อวี๋เซ่าชิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวบนภูเขามากแต่ไกล เขากังวลไม่น้อย เร่งฝีเท้าไปยังวิหารเจาหยางพลางเอ่ยเรียก “อาซู”
ในที่สุดก็มาถึงที่เกิดเหตุอันชุลมุนวุ่นวาย เขาจำสตรีผู้งดงามทรงเสน่ห์ที่นอนป่วยอยู่บนพื้นผู้นั้นได้ทันที
อาซูของเขา แม้เป็นลมก็ยังคงงดงาม!!!
ท้องฟ้าสดใส ใบไม้ร่วงหล่น บนพื้นดิน โปรยปรายด้วยเกล็ดหิมะ สตรีผมดำดุจน้ำหมึก ท่าทางเจ็บป่วยดั่งหญิงงามผู้บอบบาง งดงามเกินคำบรรยาย
อวี๋เซ่าชิงถูกภาพเบื้องหน้าจู่โจมหัวใจอย่างรุนแรง!
“อาซู!” อวี๋เซ่าชิงก้าวไปข้างหน้า โดยไม่ได้สังเกตเห็นศิษย์วิหารเจาหยางคนหนึ่งที่กำลังโปรยใบไม้บนหลังคาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และศิษย์วิหารเจาหยางอีกคนที่กำลังพัดใบหลิวจากบนยอดไม้
อวี๋เซ่าชิงอุ้มอาซูที่อ่อนแอสุดจะรับได้ขึ้นมา คนในอ้อมแขนของเขาซูบผอม เบาแทบไร้น้ำหนัก ทั้งหมดต้องโทษเขาที่ไม่ดูแลอาซูให้ดี อาซูถึงถูกคนจับตัวไป!
หากจับได้ว่าใครเป็นคนทำ เขาจะไม่ปล่อยมันง่ายๆ แน่!
“ฮัดชิ่ว!” เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์จาม!
เสียงจามนี้ฟังทีแรกก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อไปเข้าหูของหนึ่งในหลัวช่าโลหิตที่ถูกนางทำร้ายมาตลอดทั้งคืน ก็กลิ้งไปราวกับฟ้าผ่า
หลัวช่าโลหิตที่เดิมทีแน่นิ่งอยู่หลังภูเขาเทียมไม่ขยับ ถูกเสียงจามเบาๆ ทำให้ตกใจกลัวจนลมปราณผันผวน ไอเลือดบางเบาค่อยๆ ฟุ้งกระจายไปในอากาศ
คิ้วอวี๋เซ่าชิงพลันขมวดแน่น เขารีบหันตัวมองไปยังทิศภูเขาเทียม “ผู้ใดน่ะ?!”
หลัวช่าโลหิตไม่กล้าส่งเสียง
อวี๋เซ่าชิงวางภรรยาที่อ่อนแอลง “อาซู เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปกำจัดเจ้าพวกนั้นก่อน!”
หลังจากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมออกและนำมาคลุมเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ที่กำลังจะตายเพราะความร้อนจริงๆ
หลังจากอวี๋เซ่าชิงใช้วิชาตัวเบามาที่ภูเขาเทียม ก็มองไปยังกลุ่มก้อนดำทะมึน ไม่พูดพร่ำพุ่งเข้าสังหาร ร่างกายของหลัวช่าโลหิตถูกทำลายจนหมดแล้ว ดังนั้นถึงเป็นอวี๋เซ่าชิงที่อ่อนหัด ชกหนึ่งหมัดก็ล้มลงหนึ่งตน แค่ในชั่วพริบตา บุรุษกำยำยี่สิบคนก็ลุกขึ้นไม่ไหวอีกแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาของอวี๋เซ่าชิงหรือไม่ เขารู้สึกว่าก่อนที่พวกสารเลวเหล่านี้จะสลบสิ้นใจไป ไม่ได้แสดงความโกรธแค้น แต่กลับเป็นความโล่งใจ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนหนึ่งที่มองเขาด้วยสายตาอันซาบซึ้ง
ถูกเขาทุบตียังรู้สึกซาบซึ้งใจอีกหรือ?
ไม่ผิดแน่ ตนต้องตาฝาดไปเป็นแน่!
อวี๋เซ่าชิงผู้ห่างเหินจากการฝึกฝนมานาน ทว่ายามออกโรงกลับสามารถล้มยอดฝีมือได้มากมายเช่นนั้น เขารู้สึกดีกับตัวเองเป็นอย่างยิ่งและกลับไปหาภรรยาด้วยอารมณ์สดชื่น
อวี๋เซ่าชิงอุ้มภรรยาขึ้นมา อาซูของเขาคงตกใจกลัวแย่แล้ว เหงื่อออกมามากมายเช่นนี้
อวี๋เซ่าชิงกอดนางไว้แน่น พลางเอ่ยปลอบโยนเบาๆ “อาซู ไม่ต้องกลัวนะ คนเลวถูกข้าจัดการแล้ว”
ดวงตาของเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์สั่นไหว “พวกเขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
อวี๋เซ่าชิงตกตะลึง
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์เอ่ยอย่างอ่อนแรง “ข้า…ข้าหมายถึง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่? พวกเขาไม่ได้ทำร้ายท่านใช่หรือไม่?”
อวี๋เซ่าชิงทอดถอนใจด้วยความโล่งอก เขาก็คิดอยู่ว่าอาซูของเขาจะห่วงความปลอดภัยของคนร้ายได้อย่างไร คงตกใจจนพูดผิดพูดถูกเป็นแน่
อวี๋เซ่าชิงตบหน้าอก กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “แค่เจ้าพวกนั้น ข้าใช้ไม่กี่กระบวนท่าก็สลบหมดแล้ว ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกังวล!”
“อื้ม” เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ในเวลานี้ ชิงเหยียนและอิ่งสือซันก็เดินเข้ามา
ทั้งสองยกมือคำนับเขา “นายท่าน”
หลังจากอวี๋เซ่าชิงมองดูพวกเขาอย่างชัดเจน ก็อดแปลกใจไม่ได้เล็กน้อย “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร? อวี๋หวั่นและจิ่วเฉาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”
“อยู่ขอรับ! พวกต้าเป่าก็อยู่ที่นี่ด้วย!” ชิงเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ลืมว่าตอนแรกพวกเขาออกมาจากหนานจ้าวแล้ว แต่อาเว่ยซ่อนไข่ดำทั้งสามไว้ในสัมภาระ กระทั่งมาถึงเผ่าปีศาจถึงถูกเปิดเผย…
หลังจากได้ยินทั้งหมด ในที่สุดหัวใจของอวี๋เซ่าชิงก็เบาลง
“นายท่าน เหตุใดท่านกับฮูหยินถึงมาที่หมิงตูได้?” ชิงเหยียนถาม คงไม่ใช่เพราะพวกเขากังวลถึงเด็กทั้งสามกระมัง หลังจากพวกเขาพบว่าอาเว่ยพาเด็กๆ ไปที่เผ่าปีศาจ พวกเขาก็ส่งจดหมายผ่านนกพิราบไปยังจวนเห้อเหลียน เพื่อแจ้งกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าไม่ต้องห่วง
“โอ้ พูดแล้วเรื่องมันยาว” อวี๋เซ่าชิงทอดถอนใจ กล่าวถึงการเดินทางของเขากับอาซู
ในบ่ายที่อากาศดี พวกเขาได้รับจดหมายนกพิราบจากเผ่าปีศาจ เมื่อรู้ว่าเด็กๆ อยู่กับจิ่วเฉาและอาหวั่น พวกเขาก็โล่งใจ แต่ในคืนนั้น จู่ๆ ภัยพิบัติก็มาถึงจวนเห้อเหลียน!
…อาซูถูกคนจับตัวไป!!!
มุมปากของชิงเหยียนกระตุก แน่ใจหรือว่าถูกลักพาตัวไป มิใช่หนีไปเอง?
“ข้าออกจากหนานจ้าวเพื่อตามหาอาซู” อวี๋เซ่าชิงกล่าวต่อ “ต่อมาแม้ว่าข้าจะพบอาซูแล้ว แต่โจรร้ายก็เก่งกาจยิ่งนัก ทุกครั้งไม่เกินสองสามวันก็เอาตัวอาซูไปจากข้า ข้าไล่ตามมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่นี่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…ที่นี่คือหมิงตูหรือ?”
“ใช่ ที่นี่คือหมิงตู เป็นสถานที่หลังจากเผ่าปีศาจย้ายเมืองหลวงขอรับ” ชิงเหยียนไม่ได้เพิกเฉยต่อประกายความหวาดระแวงที่วาบผ่านดวงตาของใครบางคน ยิ่งมั่นใจว่าเป็นการหนีไปเอง ที่ใดมีการต่อสู้ที่นั่นก็มีนางจริงๆ ชิงเหยียนไม่เพียงแต่กระตุกมุมปาก หางตายังกระตุกรุนแรงไม่หาย
“จริงสิ กลุ่มคนเมื่อครู่เป็นใครหรือ?” อวี๋เซ่าชิงถาม แม้วรยุทธ์ของเขาจะแข็งแกร่ง และจัดการพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ทว่าพวกเขากลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากยอดฝีมือทั่วไป
“พวกเขาคือหลัวช่าโลหิต” อิ่งสือซันกล่าว
“หลัวช่าโลหิต?” อวี๋เซ่าชิงขมวดคิ้ว เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
อิ่งสือซันอธิบายว่า “หลัวช่าโลหิตเป็นปีศาจชนิดหนึ่งที่ดูดกินเลือดและลมปราณเพื่อหล่อเลี้ยงตนเอง มันมีวิชาอสูรโลหิตที่หายไปนานของเผ่าพ่อมด มีกำลังภายในที่ทรงพลังอย่างมากและพลังฟื้นฟูอันน่าทึ่ง ยากจะรับมือ…”
อวี๋เซ่าชิงทอดถอนใจด้วยความโล่งอก หลับตาลงแล้วกล่าวว่า “โชคดีที่ข้ามาทันเวลา ไม่เช่นนั้นหากตกไปอยู่ในมือของพวกมัน อาซูก็คงไม่รอด”
ตอนนี้มุมปากของอิ่งสือซันกระตุกอย่างรุนแรง
ผู้ใดกันแน่ที่ไม่รอด?
ก็ไม่ดูละว่าผู้ใดเหาะขึ้นฟ้าดำดินอยู่ทั้งคืน กลัวไม่ได้สู้สามวันสามคืน?!
อวี๋เซ่าชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อมันเป็นปีศาจ เช่นนั้นก็อย่าเก็บมันไว้ ไปฆ่าพวกมันกันเถอะ”
“สามี” เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ที่นิ่งเงียบมาตลอด คว้าเสื้อคลุมของเขาแล้วเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ฟ้ามีคุณธรรมและเมตตา ให้โอกาสพวกเขาได้กลับตัวใหม่ดีหรือไม่? อย่ารีบร้อนฆ่าพวกเขาเช่นนี้เลย”
อวี๋เซ่าชิงซาบซึ้งจนเกือบจะร้องไห้ เขากุมมือนางเจียงและกล่าวด้วยความรักใคร่ “อาซูช่างเป็นสตรีที่จิตใจงดงามที่สุดในโลก!”
ทุกคนที่มีขีดสีดำบนใบหน้า “…”
นางแค่อยากจะปิดประตูสู้ต่อ!!!
“จริงสิ อิ่งสือซัน ชิงเหยียน ที่นี่คือที่ใด? พวกอวี๋หวั่นและจิ่วเฉาเล่า?” อวี๋เซ่าชิงมองไปรอบๆ และถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ…” ทั้งสองมองหน้ากัน
ชิงเหยียนยิ้มและกล่าวว่า “พูดแล้วเรื่องมันยาว ที่นี่…คือหมิงซาน แต่จริงๆ แล้วเป็นบ้านของฮูหยิน”
อวี๋เซ่าชิงตกใจ “บ้านของอาซู? บ้านของอาซูไม่ใช่หนานจ้าวหรือ?”
“หนานจ้าวเป็นบ้านของฮูหยินไม่ผิด หมิงตูก็เป็นเช่นกัน!” ชิงเหยียนไม่รู้ว่าจะอธิบายภูมิหลังของฮูหยินให้อวี๋เซ่าชิงฟังอย่างไร “นายท่าน ข้างนอกลมแรง เข้ามาคุยกันข้างในเถิด”
อวี๋เซ่าชิงคิดแล้วก็ถูก เดิมทีอาซูก็ร่างกายอ่อนแอ แล้วยังมีเรื่องให้ตกใจกลัว ไม่อาจให้ชักช้าได้
อวี๋เซ่าชิงพยุงนางเจียงกลับห้อง
“อาซูหิวแล้วใช่หรือไม่? ข้าจะไปทำอาหารให้เจ้า” พูดจบ อวี๋เซ่าชิงก็รีบไปที่ครัวของวิหารเจาหยาง หากเป็นทักษะการเข้าครัวกล่าวได้ว่ายอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ
อีกด้านหนึ่ง ประมุขซางซึ่งไม่เชื่อว่าตนจะแพ้ ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาโยนเข้าไปในวิหารเจาหยาง เมื่อเห็นหลัวช่าโลหิตที่นอนกระจัดกระจายบนพื้นก็ถึงกับตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น?
เหตุใดหลัวช่าโลหิตของเขาถึงถูกจัดการเรียบ?
แต่ละคนเละเทะหมดสภาพ มีที่ใดที่ยังเหมือนหลัวช่าโลหิตผู้คงกระพันไร้เทียมทาน?
ขณะที่ประมุขซางตกใจกับฉากตรงหน้าจนเริ่มสงสัยกับชีวิต เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ก็เห็นประมุขซางที่ตกลงมาจากฟ้า ประมุขซางไม่เหลือพลังอีกแล้ว ทว่าบนร่างกายยังคงมีลมหายใจของราชาหลัวช่า
ซู้ด~
ดวงตาของเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์เปล่งประกายขึ้นทันที!!!
“ยาโลหิตของเขาแตกสลาย ไม่อาจฟื้นฟูได้แล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว ตรงจุดตรงประเด็น
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ส่ายหน้า “เช่นนั้นก็ฆ่ามันซะ!”
ประมุขซาง “…”
…
เมื่ออวี๋หวั่นตื่นขึ้นอีกครั้งก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว ตั้งแต่เธอตั้งครรภ์ก็หลับลึกขึ้น เมื่อคืนเสียงเคลื่อนไหวดังสนั่นเช่นนั้น เธอกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
เธอมองไปข้างเตียงด้วยความเคยชิน เหล่าบุตรชายไม่อยู่ หลัวช่าน้อยก็ไม่อยู่
แปลกจริง ไม่ใช่ว่าทุกทีต้องปลุกเธอให้ตื่นพร้อมกันหรือ?
ติดเธอจนเกือบจะโตบนตัวเธอแล้ว
อวี๋หวั่นลูบหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อย เดินไปห้องข้างๆ ด้วยความประหลาดใจ หลังจากล้างเนื้อล้างตัวก็ไปหาอะไรกินที่ห้องครัว
ยามเดินผ่านห้องฝั่งใต้ เท้าของเธอก็หยุดชะงัก
หากเธอจำไม่ผิด ห้องฝั่งใต้ไม่มีคนอยู่…
เธอถอยหลังไปสองก้าวกลับไปที่ประตูห้องฝั่งใต้ โผล่หัวมองเข้าไปข้างใน สิ่งที่เธอเห็นคือ—
ไข่ดำทั้งสามกับหลัวช่าน้อยสวมเสื้อลายดอกไม้ กางเกงลายดอกไม้ บนหัวติดดอกไม้สีแดง เขียนคิ้วหนาดกดำสนิท ทาปากสีแดงเพลิง นั่งบนเก้าอี้อย่างกระมิดกระเมี้ยน
ไข่น้อยที่มีสีดำขลับกลายเป็นไข่น้อยสีสันฉูดฉาดสดใส! แม้แต่หลัวช่าน้อยที่ผ่ายผอมก็กลายเป็นไข่หลัวช่า!
อวี๋หวั่นแทบล้มทั้งยืน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด สิ่งที่หนักหนากว่านั้นคือ ผู้ใหญ่หนึ่งและเด็กสี่คนในห้อง จู่ๆ ก็เท้าเอวเงยหน้า ร่างเล็กสั่นคลอน ระเบิดหัวเราะเสียงหมูออกมา——
………………………