคล้ายกับกำลังจะออกไปข้างนอก “เจ้าจะลงจากเขาหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “ข้าจะไปเขตหวงห้ามของสกุลซางสักหน่อย”
อาม่าชะงักไป “เจ้าจะไปฆ่าหลัวช่าหรือ?”
“ถ้ามีโอกาสก็ฆ่า” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
อาม่ามองไปยังหุบเขาซึ่งทอดยาวไปไกลไร้ที่สิ้นสุด “ตอนนั้นข้าอยู่ไกล ไม่อาจคาดเดาระดับที่แน่ชัดของหลัวช่าได้ แต่ข้าเดาว่าวรยุทธ์ของเขาไม่ได้เป็นรองท่านอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ เพราะฉะนั้นพวกเราจะต้องระวังมาก”
“คุณชาย ข้าจะไปดูลาดเลาก่อน”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านข้างของเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาหันไปมอง ต้นเสียงก็คืออิ่งสือซันซึ่งยืนอยู่ด้านล่างระเบียงทางเดิน สายตาจับจ้องไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยท่าทางกระตือรือร้น
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองเขา “ฟื้นแล้วหรือ?”
“ขอรับ” อิ่งสือซันยกมือขึ้นประสานกัน “วรยุทธ์ก็ฟื้นฟูแล้วขอรับ”
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องเขาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ พลังภายในสายหนึ่งกระแทกเข้ากับหน้าอกของอิ่งสือซัน เพื่อสำรวจจุดตันเถียนและเส้นเลือดของเขา จากนั้นจึงเก็บพลังภายในกลับมา เขาเอามือไพล่หลัง หันหลังกลับไปยังห้องพร้อมบอกว่า “ให้อิ่งลิ่วไปกับเจ้าด้วย”
อิ่งสือซันยกมือขึ้นประสานกัน “ขอรับ!”
……
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม อิ่งสือซันก็กลับมายังห้องของอิ่งลิ่ว อิ่งลิ่วรีบปราดเข้าไปหา “คุณชายว่าอย่างไร? เขาตอบตกลงหรือยัง?”
“ตกลงแล้ว เย็นนี้เจ้าไปเขตหวงห้ามของสกุลซางกับข้า” อิ่งสือซันกังวลว่าวรยุทธ์ของตนเองไม่มากพอ คุณชายอาจไม่ยอมให้เขาไป อันที่จริงเขายินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อคุณชาย มากกว่านอนนิ่งๆ เป็นคนป่วยอยู่ในห้อง
“รอฟ้ามืดแล้วพวกเราค่อยออกไป” เขาบอก
อิ่งลิ่วพยักหน้า “อื้ม เช่นนั้นเจ้าไปหาอะไรกินก่อน ข้าจะไปถามชิงเหยียนว่าเขตหวงห้ามของสกุลซางไปอย่างไร”
“ถามอะไรละ? ข้าไปกับพวกเจ้าก็ได้นี่นา” ชิงเหยียนสาวเท้าเข้ามา ในมือถือห่อผ้าหนักห่อหนึ่งเข้ามา
สายตาของอิ่งลิ่วไปหยุดที่ห่อผ้า “นั่นอะไร?”
“ของที่ต้องใช้คืนนี้อย่างไรเล่า ไม่ได้จะไปสอดแนมหลัวช่าโลหิตของสกุลซางหรอกหรือ? อย่างไรก็ต้องนำของป้องกันตัวนี่ไปด้วย” ชิงเหยียนเลิกคิ้ว แล้วนำของที่อาม่าให้ซือคงฉางเฟิงเตรียมไว้ออกมาทีละชิ้นๆ “นี่คือน้ำมนต์ ใช้สำหรับกลบกลิ่นอายของหน่วยกล้าตายบนร่างของพวกเจ้า นี่คือยาโลหิต เข้าตาจนเมื่อไรก็ป้อนให้หลัวช่าโลหิตกิน พวกเจ้าจะได้ไม่กลายเป็นเครื่องสังเวยเสียแทน แล้วก็มีเจ้านี่ โซ่เหล็กสำหรับมัดหลัวช่าโดยเฉพาะ แต่ข้าก็ภาวนาให้พวกเราไม่ต้องใช้โซ่เส้นนี้ เพราะนั่นหมายความว่าพวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับหลัวช่า พวกเราจะตายหรือไม่นั้นเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือห้ามแหวกหญ้าให้งูตื่น มิเช่นนั้นวันหลังคงโจมตีได้ยาก”
“โอ้ ได้ ข้าจำได้แล้ว” อิ่งลิ่วแบ่งน้ำมนต์และยาโลหิตเป็นสามส่วน เก็บไว้คนละหนึ่งส่วน ส่วนโซ่เหล็กมีเพียงเส้นเดียว จึงให้ชิงเหยียนเก็บไว้
“เกือบลืมเจ้านี่ไปแล้ว” ชิงเหยียนหยิบขวดกระเบื้องใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ “นี่คือยาที่ทำให้เลือดแข็งตัว เทยานี้ลงไปในบ่อเลือด ถ้าหากมันกลายเป็นราชาหลัวช่าแล้ว ยานี้จะใช้กับมันไม่ได้ผล”
ดังคำกล่าวที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง โอกาสที่จะชนะจากการเผชิญหน้านั้นมีน้อยนัก ต้องลอบโจมตี ทว่าก่อนที่จะลอบโจมตีย่อมต้องศึกษานิสัยและที่อยู่ของหลัวช่าให้กระจ่างเสียก่อน บ่อเลือดเป็นเพียงสถานที่ฝึกวิชาของหลัวช่า มันไม่ได้อยู่ที่นั่นตลอดเวลา
นอกจากนั้น อีกหนึ่งคำถามที่สำคัญก็คือหลังจากที่ลอบโจมตีแล้ว พวกเขาจะกลับออกมาอย่างไร คืนนี้พวกเขาจะต้องได้รายละเอียดของหลัวช่าและแผนผังทั้งหมดของเขตหวงห้ามมาให้ได้
อิ่งสือซันมองไปยังท้องฟ้าซึ่งมืดลงแล้ว “นี่ก็ช้ามากแล้ว ออกเดินทางกันเถอะ!”
ทุกคนเปลี่ยนไปใส่ชุดสำหรับอำพรางตัว จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปยังเขตหวงห้ามของสกุลซาง
เขตหวงห้ามของสกุลซางอยู่ทางทิศตะวันตกของคฤหาสน์สกุลซาง ด้านหนึ่งหันเข้าหาคฤหาสน์สกุลซาง ส่วนอีกด้านหนึ่งหันเข้าหาเทือกเขาสูง
ชิงเหยียนและเยว่โกวหลงเข้าไปในเขตหวงห้ามผ่านเทือกเขาแห่งนี้
“ข้าจำได้ว่ามีแม่น้ำสายหนึ่ง…” ชิงเหยียนพูด
“อยู่ตรงนั้น!” อิ่งลิ่วพบลำธารสายหนึ่งซึ่งตัดผ่านเทือกเขา
พวกเขาเดินข้ามลำธารไป
เส้นทางหลังจากนี้ ชิงเหยียนจำไม่ได้แล้ว แต่เพราะพวกเขาเคยเดินผ่านมาก่อน อิ่งลิ่วจึงพบรอยเท้าของชิงเหยียนและเยว่โกว พวกเขาทั้งสามจึงเดินตามรอยเท้าไปจนถึงเขตหวงห้ามของสกุลซางในที่สุด
ชิงเหยียนไม่ใช่หน่วยกล้าตาย ประสาทสัมผัสของบรรดาซิวหลัวสกุลซางจึงไม่ว่องไวต่อกลิ่นอายของเขาเท่าไรนัก แต่อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันนั้นต่างออกไป ทั้งสองจำต้องหยิบน้ำมนต์ของอาม่ามาประพรมบนร่างกาย
อิ่งลิ่วได้กลิ่นฉุนรุนแรง เขาไอโขลกออกมาจนน้ำตาไหล “บอกข้ามาว่าน้ำมนต์นี่ทำมาจากอะไร ทำไมกลิ่นจึงประหลาดเช่นนี้”
ชิงเหยียนครุ่นคิด “คงจะเป็น…ฉี่ม้า?”
อิ่งลิ่ว “?!”
ทั้งสามเดินทางต่อไป
ทันใดนั้นอิ่งสือซันก็หยุดอิ่งลิ่วกับชิงเหยียนไว้ แล้วกระซิบว่า “หั่วเจ๋อจื่อห้ามเอาไป ไข่มุกราตรีก็ทิ้งไปเสีย”
“ทำไมหรือ?” อิ่งลิ่วเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“หลัวช่าไม่ชอบ” อิ่งสือซันบอก
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” อิ่งลิ่วมองเขาด้วยความฉงนใจ
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว “สัญชาตญาณ ทิ้งไปเร็ว อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“โอ้” อิ่งสือลิ่วทำตามอย่างว่าง่าย
ชิงเหยียนเบ้ปาก “เขาให้เจ้าทิ้ง เจ้าก็ทิ้ง ว่าง่ายขนาดนั้นเชียวรึ? เป็นภรรยาเขาก็ไม่ใช่!”
อิ่งสือซันมองชิงเหยียนด้วยสายตาเย็นเยียบ “พูดมาก ทิ้งของเจ้าไปด้วย!”
สุดท้ายแล้วชิงเหยียนเงียบปากด้วยความขุ่นเคือง
หลังจากที่โยนสิ่งของที่ส่องแสงได้ทิ้งไป ทั้งสามคนก็มาถึงด้านหน้าปากถ้ำซึ่งแลดูไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง
พวกเขาอยู่ใกล้กับเขตหวงห้ามของสกุลซางเข้าไปทุกที จนทั้งสามถึงกับกลั้นหายใจ
ที่นี่หรือ? อิ่งลิ่วส่งสายตาถามชิงเหยียน
ชิงเหยียนขมวดคิ้ว เหมือนจะใช่ แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่…เขาจำไม่ได้แล้ว…ถ้ำที่ไหนก็เหมือนกันหมดไม่ใช่หรือ?
อิ่งลิ่วส่งสายตาให้อิ่งสือซัน อิ่งสือซันพยักหน้า ทำท่าทางบอกอิ่งลิ่ว อิ่งลิ่วเข้าใจในทันที เขาดึงอิ่งสือซันและชิง
เหยียนไปด้านหลัง ส่วนตนเดินนำเข้าไปก่อน
ชิงเยียนกระตุกแขนเสื้อของอิ่งสือซัน ทำไมถึงให้อิ่งลิ่วเข้าไปก่อนเล่า? ถ้าหากด้านในมีอันตราย เขาก็ตายเป็นคนแรกน่ะสิ!
นี่คือความแตกต่างระหว่างหน่วยสอดแนมและมือสังหาร การสำรวจเส้นทางเป็นสิ่งที่หน่วยสอดแนมเชี่ยวชาญ อิ่งสือซันรับหน้าที่โจมตี ในการปฏิบัติหน้าที่ หากมีเพียงคนเดียวที่สามารถมีชีวิตรอดไปได้ คนนั้นย่อมต้องเป็นมือสังหาร เพราะถ้าหากมือสังหารไม่สามารถนำข้อมูลกลับไปได้ หน่วยสอดแนมที่มีวรยุทธ์เป็นรองยิ่งไม่มีทางทำได้
กระนั้นแล้ว อิ่งสือซันก็ไม่ได้ไตร่ตรองไปจนถึงจุดนั้น จึงให้อิ่งลิ่วไปเผชิญอันตราย
ด้านในมีสัญลักษณ์ที่ชิงเหยียนและเยว่โกวทำไว้ เขาไม่รู้เรื่องนี้ ยิ่งเดินเข้าไปลึก ทัศนวิสัยก็ยิ่งแย่
ความจริงเป็นประจักษ์แล้วว่า การตัดสินใจของอิ่งสือซันนั้นถูกต้อง ถ้ำในเขานั้นแคบเหลือเกิน แต่เมื่อเดินเข้าไปแล้วจึงพบกับถ้ำขนาดใหญ่มหึมา ในถ้ำใหญ่นั้นมีทางแยกอีกห้าเส้นทาง แต่ละเส้นทางจะนำไปสู่สถานที่ที่แตกต่างกัน
อิ่งลิ่วดูลาดเลาอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจเข้าไปยังถ้ำที่สามนับจากทางซ้าย
อิ่งสือซันและชิงเหยียนเดินตามไป
ตลอดเส้นทางที่เดินไป แม้แต่หนูตัวเดียวพวกเขาก็ไม่เห็น เห็นได้ชัดว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นน่ากลัวเพียงใด
ไม่รู้ว่าเดินมาไกลแค่ไหน กลิ่นคาวของเลือดก็เริ่มรุนแรงขึ้น ชิงเหยียนยกมือขึ้นมากดหน้าอก ยกมือขึ้นทำท่าทำทางว่ากลิ่นเลือดนี้เหม็นกว่าครั้งที่แล้วอีก
อิ่งสือซันขมวดคิ้ว ดูแล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงจะทำให้หลัวช่าโลหิตแข็งแกร่งขึ้นมาก
ทั้งสามอดไม่ได้ที่จะกำยาโลหิตในมือแน่น ยาโลหิตทำจากเลือดของสัตว์ ประสิทธิภาพไม่อาจเทียบกับเครื่องสังเวย
แต่ใช้เป็นอาหารของมันได้
เดินไปได้สามสี่ก้าว พวกเขาก็เดินมายังถ้ำขนาดใหญ่อีกแห่ง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเขาก็คือบ่อเลือดสีแดงฉาน กลางบ่อมีสะพานไม้สายหนึ่ง
ชิงเหยียนอ้าปากค้าง สีของเลือดเข้มกว่าเดิมเสียอีก…
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าอีกเสียงหนึ่งดังมาจากปากถ้ำ ทั้งสามจึงรีบเข้าไปหลบด้านหลังก้อนหิน
“เป็นเรื่องจริง ต้องเติมเลือดลงไปทุกวัน!”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าเจ้านั่นเกิดโกรธขึ้นมา ทั้งข้าทั้งเจ้าคงหนีไม่ทันแล้ว!”
“มันไม่อยู่ด้วยซ้ำ!”
เป็นราชาซิวหลัวระดับเจ็ด
ในมือของทั้งสองถือเลือดมาคนละสองถัง เทลงไปในบ่อเลือด เมื่อเสร็จแล้ว พวกเขาก็รีบออกไปโดยไม่หันกลังกลับมามอง
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วมองหน้ากัน สองคนนั้นเป็นถึงซิวหลัวระดับเจ็ด ยังสู้หลัวช่าโลหิตไม่ได้ น่ากลัวเกินไปแล้ว
“เมื่อครู่พวกเขาบอกว่าหลัวช่าโลหิตไม่อยู่?” ชิงเหยียนกระซิบถาม
“อื้ม” อิ่งลิ่วพยักหน้า “เขาว่าอย่างนั้น”
“พอดีเลย! จะได้ทดลองใช้ยาทำให้เลือดแข็งตัว!” ชิงเหยียนบอก
อิ่งลิ่วหยิบขวดยาออกมา
“ข้าเอง” อิ่งสือซันบอก
เขาหยิบขวดยามาจากมือของอิ่งลิ่ว ดึงจุกขวดออก แล้วคุกเข่าลงข้างบ่อเลือด
ขณะที่อิ่งสือซันกำลังจะเทยาลงไปในบ่อเลือดนั้น มืออาบเลือดข้างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากบ่อ แล้วลากอิ่งสือซันลงไป!
………………………