วิหารเจาหยาง ไข่ดำน้อยทั้งสามกำลังจะเข้านอน พวกเขากินอาหารและอาบน้ำจากความช่วยเหลือ (ทำลาย) ของซือคงเย่ ซือคงเย่มองดูผลงานชิ้นเอกของตนด้วยความพึงพอใจ ห่อผ้าเช็ดตัวให้ไข่ดำน้อยทั้งสามกลายเป็นดักแด้ไหมตัวเล็ก ไม่มีแม้แต่แรงจะกลอกตา
ห่อผ้าขนหนูถึงสามสิบครั้ง ท่านเทียดดูแลพวกเขา หรือพวกเขาดูแลท่านเทียดกันแน่?
อีกอย่าง พวกเขาอายุสามขวบ ไม่ใช่สามเดือน ต้องห่อให้เหมือนน้องชายด้วยหรือ?
ไข่ดำน้อยทั้งสามถูกห่อเหมือนเด็กแรกเกิด ซือคงเย่อุ้มทั้งสามไปที่ห้องของตนอย่างมีความสุข สั่งให้คนไปขโมยเปลเด็กมา และวางไข่ทั้งสามลงในเปล
…โชคดีที่เปลขนาดใหญ่พอ ไม่เช่นนั้นคงยัดไม่ลง!
ทั้งสามแสดงออกว่าพวกเขาไม่ได้นอนในเปล พวกเขานอนบนเตียง นอนบนเตียง นอนบนเตียง!
“เด็กดี” ซือคงเย่แกว่งไกวเปลด้วยรอยยิ้มปลื้มปีติ รอให้พวกเขาหลับไปด้วยความอดทนอย่างหาที่สุดไม่ได้
ไข่ดำน้อยทั้งสามทอดถอนใจราวกับเป็นผู้ใหญ่ อยู่กับท่านเทียดที่ไม่สามารถดูแลเด็กได้ ช่างน่าเหนื่อยใจยิ่งนัก!
หากเป็นคนอื่นคงร้องไห้เพราะถูกซือคงเย่ ‘เด็ดดอกไม้[1]’ ไปนานแล้ว ทั้งสามแข็งแรงและเลี้ยงง่าย อยู่ในเปลราวกับเป็นข้าวเหนียวห่อ ในที่สุดก็ผล็อยหลับไป
ซือคงเย่มองดูไข่อ้วนตัวเล็กที่กำลังหลับใหล เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าเลี้ยงเด็กได้ดี!”
ซือคงเย่จ้องไปที่เด็กๆ ครู่หนึ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ จู่ๆ ก็นึกถึงคุณชายเล็กสกุลหลาน พลันส่ายหัวอย่างภาคภูมิใจ ไม่น่ารักเช่นลื่อน้อยของเขา แล้วก็นึกถึงหลัวช่าน้อยของสกุลซาง เจ้าตัวเล็กนั่นก็…
ไม่ ไม่ ไม่ เขาคิดอะไรอยู่! เขาคิดว่าบุตรคนอื่นน่ารักพอๆ กับลื่อของเขาเองหรือ? เขาคิดไปได้อย่างไรกัน?! เห็นๆ อยู่ว่าลื่อน้อยของเขาน่ารักที่สุด น่ารักที่สุดในโลก!
ไข่ดำน้อยที่น่ารักที่สุดในโลกส่งเสียงกรน ซือคงเย่ห่มผ้าให้ทั้งสามอย่างพอใจและออกจากห้อง เขาคิดว่าจะไปอาบน้ำ แต่ก็พบกับอวี๋หวั่นที่ทางเดินเสียก่อน
ซือคงเย่กล่าวด้วยความประหลาดใจ “อาหวั่น? ดึกเช่นนี้ เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ? เจ้าเป็นห่วงพวกต้าเป่าหรือ? ไม่ต้องกังวลไป ข้าดูแลเด็กๆ ได้อย่างดี! พวกเขาหลับไปแล้ว”
ไข่ดำน้อยที่ถูกห่อเหมือนข้าวเหนียวห่อ แล้วยังถูกคลุมด้วยผ้าห่มฤดูหนาวได้ตื่นขึ้นเพราะความร้อน…
“ไม่ใช่เรื่องนี้” อวี๋หวั่นกล่าว “ข้าอยากจะถามเรื่องราชาหลัวช่า ปล่อยเขาไปเช่นนั้น หลังจากเขาหายดีแล้ว จะยิ่งรับมือยากขึ้นหรือไม่?”
ซือคงเย่กล่าวช้าๆ “หากไม่ใช่เพราะหลัวช่าน้อย เจ้าและลูกๆ คงจะตายไปแล้ว เช่นนั้นถึงแม้ข้าจะฆ่าซางชิวหาน จะมีประโยชน์อันใด? นี่คือสิ่งที่พวกเราหมิงซานติดค้างหลัวช่าน้อย ตามหลักควรตอบแทนมัน เรื่องระหว่างข้ากับซางชิวหาน เป็นบุญคุณความแค้นระหว่างเราสองคน แต่จากการสังเกตของข้า ซางชิวหานห่วงใยหลัวช่าน้อยยิ่งนัก ขอเพียงยังมีมันอยู่ ก็สามารถหยุดยั้งซางชิวหานไม่ให้ทำอะไรพวกเจ้าได้”
อวี๋หวั่นส่ายหัว “ข้าหาได้กังวลถึงพวกข้าเอง แต่กังวลถึงท่าน ท่านตาทวด”
ซือคงเย่ตบไหล่อวี๋หวั่น และยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ามีสิ่งใดให้น่ากังวล? อาหวั่นคิดมากไปแล้ว”
“ท่านแน่ใจหรือว่าหลังจากราชาหลัวช่าหายดีแล้ว จะสามารถเอาชนะเขาได้?” อวี๋หวั่นถาม
“เอาชนะได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ” เขาได้พบอาหวั่นและบุตรของอาหวั่น ต่อให้ตายก็ไม่เสียใจแล้ว “ดึกมากแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ ข้าก็อยากพักผ่อนเช่นกัน”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้าเดินกลับไป ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็หยุดและหันกลับไปมองซือคงเย่ “ก่อนหน้านี้ข้ามาบอกท่านไม่ทัน ลูกสาวและหลานสาวของท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังไม่เคยพบพวกเขา”
ซือคงเย่คิ้วกระตุก และสาวเท้าออกจากเรือนไป!
อวี๋หวั่นประหลาดใจ “ท่านตาทวด ท่านจะไปที่ใด?” ไม่ใช่อยากพักผ่อนหรือ?
ซือคงเย่กล่าวอย่างมีปณิธานยิ่งใหญ่ “ข้าคิดว่า ข้ายังฝึกฝนได้อีกซักพัก!!!”
…
ว่ากันว่าหลังจากที่ประมุขซางถูกขับออกจากเรือนของราชาหลัวช่า เขาก็กลับไปห้องของตนด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
หลังจากองครักษ์หลี่ตายในหน้าที่ ข้างกายประมุขซางก็กลายเป็นคนสนิทแซ่หวง
องครักษ์หวงก้าวมาด้านหน้าและกล่าวว่า “นายท่าน โปรดระงับโทสะ”
ประมุขซางนั่งบนเก้าอี้แล้วเอ่ยว่า “จะให้ข้าสงบได้อย่างไร? เป็นราชาหลัวช่าแล้ว ก็เบือนหน้าหนีไม่สนคน ข้าว่าเขาคงลืมไปแล้วว่าตนเองยังแซ่ซาง เขาเป็นคนสกุลซาง!”
เขากำลังโกรธจัด องครักษ์หวงจึงไม่กล้าตอบกลับ
“เกิดอะไรขึ้นที่หมิงซานกันแน่?” ประมุขซางขมวดคิ้ว
องครักษ์หวงไม่ได้ร่วมแผนโจมตีที่เขาหมิงซาน แต่เขาก็อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาเขา ประกอบกับประสบการณ์ที่พวกเขาเคยจับหลัวช่าน้อย เขาแทบจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องได้ในทันที “เรื่องนี้…เกรงว่าต้องเริ่มตั้งแต่หลัวช่าหนีออกจากเขตหวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังจากมันหนีไปก็น่าจะขึ้นไปที่เขาหมิงซาน อาศัยอยู่ที่นั่นสองสามวัน ก็ถูกคนพวกนั้นเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน คนของพวกเราไปตามจับมัน ทำให้มันบาดเจ็บ และน่าจะเป็นกลุ่มหมิงซานที่รักษามัน”
“โชคดีนัก!” ประมุขซางกัดฟัน
องครักษ์หวงกล่าวต่อ “ยามที่ราชาหลัวช่าบุกโจมตีหมิงซาน ข้าน้อยเห็นหลัวช่าน้อยช่วยชีวิตสตรีและบุตรอีกสามคนของนางไปจากมือของเขา ข้าน้อยคิดว่า ปมเงื่อนของเรื่องนี้อยู่ที่หลัวช่าน้อย!”
ประมุขซางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไอ้เฒ่านั่นไม่ปฏิบัติฝึกฝนอยู่ในเขตต้องห้ามดีๆ มาแอบเลี้ยงหลัวช่าน้อย! เห็นอยู่ว่าปีศาจ กลับเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ ช่างน่าขันสิ้นดี!”
องครักษ์หวงพยักหน้าแทนคำตอบ
ประมุขซางกล่าวอย่างครุ่นคิด “ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด เงื่อนสำคัญอยู่ที่ไอ้หนูนั่น ตราบใดที่มันปกป้องหมิงซาน ราชาหลัวช่าก็จะไม่มีทางฆ่าซือคงเย่ พวกเราสกุลซางได้เปิดฉากเป็นศัตรูกับสกุลซือคงแล้ว หากซือคงเย่ไม่ตาย คนที่จะตายต่อไปก็คือพวกเรา”
องครักษ์หวงรีบร้อนกล่าว “นายท่านกล่าวเป็นจริงอย่างยิ่ง ซือคงเย่กำลังปกป้องสกุลซือคง ปรมาจารย์…กลับไม่แน่ว่าจะปกป้องเราได้ อย่างไร…พวกเราก็เคยทำร้ายหลัวช่าน้อย หลัวช่าน้อยคงฟ้องปรมาจารย์”
ประมุขซางตอบด้วยความละอายใจ “หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไม่จับมันแต่แรกเสียดีกว่า!”
องครักษ์หวงกล่าวว่า “เรื่องนี้จะโทษนายท่านได้อย่างไร? หากจะโทษก็ต้องโทษพวกหมิงซาน แผนของนายท่านแต่เดิมสมบูรณ์แบบ ไอ้ตัวเล็กนั่นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นพวกหมิงซานที่ช่วยมัน จึงทำให้มันมีโอกาสไปฟ้องปรมาจารย์”
คนแซ่หวงไม่มีความสามารถอื่นใด ทว่าประจบสอพลอราบรื่นไร้ที่ติ
องครักษ์หวงกล่าวต่อ “ในความคิดของข้า พวกหมิงซานเจตนา พวกเขาต้องการใช้หลัวช่าน้อยกีดกันความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับปรมาจารย์ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเราไร้การสนับสนุนจากปรมาจารย์ พวกหมิงซานก็จะสามารถฆ่าเราได้สบายๆ!”
คำพูดนี้ตรงใจประมุขซาง เขาไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีความเมตตาที่ไม่หวังประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงผู้นั้น เยี่ยนจิ่วเฉา หรือแม้แต่ซือคงเย่ล้วนกำลังเล่นสนุกสนานในขณะที่ยังมีเวลา พวกเขาเป็นมนุษย์ ไหนเลยจะปฏิบัติต่อปีศาจด้วยความจริงใจ?
องครักษ์หวงถามด้วยความกังวลว่า “นายท่าน เราควรทำอย่างไรต่อไป?”
ประมุขซางกล่าวอย่างเฉยเมย “เราจะดึงปรมาจารย์กลับไปที่ค่ายของเรา”
“แล้วถ้า…ข้าไม่สามารถดึงกลับมาได้ละ?” องครักษ์หวงถาม
ประมุขซางเผยรอยยิ้มลุ่มลึกยากคาดเดา “เช่นนั้นก็อย่าโทษข้า…ว่าไม่ไว้หน้าก็แล้วกัน!”
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าแจ่มใส
หลัวช่าน้อยตื่นขึ้นในอ้อมกอดที่โอบอ้อมอารี ดวงตากลมโตคู่หนึ่งที่ใหญ่กว่าเด็กทั่วไปไม่น้อยลืมตามองไปรอบๆ สิ่งแรกที่เห็น คือตนเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของราชาหลัวช่า ต่อมาก็พบว่าบนร่างกายมีผ้าห่มผืนน้อยคลุมอยู่
เพื่อไม่ทำให้มันตื่น ราชาหลัวช่าอยู่ในท่านี้ตลอดทั้งคืนไม่ขยับ ผ้าห่มไม่หนาและไม่บาง คลุมได้กำลังดี
การดูแลเด็กๆ ราชาหลัวช่าผู้เลือดเย็นที่เห็นๆ ว่าเป็นปีศาจ กลับมีความสามารถมากกว่าซือคงเย่ผู้เต็มไปด้วยความรักเสียอีก
แน่นอนว่ามากกว่าซือคงเย่เท่านั้น เมื่อเทียบกับเยี่ยนจิ่วเฉาก็ยังห่างไกลถึงเขาหมิงซานทั้งลูก
หลัวช่าน้อยหลับสบายและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น!
ประมุขซางก็ตื่นแต่เช้าตรู่เช่นกัน ยามที่เขานำยามามอบและทำความเคารพแก่ราชาหลัวช่า เขากำลังดื่มน้ำกับหลัวช่าน้อยอยู่
หลัวช่าน้อยถือช้อนไม้คันเล็ก เบื้องหน้าวางชามน้ำเย็นไว้ ตักน้ำช้อนหนึ่งยื่นไปที่ปากราชาหลัวช่า
ก่อนหน้านี้เพิ่งแบ่งปันยาโลหิต ราชาหลัวช่าจึงคิดว่าน้ำคำนี้เป็นคำแรกที่ป้อนเขา เขาจึงอ้าปากดื่มมันลงไป
หลัวช่าน้อยตกตะลึง
หลัวช่าน้อยมองดูช้อนที่ว่างเปล่า พลันกระโดดขึ้นไปยืนบนม้านั่ง เท้าสะเอวพูด “จีลิกวาลา กวาลาจี”
ดุร้ายยิ่ง!!!
มันพูดอย่างดุเดือดรุนแรง เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายออกมา!
เมื่อแน่ใจว่าราชาหลัวช่าเข้าใจแล้ว จึงนั่งลงที่เดิม แล้วตักน้ำเย็นอีกช้อนหนึ่งยื่นไปที่ปากราชาหลัวช่า
ราชาหลัวช่าเป่ามันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลัวช่าน้อยก็ดื่มลงไปอย่างพึงพอใจ
“ปรมาจารย์” ด้านนอกห้อง น้ำเสียงประจบสอพลอของประมุขซางดังแว่วเข้ามา “ข้ามาคารวะท่าน แล้วก็นำยารักษาบาดแผลมาให้ท่านด้วย”
ราชาหลัวช่าโบกแขนเสื้อ กำลังภายในกระแทกสลักประตูจนร่วงลง
ประมุขซางเดินเข้ามาพร้อมกับขวดยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เดิมทีราชาหลัวช่าคิดว่ามันเป็นยารักษาบาดแผลธรรมดา ทว่าเมื่อได้กลิ่นที่ลอยออกมาจากขวดยา ประกายวูบไหวในดวงตาพลันหยุดนิ่ง
…………………………………………
[1] เด็ดดอกไม้ สื่อถึงทำลายสิ่งสวยงามด้วยการกระทำที่โหดร้าย